334: ข้อตกลง
มีจินซิ่งอยู่ที่ข้างตัว ฟางหยวนเดินไปตามผืนดินมั่งคั่งและห้องเก็บของ เขาทิ้งข้อความเอาไว้บนป้ายประจาตัวของอีกฝ่ายและข้อตกลงก็เรียบร้อยอย่างเป็นทางการ
ค่ายกลใหญ่เก้าสิบเก้าตะวันคาราม ระดับของการเข้าถึงถูกเปลี่ยนและส่งต่อจากคนเก่าสู่คนใหม่สาเร็จด้วยดี
จินซิ่งไม่ได้อยู่นานและกลับออกไปหลังจากบอกลา
อย่างไรเสีย เขาก็เป็นนายเก่าที่นี่และการอยู่ต่อก็รังแต่จะทาให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน
“ข้าจะเป็นผู้ดูแลผืนดินมั่งคั่งแห่งนี้ในสิบปีนี้งั้นหรือ?”
ฟางหยวนนั่งลงที่ในห้องโถงและจู่ ๆ ก็นึกถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเขาชอุ่ม
“ตอนนี้ข้าอยู่ที่ต้าเฉียนนี่แล้ว ข้าต้องมีสถานที่ที่จะลงหลักปักฐานชั่วคราว!”
“คารวะนายท่าน!”
ถึงตอนนี้ ฝ่ายดูแลทั้งฝ่ายก็เข้ามาคารวะลงต่า พวกมันดูหวาดกลัว
อย่างไรเสีย อารักษ์ก็ปกครองเหนือหัวของพวกมันและพวกมันก็ไม่ได้คิดที่จะขัดขืน อารักษ์นั้นยังสามารถกดข่มพวกมัน ที่ต่อให้ร่วมแรงกันทั้งห้าร้อยคนได้อย่างง่ายดาย
“อืม พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ!”
ผู้ชายห้าร้อยคนนั้นไม่เพียงพอที่จะทาทั้งไร่สวนกว่าพันหมู่ และยังต้องทางานบนเหมืองทอง แต่มันต่างออกไปหากห้าร้อยคนนี้ประกอบไปด้วยผู้ฝึกยุทธ์สามร้อยคนที่มีระดับการฝึกตนสูงและยังมีอู่จงอีกสองคน
มีเพียงจ้าวแห่งฝันของต้าเฉียนที่สามารถจ้างผู้ฝึกยุทธ์มาเป็นคนงานในเหมืองและเป็นชาวนา
“ข้าน้อยเมิ่งเทียนและเมิ่งกวง คอยรับใช้นายท่านแล้ว!”
อู่จงสองคนลุกขึ้นยืนตรงประสานหมัดมาทางเขา ดวงตาของพวกเขามองตรงมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
บนแผ่นดินใหญ่หยวนอู่ ทั้งคู่ล้วนมีสิทธิ์เป็นถึงผู้ปกครองดินแดนได้อย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งในโลกต้าเฉียน พวกเขานั้นสามารถครองครองสมบัติมหาศาลได้ แต่ว่า ในตอนนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนรับใช้ที่รอรับคาสั่งโดยไม่คิดกังขา นี่ช่างน่าประหลาดและน่าเสียดายนัก
“พลังวิญญาณในต้าเฉียนนั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา ผืนดินมั่งคั่งจินหยางก็เช่นกัน ด้วยพลังวิญญาณเข้มข้นราวกับจะกลั่นเป็นเม็ดฝนวิเศษได้ อาศัยอยู่ในผืนดินมั่งคั่งเช่นนี้สามารถเพิ่มอายุขัยและยังมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับได้สูงขึ้น…”
ฟางหยวนมองไปรอบ ๆ และสั่งออกมาอย่างง่าย ๆ
“ในเมื่อเป็นเจ้าทั้งสองคนรับผิดชอบมาตลอด เช่นนั้นเจ้าก็รับตาแหน่งเดิมต่อไป!”
“ขอบพระคุณนายท่าน!”
