Novel-Kawaii - อ่านนิยาย อ่านนิยายออนไลน์ นิยายพากย์ไทย นิยายซับไทย

Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 335

เรื่อง Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 335

335: ข้าวรวงทอง
ค่ายกลปกป้องพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า ครอบคลุมพื้นที่ส่วนตัวทั้งหกสิบหมู่
นี่เป็นค่ายกลรวมเวทย์ที่ฟางหยวนร่ายขึ้นเอง เขาร่ายค่ายกลนี้ครอบพื้นที่ส่วนตัวของเขาเอาไว้ แต่ในเมื่อเขาเป็นอารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่งนี้ จึงไม่มีใครพูดอะไรได้
แน่นอนว่า ฟางหยวนก็รู้ตัวอยู่
ถึงแม้ว่าค่ายกลจะดูคล้ายเป็นค่ายกลรวมเวทย์ แต่ว่ามันมีผลลัพธ์ซ่อนเร้นในการผนึกพื้นที่เอาไว้เช่นกัน อย่างไรเสีย เขาก็เตรียมพื้นที่นี้เอาไว้ปลูกข้าวรวงทองและดังนั้น มันจึงได้รับการดูแลที่ต่างไปจากพื้นที่อื่น
“ด้วยค่ายกลนี้ หากมีคนรับใช้คนใดของข้ากล้าเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวของข้า ข้าก็สามารถสังหารมันผู้นั้นได้ในทันที นี่ย่อมเป็นเหตุเป็นผลในเมื่อข้าได้เตือนพวกเขาเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว!”
ฟางหยวนคิดกับตัวเองเงียบ ๆ “ที่ดินแปลงนี้นั้นจะรวบรวมพืชพันธุ์ที่พัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ เมื่อข้าได้รับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งผืนเรียบร้อยแล้ว จากนั้นข้าก็จะปลูกพืชพวกนี้ให้มากขึ้น”
“ด้วยระดับปัจจุปันของข้า กินข้าวรวงทองเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
ถึงแม้ว่าเขาจะมอบข้าวรวงท้องส่วนใหญ่ให้กับสมาพันธ์ไปแล้ว เขาก็ยังไม่ต้องกังวลเพราะว่าเขายังคงมีเมล็ดพันธุ์เหลืออยู่!
“ข้าวรวงทองที่ข้าเหลืออยู่นั้นสามารถใช้ปลูกลงนาได้ถึงหกหมู่และยังเพียงพอให้ข้ากินได้อีกหลายมื้อ! เพราะเช่นนี้ ข้าจึงสามารถลองปลูกดูก่อนได้!”
เมื่อฟางหยวนไปถึงที่ห้องครัว เขาก็สั่งให้เหล่าคนรับใช้ออกไปก่อนที่จะหุงข้างรวงทองให้ตัวเองหนึ่งหม้อ
เมื่อข้าวหุงสุกดีแล้ว กลิ่นของมันก็ทาให้จมูกของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“มันบันทึกเอาไว้ว่า ข้ารวงทองนั้นเมล็ดโตใหญ่กว่าข้าวปกติอื่น เก็บเกี่ยวได้น้อยและยังไม่ทนแล้ง ดังนั้น มันจึงหาได้ยากมาก กลิ่นของข้าวเมื่อหุงสุกนั้นนับได้ว่าเป็นข้าวกระยาเทพ! อันที่จริง เพราะมันมีคุณสมบัติของธาตุฝัน มันจึงเหมาะสมที่จ้าวแห่งฝันจะกินเป็นอาหารเป็นที่สุด!”
เขาตักข้าวใส่เต็มชามหยก ใช้ตะเกียบคีบข้าวเข้าปากเต็มคา
“หอมมากและเนื้อสัมผัสดีเยี่ยม!”
เมื่อเทียบกับอาหารทั้งหมดที่เขาเคยกินมาก่อน ฟางหยวนก็นับได้ว่าลิ้มลองอาหารอันปราณีตมากมาย! ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทาให้เขารู้สึกพึงพอใจในรสชาติได้!
