331: อารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่ง
เมืองจินหยาง
ขบวนเดินทางเข้าเมืองมาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังหนึ่ง ตะโกนเพียงไม่กี่คา สินค้าก็ถูกย้ายออก ที่ปรึกษาหลายคนมองไปที่คนที่พวกเขาช่วยมาขณะเคลื่อนย้ายสินค้า
“ท่านฟาง ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่?”
หลายวันก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ฟางหยวนก็สามารถขยับตัวได้แล้ว บางครั้งเขายังลงจากรถม้ามาเดินและพูดคุยกับคนในขบวนเดินทาง ตอนนี้ เขาก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับหัวหน้าขบวนแล้ว
นายน้อยตระกูลเหอชื่อเหอชิง เขามีความคิดแบบเด็กแต่ก็นับว่าเจ้าเล่ห์ในอายุระดับเขา แต่ว่า ก็เพียงเท่านั้น
“อืม ขอบคุณท่านเหอที่ช่วยเหลือ ข้าจะไปวันนี้แล้ว น้าใจของท่านย่อมได้รับการตอบแทนในภายหน้า…”
ฟางหยวนยิ้ม
สาหรับเขา เหอชิงนั้นไม่ได้ช่วยชีวิตเขา แต่ว่าช่วยเหลือเขายามยาก แม้ว่าความตั้งใจของเขานั้นจะมีสิ่งแอบแฝง แต่ฟางหยวนก็ไม่เคยใช้อารมณ์นาสมอง ดังนั้น ฟางหยวนจึงย่อมตอบแทนน้าใจนี้
“ท่านจะไปแล้วหรือ?”
เหอชิงตกใจ “พวกเราปฏิบัติต่อท่านไม่ดีอย่างไรหรือ?”
เท่าที่เขาสังเกตมาหลายวันนี้ เขาพบว่าฟางหยวนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา สิ่งที่ซุนเอ้อร์โกวเจอนั้นเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด ดังนั้น เขาจึงวางแผนสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับฟางหยวน
แม้ว่าฟางหยวนจะยังเยาว์ แต่เขาก็เติบใหญ่แล้ว ความคิด กริยา และวิธีการพูดจาของเขานั้นต่างไปจากคนหนุ่มทั่วไป ดังนั้น เหอชิงจึงรู้สึกนับถือเขาโดยไม่รู้ตัว
“ชะตานั้นบังคับมิได้ นอกจากนี้ ข้าคงไม่สามารถรบกวนท่านนานไปกว่านี้ได้แล้ว… เมืองจินหยางนี้ก็ดูน่าอยู่ ข้าตัดสินใจจะพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หลังจากข้าปักหลักได้แล้ว ข้าจะบอกท่าน… แล้วก็ ข้าขอให้ท่านโชคดีได้เข้าร่วมสานักสามตะวัน!”
“ขอบคุณสาหรับคาอวยพร!”
เหอชิงส่งเขาออกไปอย่างเคารพ ขณะมองแผ่นหลังของฟางหยวน เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองพลาดบางอย่างที่สาคัญมากไป
“นายน้อย?”
ที่ปรึกษาคนหนึ่งเข้ามาหาเขา “สินค้าต่าง ๆ ส่งเข้าไปเก็บในห้องเก็บของแล้ว การตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย รวมกับที่พวกเราค้าขายระหว่างทาง ตอนนี้พวกเรามีแก้วพลังธาตุทั้งสิ้นห้าหมื่น นี่เป็นจานวนทั้งหมดที่ตระกูลมอบให้ท่าน พวกเรายังเตรียมของขวัญสาหรับอาจารย์ เพื่อนร่วมสานัก และทุกคนที่ท่านต้องสร้างสัมพันธ์อันดีไว้เรียบร้อย!”
“อืม ดี!”
เหอชิงตื่นจากภวัคง์และสายตาดูเย็นเยียบ “แล้ว… ซุนเอ้อร์โกวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าทาตามคาสั่งของท่านตัดแขนเขาออกข้างหนึ่งเป็นการลงโทษและตักเตือนผู้อื่น!”
ที่ปรึกษารีบรายงาน เหงื่อเย็น ๆ ไหลหลั่ง
ตามที่นายน้อยของเขาว่า คนที่พวกเขาช่วยเอาไว้นั้นดูจะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น พวกเขาย่อมไม่สามารถที่จะไม่เคารพคนผู้นั้นได้
“แล้วก็ เสี่ยวจูได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นหัวหน้าสาวใช้ นางได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละสิบตาลึง!”