อู่จงทั้งสองคนยินดีมากและคารวะลงซ้า ๆ
อย่างไรเสีย พวกมันก็ได้รับการรับรองจากนายเหนือหัวคนใหม่ และสถานะของพวกมันก็มั่นคงแล้ว
เมิ่งเทียนนั้นรับผิดชอบด้านการเพาะปลูก ในขณะที่เมิ่งกวงนั้นดูแลการทาเหมือง
“การทาเหมืองนั้นให้ดาเนินไปตามปกติ พื้นที่เพาะปลูกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฟางหยวนเคาะปลายนิ้วลงบนที่พักแขนของเก้าอี้
“ข้าววิญญาณชนิดใดกันที่พวกเราปลูกอยู่ในตอนนี้?”
เมิ่งเทียนตอบทันที
“นายท่าน เป็นข้าวชิงฮวา!”
ข้าวชิงฮวานั้นเป็นพืขวิญญาณระดับปริศนาและการรับประทานเป็นประจานั้นจะเพิ่มความมั่นคงให้รากฐานพลังธาตุของผู้กิน มันดีสาหรับนักรบศักดิ์สิทธิ์
แต่มันก็ยังเป็นพืชระดับต่ากว่าเมื่อเทียบกับข้าวรวงทอง
“อืม ข้าไม่สนใจแปลงพวกนั้น แต่ให้เตรียมพื้นที่หนึ่งร้อยหมู่จากพื้นที่หนึ่งพันหมู่ของข้าไว้ปลูกข้าวรวงทอง!”
ฟางหยวนลูบคางขณะออกคาสั่ง
“ขะ… ข้าวรวงทอง? นายท่าน ข้าเกรงว่านี่จะทาไม่ได้!”
เมิ่งเทียนมือไม้ปั่นป่วน
“ข้าวรวงทองนั้นต้องการพื้นที่เพาะปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก และผืนดินมั่งคั่งจินหยางนั้นไม่เข้ากับความต้องการนั้น แล้วก็ ปุ๋ยหยกเหลืองก็สามารถใช้ได้เพียงเดือนละครั้ง และพวกเรายังขาดทรัพยากรนี้ ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่มีความสามารถในการเพาะปลูกข้าวชนิดนี้…”
เมิ่งเทียนนั้นเป็นคนซื่อตรงที่ไม่รู้จักใช้คาพูด และสหายหลายคนที่ยืนอยู่ข้างกันก็กลอกตาใส่เขา
“ข้ารู้เรื่องพวกนั้น… แต่ว่า นี่คือพื้นที่ส่วนตัวของข้า และเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนั้นเผื่อข้าหรอก!”
ฟางหยวนอาจจะหยุดความไม่เห็นด้วยนั้นเอาไว้ได้ แต่อันที่จริงแล้ว หากข้าวรวงทองสามารถปลูกได้โดยง่าย สมาพันธ์แห่งอาณาจักรย่อมไม่จาเป็นต้องทาข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเขาแล้ว
บางที อาจจะมีเพียงนายแห่งถ้ามิติแห่งนั้นที่จะสามารถทาตามเงื่อนไขต่าง ๆ ในการเพาะปลูกได้
แต่ฟางหยวนเองนั้นก็ต่างออกไป!
เขามีทักษะทางด้านการดูแลพืชที่พัฒนาไปแล้ว และนี่เป็นโอกาสให้เขาทาการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ เขายังอาจจะสามารถเพาะพันธุ์พืชชนิดที่มีคุณภาพสูงกว่าขึ้นมาได้
“ข้าน้อยรู้ความผิดแล้ว!”
เมิ่งเทียนเหงื่อเย็น ๆ หลั่งไหลหลังจากได้ยินคาตอบของฟางหยวนและรีบกล่าวขออภัย
“ไม่เป็นไร… การจัดการเกี่ยวกับคนที่อยู่ที่นี้ก็ให้เป็นไปตามปกติ แต่ข้าจะเปลี่ยนพื้นที่หกสิบหมู่ของข้าไปเป็นแปลงทดลองปลูก!”
“ขอรับ นายท่าน!”
เมิ่งเทียนและคนงานอื่น ๆ งงงวยไปหมด หรือว่านายท่านตั้งใจจะลงไปทางานในแปลงเพาะปลูกด้วยตนเอง? แต่ว่า….