แต่ตอนนี้ เมื่อกินข้าวรวงทอง ความรู้สึกอันปลอบประโลมก็เริ่มพุ่งขึ้นจากท้องของเขา ตรงสู่หัวใจของเขา
“ข้าวนี้มีความสามารถในการปลอบประโลมและยังชดเชยพลังธาตุของข้าได้เป็นอย่างดี…”
ฟางหยวนปล่อยให้ตนเองได้ดื่มด่ากับความรู้สึกอบอุ่นและปลอบประโลมในจุดตันเถียนเงียบ ๆ ขณะที่ความอบอุ่นรวมตัวกัน ก็ราวกับมีน้าพุร้อนสายหนึ่งไหลเรื่อยไปทั่วร่างของเขา ในที่สุด มันก็กลายไปเป็นพลังสายหนึ่งซึ่งไหลเวียนขึ้นไปตามสันหลังของเขา เข้าสู่ช่องว่างใหม่ในร่างกายของเขาที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่มาก่อน
“มันยากที่จะพบของวิเศษที่สามารถช่วยเพิ่มพูนพลังเวทย์ได้จริง ๆ นั่นแหละ… และที่สาคัญที่สุด มันยังไม่ใช่เพียงระดับฟ้าหรือดิน ข้ายังสามารถปลูกเป็นปริมาณมากได้ นี่ยิ่งทาให้มันมีค่ามากขึ้น!”
ในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขา ลาแสงสีเหลืองปรากฏขึ้น มันราวกับมีบางอย่างในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขาถูกปลุกขึ้นมา พลังเวทย์ของเขากลับคืนมาอย่างรวดเร็วและยังค่อย ๆ สงบลง
ในประกายแสงสีเหลือง พลังเวทย์ของเขาเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกันทาให้พลังธาตุฝันที่คล้ายปรอทในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงนั้นเติมเต็มกลับมาอย่างรวดเร็ว
“อืม… หากข้าสามารถกินข้าวรวงทองได้ทุกวัน ข้าก็จะสามารถฟื้นฟูพลังธาตุฝันของข้ากลับมาได้เร็วกว่าแต่ก่อนถึงสามเท่า!”
ขณะที่จิตวิญญาณของเขากาลังตรวจดูการฟื้นฟูพลังธาตุฝัน เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นและพยักหน้า “ไม่ต้องพูดถึงว่า ยังมีประโยชน์ของการดูดซับคุณสมบัติธาตุฝันที่แฝงอยู่ในข้าวชนิดนี้ มันย่อมต้องแตกต่างไปอย่างเห็น
ได้ชัดหากข้าดูดซับคุณสมบัติธาตุฝันได้ในปริมาณมาก… นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”
ที่โลกภายนอก เขาก็ไม่ยั้งตัวเองแล้ว ความกระหายของอู่จงระดับชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่สี่นั้นมากมายนัก เพียงพริบตา เขาก็จัดการข้าววิญญาณทั้งหมดลงท้องหมดก่อนจะลูบท้องอย่างพึงพอใจ ตอนนี้เขาเตรียมมุ่งหน้าไปที่นาและลงมือทางานเพื่อช่วยการย่อยข้าวที่เพิ่งกินเข้าไป
เมื่อเขาออกไป เจตจานงเวทย์ของเขาก็สั่นไหว เขาพบว่าคนรับใช้สองคนพุ่งตรงเข้าไปในครัว พวกเขาสูดดมอากาศในนั้นและยังแย่งชิงหม้อโลหะกันอย่างละโมบ
‘นี่พวกเขาสู้กันเพื่อน้าที่ใช้ล้างหม้อเนี่ยนะ…’
เขาคิดก่อนจะส่ายหน้า มุ่งหน้าตรงไปที่แปลงปลูก
“อืม… ผืนดินอุดมสมบูรณ์พอ นี่ดีกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เดิมของข้าเสียอีก!”