เหอชิงถอนหายใจหนัก ๆ “ถึงแม้ว่าเขาจะจาพวกเราไม่ได้ พวกเราก็ยังคงมีหวัง… ไม่มีอะไรผิดที่จะเตรียมการไว้ก่อน!”
“นายน้อย ท่านฉลาดนัก!”
ที่ปรึกษาเหอคารวะลงและรู้สึกนับถือในตัวนายน้อยผู้นี้
ตระกูลเหอนั้นตั้งมาเจ็ดชั่วอายุแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่นับว่าอยู่ในตระกูลเก่าแก่พวกนั้น แต่การส่งนายน้อยผู้นี้มากราบจ้าวแห่งฝันสักคนเป็นอาจารย์ก็นับได้ว่าเป็นความทุ่มเทของพวกเขาแล้ว
เห็นความรอบคอบของนายน้อยผู้นี้แล้วก็เหมือนมองเห็นความหวังสาหรับตระกูล
ตราบใดที่เขาสามารถเป็นจ้าวแห่งฝันได้ ตระกูลของพวกเขาก็จะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด!
…
“สานักสามตะวันในเมืองจินหยาง… เหอชิงนับว่ามีชะตาให้พบกับข้าจริง ๆ!”
ขณะที่ฟางหยวนเดินทาง ก็ปรากฏรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า
ถึงแม้สานักสามตะวันจะเป็นที่รู้จักในเมือง แต่อันที่จริง มันก็เป็นเพียงสานักเล็ก ๆ ที่มีผู้ติดตามเพียงพันคนเท่านั้น พวกเขามีอู่จงสิบคนและนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกห้าคนเป็นพวกเบื้องบน และมีจ้าวแห่งฝันเป็นเจ้าสานัก จ้าวแห่งฝันผู้นี้ดูจะเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่ห้า
ท่ามกลางสานักใหญ่ทั้งรัฐนี้ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่แต่ละสานักจะมีคนในระดับร่างสวรรค์แท้จริง พลังธาตุแท้จริง หรือว่าจ้าวแห่งฝันขั้นที่เจ็ดสวรรค์มายาอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน จึงจะนับได้ว่าสานักนั้นมั่นคง
แน่นอนว่า การเป็นตระกูลเล็ก ๆ ย่อมเป็นเรื่องสาคัญสาหรับตระกูลเหอที่จะพยายามเข้าร่วมสานักสามตะวัน พวกเขานับเป็นคนอ่อนแอท่ามกลางคนแข็งแกร่งมากกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งท่ามกลางอ่อนแอ
“เหอชิงตั้งใจจะเข้าเป็นศิษย์สายตรงของสานัก มันไร้ค่าสาหรับเขาที่จะเป็นศิษยสายนอกหรือศิษย์สายใน หรือกระทั่งศิษย์สายหลัก… เขาจะทาให้ศักยภาพในการเป็นจ้าวแห่งฝันของตนเสียเปล่าไป…”
“อย่างไร… เจ้าสานักสามตะวันก็เป็นสมาชิกของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรเช่นกัน สานักสามตะวันก็นับได้ว่าเป็นอิทธิพลภายนอกของสมาพันธ์แห่งอาณาจักร… ข้าจะลองลงแรงช่วยเขาเพื่อเป็นการตอบแทนน้าใจของเขาก็แล้วกัน!”
