ตอนที่ 142 เผชิญหน้า
ลั่วกู่เสวี่ยไม่ถอยแต่กลับพูดว่า “ถ้าคุณต้องการมีปัญหากับคุณซู คุณ
จะต้องผ่านฉันไปก่อน”
เฟยหยานป๋อจ้องกลับ “อาจารย์ลั่ว นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ อย่าบังคับ
ผมเลย”
“นี่คือสถาบันฟีนิกซ์ ถ้าคุณก่อปัญหาที่นี่ ฉันจะนำคุณเข้าสู่
กระบวนการยุติธรรม!”
“ฮ่า! ผมเสนอการแข่งขันระหว่างอาจารย์สองคน นี่ยุติธรรมและเท่า
เทียม! หากคุณกลัวเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับผม ก็บอกให้เด็กคนนี้
พูดขอโทษแล้ว หรือไม่ก็ให้ทุกคนในสถาบันฟีนิกซ์รู้ว่าอาจารย์
กลั่นแกล้งเฉพาะคนที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น ผมเข้าใจแล้ว นี่คือสาเหตุ
ที่นักเรียนทั้งหมดของคุณนั้นเป็นพวกสวะ”
ทุกคนจากสถาบันฟีนิกซ์รวมทั้งตงซงหมิงและนักเรียนที่พ่ายแพ้ต่าง
แสดงท่าทางไม่พอใจ
“คุณควรหุบปาก!” ลั่วกู่เสวี่ยก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
ซูผิงรีบลากเธอกลับมาและก้าวไปข้างหน้าเธอ “คุณต้องการสู้กับผม
ใช่ไหม? ได้ ผมจะสละเวลาให้คุณสักครู่”
ลั่วกู่เสวี่ยต้องการทักท้วง แต่ก็ตัดสินใจไม่ทำเมื่อเธอเห็นท่าทาง
อันตรายของซูผิง
เธอจำได้ว่าซูผิงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอด้วยซ้ำ การฆ่า
อสูรเวทระดับแปดหมายความว่าซูผิงเหนือกว่าเธอเมื่อต้องใช้ความ
รุนแรง
ในทางกลับกันนักเรียนจากสถาบันดาบคลั่งต่างก็ประหลาดใจกับ
คำพูดของซูผิงเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ พวกเขาไม่คิดว่าซูผิงจะยอมรับ
คำท้าทายนี้
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการ “แข่งขันที่ยุติธรรม” ระหว่างอาจารย์สอง
คน แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
มังกรเพลิงนรกของซูผิงอาจแข็งแกร่ง แต่มันก็เป็นเพียงอสูรระดับ
เจ็ดที่เพิ่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในขณะที่เฟยหยานป๋ อเป็นนักรบอสูรขั้นสูง
ที่มีประสบการณ์ เขาอยู่ระดับนี้มาสิบปีแล้ว หลังจากการต่อสู้
ทั้งหมด ประสบการณ์ที่เขาได้รับตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เฟย
หยานป๋อมาถึงระดับแปด
แน่นอนว่าเฟยหยานป๋อมีอสูรระดับแปด
มังกรนั้นทรงพลังและเป็นที่รู้กันว่าสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ก็จริง
โดยบางครั้งก็เอาชนะศัตรูที่มีระดับสูงกว่า แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นในหมู่อสูร
ขั้นต่ำหรือขั้นกลางเท่านั้น อสูรขั้นสูงกว่าจะไม่สามารถ “โกง” ผ่าน
ช่องว่างของพวกมันได้อีกต่อไป เพียงแค่ใช้ความพยายามและการ
ฝึกฝนที่เพียงพอ สมมติว่าอสูรใช้เวลาสองสามปีในการขึ้นสู่ระดับ
หกจากระดับห้าระยะเวลาเท่ากันก็เพียงพอที่จะทำให้มันไปถึงต้น ๆ
ระดับเจ็ดอย่างระดับเจ็ดขั้นต่ำหรือกลาง มังกรเพลิงนรกของซูผิงอยู่
ในระดับ 7 ขั้นต่ำ บางทีมันอาจจะพอสู้กับอสูรระดับเจ็ดขั้นสูงได้
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน แต่มันก็ไม่มีความหวังกับศัตรูระดับ
แปด
นอกจากนี้อสูรของเฟยหยานป๋ อยังเหนือกว่านั้น มังกรเพลิงนรก
กำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ด้วยเหตุนี้นักเรียนจากสถาบันดาบคลั่งทุกคนจึงยิ้มให้กับซูผิง คาด
ว่าเขาจะมีจุดจบที่น่าขัน
“เขาคิดว่าเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม?” นักเรียนคนหนึ่งพึมพำ “ตอนนี้
เขาด้อยกว่าผู้อำนวยการเฟย เขาเป็นขนมปังปิ้งสำหรับท่านเฟยของ
พวกเรา”
“ใช่! เขาไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร คุณเฟยเป็นนักรบอสูรระดับสูง
มาเป็นสิบปีแล้ว ใครจะรู้ว่าเขาพัฒนาขึ้นมากแค่ไหนหลังจากผ่านมา
หลายปี”
“เขาฆ่าอสูรศพเวทงั้นเหรอ? ตอแหล! บางทีเขาอาจจะโชคดีที่ไปเจอ
พวกมันตอนที่ตายไปแล้ว แล้วก็เอามาพูดเป็นประวัติส่วนตัวเพื่อให้
ดูสวยหรู”
ตงซงหมิงเฝ้าดูว่าเหตุการณ์นี้ ถ้าซูผิงแพ้การแข่งขัน สถาบันฟีนิกซ์
ทั้งหมดจะต้องอับอายขายหน้าไม่ใช่แค่นักเรียนเท่านั้น นั่นไม่ใช่
ผลลัพธ์ที่พวกเขาจะยอมรับได้อีกต่อไป
“เฮ้ โจว” ตงซงหมิงให้ข้อเสนอโจวหยุนชาน เพื่อบอกให้เขาทำ
อะไรบางอย่าง
โจวหยุนชานยิ้มเยาะใส่เขา “เขาโตแล้ว ดังนั้นเขาต้องตอบด้วยตัวเอง
ผู้อำนวยการเฟยอย่าเพิ่งรุนแรงมากนัก มันจะทำให้เราดูแย่ แค่หักแขน
ก็พอ”
เฟยหยานป๋ อพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอย่างรู้ใจ “ไว้ใจผม ทำได้ดีมาก
เรื่องนี้”
“คุณ…” ตงซงหมิงลุกจากที่นั่งเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่เขาก็ต้อง
หยุดจากเสียงตะโกนที่มาจากเวที
ในขณะเดียวกันผู้ชมทุกคนในสนามก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ
พวกเขาเห็นบาซิลิสก์สายฟ้าของเย่ห่าวล้มลงบนเวที เกล็ดของมัน
กระจัดกระจายไปทั่ว ยิ่งไปกว่านั้นมังกรหลุมดำกำลังฉีกปีกข้าง
หนึ่ง ทำให้มันร้องด้วยความเจ็บปวด
มังกรหลุมดำกำลังจะถลกหนังบาซิลิสก์สายฟ้าที่ยังมีชีวิตอยู่
เช่นเดียวกับอสูรของพวกเขา เย่ห่าวถูกเหยียบไว้ใต้เท้าของลั่วเฟิง
เทียน
“ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?” ลั่วเฟิงเทียนพูด “ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ลูก
ของนายจะถูกทำร้ายจนตาย”
เย่ห่าวยังคงยึดมั่นในศักด์ิศรี
“ยอมแพ้เหรอ…ไม่ใช่ในตอนที่ฉันยังหายใจอยู่แน่ ๆ !”
นี่เป็นรอบสุดท้ายของการแข่งขัน คนอื่น ๆ พ่ายแพ้หมด เขาคือ
ความหวังสุดท้าย
เย่ห่าวรู้ทันทีว่าความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอเมื่อเขาเห็น
มังกรหลุมดำ แต่เขาต้องต่อสู้ มันเป็นการตัดสินใจที่เขาต้องทำ
สถาบันฟีนิกซ์เป็นบ้านหลังที่สองของเขา เขาไม่สามารถทนเห็นมัน
ถูกเหยียบย่ำได้
นี่อาจเป็นแค่การแข่งขัน แต่มันคือสงครามสำหรับเขา สงครามที่เขา
ยินดีสละชีวิต การยอมแพ้ไม่อยู่ในทางเลือก
ลั่วเฟิงเทียนรู้สึกหงุดหงิด “ฉันนับถือความมุ่งมั่นของนาย แต่ความ
แข็งแกร่งของนาย…ไม่มาก แค่ยอมรับความพ่ายแพ้และทำให้มัน
จบอย่างรวดเร็ว”
“ไม่!!”
เย่ห่าวจุดประกายพลังดวงดาวที่เขาสามารถรวบรวมเพื่อผลักลั่วเฟิง
เทียนออกไป ลั่วเฟิงเทียนเพียงแค่เพิ่มพลังดวงดาวมากขึ้นที่เท้าของ
เขาและกดเย่ห่าวลง
ห่างจากเวที อาจารย์และนักเรียนจากสถาบันฟีนิกซ์ ทุกคนรู้สึกแสบ
ตา “พอแล้ว!”
ตงซงหมิงตะโกนเรียกผู้ตัดสิน”นี่ควรจะพอได้แล้ว เราแพ้! จบ
เดี๋ยวนี้!”