เขากอบดินขึ้นมาเต็มกามือ ดินเป็นสีดาและร่วน มันยังมีประกายราวกับจะเค้นออกมาเป็นน้ามันได้ นอกจากนี้ ยังมีชั้นสีขาวบาง ๆ อยู่เหนือดินสีดา
นี่ไม่ใช่เกล็ดน้าค้าง แต่ว่าเป็นพลังธาตุที่กลั่นตัวจนจับต้องได้ นี่เทียบได้กับเศษชิ้นส่วนผลึกพลังธาตุ มันเกิดจากค่ายกลรวมเวทย์ของเขานั่นเอง
“ดินนี่อาจจะเทียบได้กับที่ในถ้ามิตินั่น…”
คิดถึงสภาพแวดล้อมในผืนดินมั่งคั่งแล้วเขาก็คิดไปถึงสภาพแวดล้อมในถ้าฉางหลีซานและก็ส่ายหน้า “ถึงแม้ว่าปราชญ์ผู้นั้นจะจากไปแล้ว สภาพแวดล้อมที่นั่นก็ยังคงเหนือกว่าเมื่อเทียบกับโลกภายนอกนี่”
เมื่อแน่ใจว่าดินที่ในผืนดินมั่งคั่งนี้อุดมสมบูรณ์ดี มันก็เป็นไปได้ที่จะลองปลูกข้าวรวงทอง ถึงอย่างไร มันก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะต้องใช้ทรัพยากรจานวนมากในการปลูกข้าวรวงทอง มากกว่าที่เขาเคยใช้ ดังนั้น การสูญเสียก็คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อคิดถึงเงื่อนไขด้านสภาพแวดล้อมในตอนนี้ ข้าต้องสร้างข้าวรวงทองสายพันธุ์ที่มีเงื่อนไขในการเติบโตน้อยที่สุด”
ความคิดของฟางหยวนนั้นเรียบง่าย ผืนดินหกหมู่นี้ใช้เพื่อทดลอง เขาแน่ใจว่าสามารถปลูกข้าวรวงทองได้ แต่ว่าโอกาสในการกลายพันธุ์นั้นต้องคอยดูอีกทีหนึ่ง
หากเขาสามารถสร้างสายพันธุ์พิเศษที่มีระดับสูงขึ้น เช่นนั้นก็คงดีมาก แต่ว่า มันไม่ใช่สิ่งจาเป็นที่สุด ทั้งหมดที่เขาต้องการก็คือสายพันธุ์พิเศษที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในตอนนี้
เมื่อเขามีเมล็ดของสายพันธุ์พิเศษนั้นแล้ว ต่อไปเขาก็จะสามารถปลูกได้ในปริมาณมากเมื่อได้รับที่ดินทั้งผืน
“นอกจากนี้ ถ้าทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นและหากข้าวรวงทองนั้นยากที่จะพัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ เมื่อคิดถึงระดับของทักษะการดูแลพืชของข้า
มันก็ยังเป็นไปได้ที่ข้าจะเก็บเกี่ยวข้าวรวงทองที่ปลูกได้ อย่างน้อยที่สุด ข้าก็จะได้ผลผลิตที่ข้าหว่านลงไปกลับคืนมา…”
เขามองหน้าต่างสถานะของตัวเอง
“การดูแลพืช (ระดับ 5)— เจ้าเป็นปรมาจารย์ในโลกแห่งพืชพรรณ! พืชทุกชนิดที่เจ้าปลูกไม่เพียงแค่จะถูกปลุกพลังขึ้นมา แต่จะยังพัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ ระยะเวลาที่ใช้ในการเติบโตยังสั้นลงขึ้นกับสภาพแวดล้อม!”
ดังนั้น เขาจึงเริ่มลงมือหว่านเมล็ดข้าวรวงทอง
เพราะความลับนี้ เขาจึงไม่สามารถขอให้ผู้ใดเข้ามาช่วยได้ นอกจากนี้ เพื่อให้มีโอกาสในการกลายพันธุ์ เขาจาต้องลงมือด้วยตนเอง
เขาจะได้ผลผลิตสิ่งที่เขาหว่านลงไป นี่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ

“ฟางหยวน! ฟางหยวน!”
บนเทือกเขาสมาพันธ์แห่งอาณาจักร ภายในห้องโถงด้านข้าง หลี่ไป๋กัดฟันขณะอ่านข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้ เขาก็เริ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เขาก็แค่จ้าวแห่งฝันกระจอก ๆ ที่บังเอิญโชคดีได้เป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายา เขากล้าดีอย่างไรมาดูถูกข้า… ใช่! มันก็จริงที่ข้าทาอะไรไม่ได้! แต่ว่า ถึงแม้ว่าตระกูลของข้าจะไม่ได้มีอิทธิพลเช่นตระกูลเยี่ย พวกเราก็ยังภักดีกับสมาพันธ์แห่งอาณาจักรมาถึงสามชั่วอายุ เจ้าไม่มีสิทธิ์มารังแกพวกเรา!”
ใบหน้าของเขาแดงก่าด้วยความขุ่นเคือง ขณะที่เขามุ่งหน้าไปที่โถงหลัก เขาคุกเข่าลง “ท่านปู่! ท่านต้องช่วยรักษาความเป็นธรรมให้ข้า!”
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา!”