ทันทีที่เขาเข้าพักในโรงพักแรมแห่งหนึ่ง เขาก็เข้าสู่อาณาจักรแห่งฝัน
“ข้ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ยินว่าท่าน สามีของข้า นั้นสบายดีแล้ว! ข้านาเคล็ดวิชาเก้าขั้นหลอมวิญญาณออกมาและซ่อนมันเอาไว้ในอาณาจักรแห่งฝันให้ท่านมารับไป…”
ทันทีที่เขามองไปที่ป้ายประจาตัว เขาก็เห็นข้อความตอบกลับของหลิวเมิ่งเหมยและระบุตาแหน่งหนึ่ง
อย่างไร นางก็ยังคงเป็นธิดาเทพตัวสารองของลัทธิบัวสวรรค์ และเมื่อคิดถึงว่าคนนอกจากมองอย่างไรหากนางมาพบกับฟางหยวนต่อหน้า ดังนั้น นางจึงอธิบายเส้นทางสู่ตาแหน่งที่ซ่อนเคล็ดวิชาเก้าขั้นหลอมวิญญาณและยังรับรองกับเขาว่ามันปลอดภัยอย่างแน่นอน
หลังจากได้รับข้อมูล ฟางหยวนก็ไม่คิดมากและออกเดินไปตามถนน ไม่นาน เขาก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างในอาณาจักรแห่งฝันนั้นเป็นเขตที่แบ่งโดยวิญญาณแห่งอาณาจักรตามคะแนนที่เจ้าของจ่าย ตรอกมืด ๆ แห่งนี้นั้นร้างมาก และที่สุดปลายตรอกนั้นเป็นกาแพง ที่ตรงมุม มีสัญลักษณ์สีเข้ม
“นี่คือที่เรียกว่าตลาดมืด หากมีของเช่นนี้อยู่ในอาณาจักรแห่งเหล่าจ้าวแห่งฝัน ข้าคงสามารถสันนิษฐานได้ว่า สิ่งของที่มีให้แลกเปลี่ยนในตลาดมืดนั้นคงไม่มีดี…”
ขณะที่เขากดลงบนสัญลักษณ์สีเข้มนั่น กาแพงตรงหน้าเขาก็เริ่มเว้าเข้าไป เผยให้เห็นเส้นทางลับ
เส้นทางนั้นสั้นมาก ทันทีที่เขาเดินไปถึงปลายอีกด้าน เขาก็เห็นร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีป้ายบอกใด ๆ และประตูยังเก่าคร่าคร่า ราวกับจะพังลงมาเมื่อใดก็ได้
โดยไม่ลังเล ฟางหยวนก้าวเข้าไปและมองไปที่โต๊ะยาว
ร้านนี้คล้ายกับร้านขายของชาที่มีของมากมายวางเอาไว้บนชั้น แต่ว่า ไม่มีของชิ้นไหนที่มีคาอธิบายการใช้งาน และมันก็ขึ้นกับผู้ซื้อที่จะหาวิธีการใช้งานและหน้าที่ของของแต่ละชิ้น
ขณะที่ฟางหยวนกวาดตามอง ความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปที่กล่องแก้วบนรถม้าคันเล็ก ๆ สีม่วง
“ข้าเคยเห็นของชิ้นนี้มาก่อนในบันทึก มันเป็นที่รู้จักในนามรถม้าโลหิตม่วง และสามารถบินบนท้องฟ้าได้ด้วยความเร็วยอดเยี่ยม… แต่ว่า กระบวนการสร้างมันนั้นไร้มนุษยธรรมเป็นที่สุด หากข้าจาได้ถูกต้อง ส่วนประกอบหนึ่งประกอบด้วยโลหิตของหญิงตั้งครรภ์ถึงสี่สิบเก้าคน นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์เหล่านี้ยังต้องมีระดับการฝึกตนระดับหนึ่งและมีอายุครรภ์เหมาะสมก่อนที่เลือดจะถูกนาออกมา…”
ชัดเจนว่าร้านนี้นั้นไม่เพียงขายสินค้าที่ไม่เหมาะสมแต่ยังมีสินค้าต้องห้ามด้วย
“คิคิ… มีลูกค้าอีกราย!”
ชายชราที่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะพูดเบา ๆ
ผิวของเขาซีดและใบหน้ายังมีรอยยับย่นนับไม่ถ้วน จากที่เห็น ดูเหมือนจะอายุราวเก้าสิบปีแล้ว ผมสีขาวของเขายาวและยังดูแห้งกร้านไร้ชีวิตชีวา
ทันทีที่เขาเห็นฟางหยวนเข้ามา ก็มีประกายสีเขียวปรากฏในดวงตา แต่ว่า เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก
“ข้ามาที่นี่เพื่อรับของบางอย่าง!”
ฟางหยวนดึงเอาป้ายประจาตัวออกมา
“อ้ะ ข้ารู้แล้ว เจ้านั่นเอง!”
รัศมีพลังจากในป้ายนั้นทาให้ชายชราตัวสั่น เขาลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ขอเวลาข้าประเดี๋ยว!”
เขาเดินเข้าไปในห้องเก็บของที่ด้านหลัง ไม่นานหลังจากนั้นก็ถือกล่องสีแดงออกมา “นี่คือของที่เพื่อนของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้ ผนึกบนนั้นยังอยู่ เจ้าลองตรวจสอบดู!”
บนผิวหน้าของกล่องนั้นมียันต์สีแดง รัศมีพลังจากยันต์นั้นคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง เป็นของจากหลิวเมิ่งเหมย!