…
ห้องน้าชาในอาณาจักรแห่งฝัน
“ขอบคุณมากที่ท่านช่วยพวกเราเอาไว้ในถ้ามิติแห่งนั้น พี่ฟาง!”
พี่น้องตระกูลเยี่ยนั่งพับขาอยู่ตรงหน้า
“พวกเราจะตอบแทนน้าใจของท่านอย่างไรดี? ให้น้าชานี่เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกขอบคุณในครั้งนี้เถอะนะ!”
ฟางหยวนมองเยี่ยชูฮวา นางอยู่ในชุดคล้ายพวกผู้ฝึกยุทธ์ขณะที่น้องสาวของนาง เยี่ยชูหมิน นั้นอยู่ในชุดแบบผู้หญิง พวกนางทั้งคู่ล้วนดูงดงามในแบบของตัวเอง
“วันนั้น ตอนที่พวกเราหลงอยู่ในช่องว่างมิติ ข้าก็เป็นห่วงว่าพี่ฟางอาจจะเจอเรื่องอันตราย แต่ข้าก็รู้ว่าโชคน่าจะอยู่ข้างท่านและท่านก็มักจะเปลี่ยนเรื่องราวให้เป็นประโยชน์แก่ท่านได้เสมอ”
ท่าทางของเยี่ยชูฮวานั่นนุ่มนวลและนางก็มองฟางหยวนด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“เหอเหอ… ข้าโชคดีจริง ๆ นั่นแหละ!”
ฟางหยวนลูบจมูกตัวเอง
“พวกเจ้าเจอสิ่งที่ข้าต้องการหรือไม่?”
“ข้อมูลที่ท่านต้องการเกี่ยวกับดินแดนมั่งคั่งจินหยางและเรื่องอื่น ๆ ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว!”
เยี่ยชูฮวายิ้มและส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เขา ถึงแม้ว่าตระกูลเยี่ยจะตกอยู่ในสภาพย่แย่ แต่พวกนางก็ยังคงหาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่ว่านางก็อดจะเตือนเขาไม่ได้
“การปลูกข้าวรวงทองนั้นมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างเข้มงวด นอกเสียจากท่านจะปลูกมันในถ้ามิติ อย่างไรก็ไม่ได้ผล มีเพียงราชวงศ์ต้าเฉียนที่สามารถรับค่าใช้จ่ายระดับนั้นได้… ข้ายังขอแนะนาให้ท่านวางแผนอื่นเถิด!”
“แต่… อย่างไรมันก็คุ้มค่าที่จะลองดู!”
ฟางหยวนย่อมไม่แสดงท่าทีว่าเขามั่นใจว่าจะประสบความสาเร็จ มันจะเป็นการเผยความจริงออกไปว่าเขารู้เคล็ดลับในการปลูกข้าวรวงทอง
เยี่ยชูฮวาเค้นรอยยิ้มออกมา
“เช่นนั้นข้าก็ขอให้ท่านประสบความสาเร็จกับสิ่งที่ท่านลงแรงไป!”
การปลูกข้าวรวงทองนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จ้าวแห่งฝันหลายสิบคนเคยลองมาก่อนแล้ว แต่ความพยายามที่ทุ่มเทลงไปนั้นมากมายกว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานัก นอกจากนี้ เยี่ยชูฮวายังเห็นว่าฟางหยวนตั้งใจเอาไว้แล้ว เช่นนั้นจึงปล่อยไป
‘เขาเป็นชายผู้หยิ่งทระนงและต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเสียก่อนจึงจะรู้…’
ทั้งสามคนเดินออกจากโรงน้าชา เยี่ยชูฮวายังมีรอยยิ้มแปะถาวรไว้บนใบหน้าของนาง
“อารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่งนั้นเป็นตาแหน่งที่ดีจริง ๆ นั่นแหละ แต่การอยู่ในตาแหน่งนั้นคนผู้นั้นต้องดูแลหลายสิ่ง ที่ป้ายหินของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรก็มีบันทึกประสบการณ์การเรียนรู้ในเรื่องนี้อยู่ ท่านลองไปดูสิ!”
พูดคุยกันไปอย่างรื่นรมย์ แล้วพวกเขาก็ไปถึงตรงหน้าป้ายหินของสมาพันธ์แห่งอาณาจักร
“ฮึ่ม!”