“ลั่ว -ลั่วเฟิงเทียน จากสถาบันดาบคลั่งเป็นผู้ชนะ!” ผู้ตัดสินทำตามที่
บอกอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้ยินเสียงประกาศของเขาในสนาม แต่ไม่มีใครปรบมือหรือ
ส่งเสียงเชียร์ ยกเว้นนักเรียนสองสามคนที่อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นหนึ่งใน
ผู้ชนะ นี่คือสนามของสถาบันฟีนิกซ์แต่ทีมเยือนกลับเอาชนะพวก
เขาได้ เป็นชัยชนะแบบเด็ดขาด ไม่แพ้แม้แต่รอบเดียว
นักเรียนหญิงสองสามคนในฝูงชนไม่สามารถกลั้นความเศร้าได้
และเริ่มสะอื้น ความหดหู่ครั้งใหญ่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเศร้า การ
หลั่งน้ำตาไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป
พวกเขาพ่ายแพ้ไปด้วยกันในฐานะเพื่อนและในฐานะครอบครัว ไม่ว่า
จะเป็นความรุ่งโรจน์ วิบัติ หรือการถูกประณามพวกเขาจะเผชิญหน้า
กับมันเป็นหนึ่งเดียว
นี่คือสิ่งที่ซูหลิงเยวี่ยและเฉิงซวงหลินเห็น เมื่อพวกเธอออกมาจาก
ห้องพยาบาล – เพื่อนของพวกเธอพากันคร่ำครวญ หลังจากที่ลั่วเฟิง
เทียนขยับเท้าออกจากคอของเย่ห่าว
น้ำตาที่ปนกับเลือดไหลอาบแก้มของเย่ห่าว
ฉันแพ้ …
เราทุกคนแพ้ … ทุกอย่าง …
“ฮ่า ๆ ๆ” โจวหยุนชานยืนขึ้นหลังจากได้ยินผลที่คาดไว้ รู้สึกตื่นเต้น
มาก สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เพียงพอแล้วสำหรับสถาบันดาบคลั่งที่สื่อ
จะให้ความสนใจอยู่พักหนึ่ง ซึ่งหมายถึงชื่อเสียงที่มากขึ้น เฟยหยาน
ป๋ อยังยิ้มกว้างแม้ว่าเขาจะยังโกรธซูผิงอยู่ ลั่วเฟิงเทียนคือศิษย์ส่วนตัว
ของเขา
ทั้งเย่ห่าวและลั่วเฟิงเทียนต่างก็เป็น “แชมป์ ” แต่เย่ห่าวไม่มีอะไรเทียบ
ได้เลย ความแข็งแกร่งที่แท้จริงถูกทดสอบผ่านการต่อสู้ที่โหดร้าย
ไม่มีที่สำหรับตัวตลก
ลั่วกู่เสวี่ยและหลานเฮ่อก้มมองพื้นด้วยความเงียบ
นักเรียนที่พ่ายแพ้ของสถาบันฟีนิกซ์กัดริมฝีปากแรงจนเลือดออก
ซูผิงมองร่างที่น่าสังเวชของเย่ห่าวและถอนหายใจ ในฐานะอาจารย์
เขาไม่ต้องการเห็นสถาบันการศึกษาของเขาอับอาย
“นี่…อาจารย์ซูใช่ไหม” เฟยหยานป๋อพูดอย่างร่าเริงหลังจากความ
โกรธส่วนใหญ่ของเขาถูกลบล้างไปด้วยความหอมหวานของชัยชนะ
“เราจะขอยืมเวทีนี้และสู้กันที่นี่หรือเราควรจะไปที่ที่เป็นส่วนตัว?”
ซูผิงหายจากความเศร้าได้อย่างรวดเร็ว “ที่ไหนก็ได้ คุณเลือกเลย”
“ฮ่า” เฟยหยานป๋อพูด
“คุณพูดจริงหรอ? ดูสิ ผมพยายามให้คุณเลือก คุณจะได้ไม่ต้องอาย
เมื่อแพ้ แต่คุณก็ไม่สนใจอยู่ดี …อย่าโทษผมละกัน”
ตงซงหมิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ได้ทำเนื่องจากไม่ได้อยู่
ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป
เขาได้แต่ตำหนิซูผิงในใจว่าคิดน้อยเกินไป
“งั้นก็อย่าให้ผมต้องรอละ” เฟยหยานป๋ อกระโดดขึ้นไปในอากาศ
ด้วยความสูงเป็นร้อยเมตร และลงสู่เวทีที่มีร่องรอยการต่อสู้มากมาย
ทำลายพื้นที่แตกอยู่แล้วให้เละเทะกว่าเดิม