หากมีคนอื่นนอกจากหลิวเมิ่งเหมยและเขาเปิดกล่องใบนี้ คนผู้นั้นจะถูกไฟเผาตาย มีเพียงจ้าวแห่งฝันสวรรค์มายาขั้นเจ็ดที่สามารถทนรับการสะท้อนจากการทาลายยันต์ได้
“เพื่อนของเจ้าจ่ายค่าบริการเก็บรักษาของชิ้นนี้เอาไว้แล้ว!”
ชายชราท่าทางไร้ชีวิตชีวาดันกล่องมาทางฟางหยวนก่อนจะกลับไปนอนลงบนโต๊ะและหลับลึกไป
“ขอบคุณมาก!”
โดยไม่พูดคาอื่นอีก ฟางหยวนรับกล่องไว้และกลับออกไป
ถึงแม้ว่าชายชราจะดูไร้ชีวิตชีวาราวกับจะตายลงเมื่อใดก็ได้ ฟางหยวนก็ยังตรวจพบรัศมีพลังของเขาและรู้ว่าการฝึกตนของเขานั้นยังสูงกว่าเฟิงซินจื่อเสียอีก!
จ้าวแห่งฝันธรรมดา ๆ จะเปิดตลาดมืดอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
ก่อนที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมานี้ ย่อมต้องทาอะไรไปมากมายเพื่อสร้างตลาดมืดเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นการฉลาดที่จะขุดคุ้ยข้อมูลเรื่องนี้
…
ขณะเดินไปตามถนน เขาพบว่าจ้าวแห่งฝันคนอื่น ๆ นั้นมีเกราะหลากสีอยู่รอบตัว มองหมอกที่รอบตัวแล้วเขาก็ยิ้ม “ข้าก็กลัวตายเหมือนกันนั่นแหละ… โชคไม่ดี ข้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะอยู่โดยไม่มีเกราะพวกนี้!”
เขารีบหามุมเงียบ ๆ แกะยันต์บนกล่องออก เพียงแค่ฉีกออก ยันต์ก็เผาตัวเองเป็นเถ้าไป
ในกล่อง มีผ้าเช็ดหน้าอบกลิ่นหอมปักลายนกเป็ดน้าคู่เอาไว้ ฟางหยวนใช้เคล็ดวิชาหนึ่งออกเข้าถึงเคล็ดวิชาที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าด้วยเจตจานงเวทย์ของตนเอง
“เมื่อคิดถึงระดับบรรณของข้าในสมาพันธ์แห่งอาณาจักร มันยากมากที่ข้าจะได้รับเคล็ดเก้าขั้นหลอมวิญญาณฉบับสมบูรณ์มา…”
หลังจากอ่านไม่กี่บรรทัดแรก ฟางหยวนก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เคล็ดวิชาที่บันทึกเอาไว้ในเก้าขั้นหลอมวิญญาณนั้นเหนือคาบรรยาย ไม่เพียงสามารถกาจัดสิ่งแปลกปลอมในพลังธาตุได้ ยังมีผลทาให้พลังธาตุของผู้ฝึกบริสุทธิ์ขึ้นด้วย
แน่นอนว่า นี่เฉพาะกับพลังธาตุของผู้ฝึกยุทธ์หรือนักรบศักดิ์สิทธิ์ ส่วนสาหรับพลังธาตุฝันของจ้าวแห่งฝันนั้น ให้ผลเพียงเล็กน้อย
“ว่ากันว่าต่อจากเคล็ดวิชานี้ยังมีวิชาต่อเนื่องที่ชื่อว่า ความฝันสีแดง ข้ายังอยู่ระหว่างกระบวนการช่วยเอามันมาให้เจ้า…”
ที่ใต้เคล็ดวิชายังมีอักษรเขียนไว้อีกแถวหนึ่งที่ทาให้ฟางหยวนถอนหายใจ “นางดีกับข้านัก… ข้าไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากสมาพันธ์แห่งอาณาจักร… แต่ก็แน่นอนแหละว่า หากโลกนี้ไร้ซึ่งความรักและความรู้สึกทั้งปวง ข้าก็แน่ใจว่านางคงไม่ลังเลเลยที่จะชักมีดออกมาสังหารข้าซะ!”
หลังจากจดจาเคล็ดวิชาที่บันทึกเอาไว้ ฟางหยวนก็ทาลายผ้าเช็ดหน้าทิ้งเพื่อเป็นการทาลายหลักฐาน ไม่ช้า เขาก็กลับมาถึงที่เทือกเขาสมาพันธ์แห่งอาณาจักร
“น้องชาย เจ้ามาแล้ว!”