ฟางหยวนสังเกตเห็นสายตาริษยาจากชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าเนื้อดีได้ในทันที การที่เขาไม่ได้พุ่งตรงเข้ามาในในทันใดนั้นแสดงให้เห็นว่าเขายังพอมีสติรู้ผิดชอบอยู่
“หืม?”
ฟางหยวนมองไปรอบ ๆ และสุดท้ายก็หยุดสายตาไว้ที่เยี่ยชูฮวา
“เจ้าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในปัญหาชนิดใดอีกแล้วเล่า?”
‘ใช่แล้ว…’
เยี่ยชูฮวาเอนตัวเข้ามาใกล้ฟางหยวนและพูดคุยกับเขาผ่านทางจิต
‘ช่วยพวกเราด้วย!’
เป็นฟางหยวนที่พบว่าพี่น้องทั้งสองนั้นจับแขนเขาเอาไว้คนละข้าง พวกนางจับแน่นจนเขาสามารถรู้สึกได้ถึงร่างกายอบอุ่นนุ่มนวลของพวกนาง
‘ข้าจะได้อะไรในการยอมให้พวกเจ้าใช้ข้าเป็นเกราะกาบัง? ถ้าไม่ใช่เงื่อนไขดี ๆ ล่ะก็ ข้าจะโมโหมาก อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าสองคนในที่สาธารณะนะ และหากข้าทาเช่นนั้น ทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยซ้า’
ฟางหยวนทาสีหน้าเย็นชา
‘ท่านต้องการอะไร?’
เยี่ยชูฮวากัดฟันเงียบ ๆ นางไม่คิดว่าฟางหยวนจะไม่เป็นสุภาพบุรุษถึงเพียงนี้
“ข้าต้องการเคล็ดราตรีสีแดง*ของเก้าขั้นหลอมวิญญาณ และข้าจะจัดการกับเขาให้พวกเจ้า ไม่ว่าคนเบื้องหลังของเขาจะเป็นใครก็ตาม!”
จ้าวแห่งฝันหนุ่มผู้นั้นยังมีระดับการฝึกตนไม่ถึงสวรรค์มายาเสียด้วยซ้าแต่พี่น้องตระกูลเยี่ยกลับกังวลเขานัก เขาน่าจะมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังที่ทรงอานาจ
แต่ฟางหยวนเองก็มีเหมือนกัน
เมื่ออานาจไม่ถูกใช้ มันย่อมหมดความหมายไป ฟางหยวนนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อาวุโสนักหลอม และเขาก็ต้องใช้แผนอื่น
“เคล็ดราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณ?”
เยี่ยชูฮวาอึ้งไปกับความต้องการของเขาแต่อย่างไรนางก็ต้องรับเอาไว้
“ได้!”
“ทาสัญญากับวิญญาณแห่งอาณาจักรไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่เชื่อพวกเจ้า!”
“ได้!”
หลังจากเยี่ยชูฮวาตกลงตามความต้องการของเขา ฟางหยวนก็ดึงพี่น้องตระกูลเยี่ยเข้าหาตัวมากขึ้นและมองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาท้าทาย
“เจ้า…”
ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงก่า เขามองมาราวกับไม่ได้รับความยุติธรรมจากโลกใบนี้และหันหลังกลับออกไป
“ตอนนี้ท่านปล่อยได้แล้ว!”
แก้มของเยี่ยชูฮวาแดงระเรื่อขึ้นมาและร้องออกมาอย่างรีบร้อน
นางรู้สึกถึงแรงดึงดูดเบา ๆ จากฟางหยวนแต่มันช่างกระอักกระอ่วนยิ่งนักที่มาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้องสาวของนางก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า… บางทีเจ้าคงจะบอกข้าได้แล้วไหมว่าเบื้องหลังของเขาคือใคร?”