การดูแลที่เฟิงซินจื่อได้รับนั้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้เขามีตาแหน่งแห่งที่ของตัวเองในสมาพันธ์แห่งอาณาจักร “ข้าตั้งภารกิจที่เราได้คุยกันก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว แล้วก็ ลองดูดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนนี้สิ!”
ทันใดนั้น เขาก็โบกมือและประกายสีทองก็ปรากฏขึ้น ประกายนั้นมารวมกันเกิดเป็นบรรณหนึ่งที่มีอักขระเวทย์สลักอยู่ อักษรหลายแถวเริ่มร่ายลงไปและยังมีข้อมูลอีกมากมายถูกใส่เข้าไป
“อืม… อารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่งจินหยาง?”
เห็นแล้วสีหน้าของฟางหยวนก็เปลี่ยนไป
เขาไม่ได้บอกเฟิงซินจื่อถึงตาแหน่งของเขาโดยละเอียด ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้รับภารกิจที่อยู่ใกล้กับตาแหน่งที่เขาอยู่มากเพียงนี้ นี่น่าจะเป็นเหตุบังเอิญ
“สมาพันธ์มอบหมายให้เจ้าเป็นอารักษ์คนใหม่ของดินแดนมั่งคั่งจินหยาง และตอนนี้ ก็ไปรับช่วงต่อจากอารักษ์คนก่อนเพื่อปกป้องผืนดินมั่งคั่งนั้นต่อเป็นเวลา… สิบปี!”
เฟิงซินจื่อยิ้มและมีสีหน้าแบบ ‘เจ้า-ได้-รับ-ข้อ-เสนอ-ที่-ดี’ ให้ฟางหยวน
“ดินแดนมั่งคั่ง?”
ขณะที่ฟางหยวนกาลังคิด เขาก็ถอนหายใจหนักดวงตาเป็นประกาย “นี่หมายความว่านอกจากแบ่งสรรทรัพยากรที่ทางสมาพันธ์จะแจกจ่ายให้ทุกปีแล้ว ข้าก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง? และนอกจากนั้น ข้ายังได้รับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นของตนเองอีกหกสิบหมู่?”
“อืม… เจ้าจะพูดอย่างนั้นก็ได้!”
เฟิงซินจื่อพยักหน้า “หลังจากสิบปี สิ่งที่เจ้าได้รับจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หกสิบหมู่นั้นย่อมเป็นของเจ้า เจ้าสามารถเพาะปลูกด้วยตนเอง หรือจะมอบหมายให้ผู้ดูแลการเพาะปลูกก็ได้ แต่ว่า เจ้าต้องจ่ายให้เขาตามปริมาณงานที่เขาทา”
“นี่ไม่เลวเลย!”
ฟางหยวนพยักหน้า “เอาละ เตรียมรับสิ่งของตามที่ตกลงกันด้วย!”
อันที่จริง สมาพันธ์แห่งอาณาจักรนั้นไม่ได้พยายามเอาเปรียบฟางหยวนเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นสมาพันธ์ก็จะสูญเสียความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นของสมาชิก
นอกจากนี้ ฟางหยวนเองก็ยังมีผู้อื่นที่เขาสามารถพึ่งพาได้ เขายังสามารถถามไปที่พี่น้องตระกูลเยี่ยเกี่ยวกับทุกอย่างในสมาพันธ์
“ดี!”
มีความยินดีบนสีหน้าของเฟิงซินจื่อ “หลังจากเข้าสืบทอดตาแหน่งแล้ว เจ้าจะได้รับรู้หน้าที่ของเจ้า ตราบใดที่เจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อหน้าที่ในฐานะอารักษ์ เจ้าจะทาอะไรที่ต้องการก็ได้ทั้งนั้น…”
‘พวกเจ้าปล่อยให้ข้าเก็บเกี่ยวทั้งหมดนั่นให้ตนเอง? ทาอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการ? ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าบอกว่านี่เป็นงานที่มีค่าตอบแทนที่ดี!’
ฟางหยวนคิดกับตัวเอง
ทั้งหมดที่เขาต้องการใช้ในการยืนยันตัวตนของเขาก็คือบรรณสีทองแผ่นนี้ที่มีอักษรสลักเอาไว้และป้ายประจาตัวที่เขามีในอาณาจักรแห่งฝัน เพียงของสองชิ้นนี้เขาก็สามารถพ้นความยุ่งยากไปได้