ฟางหยวนถามคาถามออกมาที่ข้างหูของเยี่ยชูฮวา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คิดอะไร แต่เขาก็ทาให้นางกระวนกระวายมาก
“เขาชื่อหลี่ป๋อ ปู่ของเขาเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่และยังมีอานาจในสมาพันธ์ เท่านั้นแหละ… เขาคิดว่าด้วยอานาจที่เขามี เขาจะสามารถครอบครองพวกเรา…”
เยี่ยชูฮวามองฟางหยวนก่อนจะพูดต่อ
“ไม่ต้องห่วง ท่านไม่ถูกฆ่าหรอก!”
“แต่มันก็ยังนับเป็นปัญหาเช่นกัน! อย่าลืมจ่ายให้ข้าด้วยเล่า…”
จากนั้นฟางหยวนก็ปล่อยสองพี่น้องตระกูลเยี่ยพร้อมกับรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า มันเหมือนเขากลายเป็นอีกคนที่ต่างออกไป
“คนผู้นี้…”
เธอมองฟางหยวนเดินไกลออกไป เยี่ยชูฮวานั้นไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี
“คนเจ้าเล่ห์ผู้นี้ เขากลายเป็นปิศาจร้ายเมื่อเกิดความสนใจส่วนตัว น่าเสียดาย เขาก็ยังไม่เหมาะสมกับพวกเรา…”
ขณะที่นางถอนหายใจ นางก็พบว่าน้องสาวของนางนั้นหน้าแดงและมือไม้ปั่นป่วน
“น้องข้า อย่าบอกข้านะว่าเจ้าตกหลุมรักเขาเข้า? อย่าใสซื่อไปหน่อยเลย เพียงเพราะแค่ช่วยชีวิตพวกเราครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าจะเสียใจเรื่องนี้ภายหลัง…”
เยี่ยชูหมินกัดริมฝีปากและถามพี่สาวกลับ
“แต่พี่คะ… ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้สามารถช่วยเราเรียกคืนเกียรติของตระกูลเราได้หรอกเหรอ?”
“เจ้า…”
เยี่ยชูฮวาประหลาดใจและมองหน้านางด้วยสายตาประหลาด
เมื่อคิดว่าน้องสาวของนาง แม่นางน้อยที่หลบอยู่ด้านหลังตั้งแต่ยังเยาว์ กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจากเหตุการณ์ในถ้ามิติ
…
“ดูเหมือนว่าจะมีวิธีอื่นในการได้มาซึ่งราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณ เมื่อคิดถึงว่าตระกูลเยี่ยเคยมั่งคั่งถึงเพียงนั้น… นางตกลงอย่างง่ายดาย ข้าคิดว่าจะมีการต่อรองเสียอีก…”
อันที่จริง ถึงแม้ว่าหลิวเมิ่งเหมยนั้นได้เริ่มการค้นหาแล้ว ฟางหยวนก็ยังต้องการความมั่นใจเพิ่ม
พลังชั่วร้ายล้าเลิศในธาตุฝันของเขานั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดา ไม่ว่าในนั้นจะมีโอกาสอันดีเช่นไรอยู่ สาหรับเขาแล้ว พลังที่ควบคุมไม่ได้ต้องกาจัดออกไปทันที
“แล้วก็… พวกเราไม่สามารถปล่อยให้หลิวเมิ่งเหมยทาทุกอย่าง เป้าหมายยิ่งใหญ่โตย่อมนาไปสู่การกระทาที่มากขึ้น หากพวกเราถูกเปิดโปง ทุกอย่างที่ทามาก็จะไร้ค่าแล้ว…”
ร่างของฟางหยวนจางหายไป เขากลับสู่โลกจริง
เมื่อเขาเดินออกจากห้องโถง กลิ่นหอมของผืนดินศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทะเข้ากับประสาทสัมผัสของเขา ภายในหมอก เขามองเห็นชาวนาบางคนกาลังทางานขยันขันแข็ง
ฟางหยวนมองภาพตรงหน้าแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างพึงพอใจ
ราตรีสีแดง*ของเก้าขั้นหลอมวิญญาณ เดิมทีแปลไว้เป็น ความฝันสีแดง แต่พอมาถึงตอนนี้ (และตอนถัด ๆ ไป) ฉบับภาษาอังกฤษได้เปลี่ยนคา จึงเปลี่ยนตาม ทางผู้แปลต้องขออภัยในความไม่สะดวกนี้ด้วย