ที่กลางห้องโถงหลัก บนเตียงเมฆา เงาร่างหนึ่งปรากฏนิ่งอยู่
ตระกูลของพวกเขานั้นอ่อนแอ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเพียงใด ก็มีเพียงคนผู้เดียวท่ามกลางทายาททั้งหมดที่สามารถกลายเป็นจ้าวแห่งฝันได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงจ้าวแห่งฝันระดับต่า แต่ก็นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าก้าวใหญ่ของตระกูล ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่คนละระดับกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เมื่อมีทายาทเช่นนี้ สถานะของพวกเขาในสมาพันธ์แห่งอาณาจักรก็มั่นคงขึ้น ดังนั้น หลายตระกูลก็ยังริษยาพวกเขา
แต่ว่า ในตอนนี้นั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ตระกูลจัดการไม่ได้
“ท่านปู่… ข้าทาตามที่ท่านสั่ง ข้าเกี้ยวพาสองพี่น้องตระกูลเยี่ย ถึงแม้ว่าจะมีท่านเป็นหัวหน้าตระกูลของพวกเรา พวกเราก็ยังมีมรดกสืบทอดไม่มากนัก หากพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยได้ ฐานะของพวกเราในสมาพันธ์ก็จะมีหลักประกันแล้ว!”
หลี่ไป๋นั้นไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นอันใดนัก “ตอนนี้ สองพี่น้องตระกูลเยี่ยนั้นใกล้ชิดกับฟางหยวน… แน่นอนว่า ข้าไม่ได้ตามเกี้ยวพาพวกนางเพราะรูปโฉม อย่างไร ก็เป็นที่รู้กันว่าทรัพยากรของสมาพันธ์นั้นมีจากัด การรุ่งเรืองขึ้นของตระกูลหนึ่งย่อมทาให้ตระกูลอื่นต้องตกต่าลง เมื่อมีฟางหยวนผู้นั้น
เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเขาแต่งกับนางคนใดคนหนึ่ง สถานะของตระกูลของเราในสมาพันธ์ย่อมถูกลดลง…”
“นี่… เจ้าก็พูดถูก!”
เงาร่างนั้นพยักหน้าก่อนจะเผยตัวออกมา เป็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างาม เขาคือปู่ของหลี่ไป๋ จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ของสมาพันธ์แห่งอาณาจักร— หลี่ฉิน
“วิญญาณแห่งอาณาจักร มอบข้อมูลเกี่ยวกับฟางหยวนให้ข้า…”
เมื่อเข้าไปที่เทือกเขาสมาพันธ์แห่งอาณาจักรในอาณาจักรแห่งฝัน และด้วยการเป็นผู้ฝึกตนบรรณที่สี่ สิทธิ์การเข้าถึงของเขาจึงนับได้ว่าค่อนข้างสูง เพียงแค่คิด เขาก็ได้รับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับฟางหยวน ซึ่งก็ยังมีรายละเอียดมากกว่าที่หลี่ไป๋พูดถึง
“เขาเพิ่งอายุเพียงยี่สิบกว่าปีและเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สามแล้ว? มีพรสวรรค์จริง ๆ!”
หลังจากอ่านไม่กี่บรรทัด หลี่ฉินก็พยักหน้ารู้สึกราวกับเห็นตนเองเมื่อยังเยาว์ “เมื่อมีสมาชิกใหม่โดดเด่นขึ้นมา หลายคนเช่นพวกเราที่มีรากฐานอ่อนแอก็ต้องลงมือทาอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราไม่ถูกกดข่มลงไป ไม่ต้องสนใจว่าเขามาจากฝ่ายที่มีอานาจ… ตอนนี้เขาเป็นอารักษ์ผืนดินมั่งคั่งจินหยางใช่หรือไม่? ใครจะไปคิดว่าเขายังมีเฟิงซินจื่อและอาจจะมีผู้อาวุโสนักหลอมเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง…”
“ท่านปู่… ผู้อาวุโสนักหลอมนั้นมีอานาจถึงเพียงนั้นหรือ? พวกเราเองก็มีจ้าวแห่งฝันผู้มีพรสวรรค์ที่กาลังโดดเด่นขึ้นมาเช่นกัน ใครจะไปสนใจผู้อาวุโสนักหลอมกัน? แล้วยังไม่ใช่ว่าเบื้องหลังพวกเราก็มีผู้อาวุโสชิงมู่เช่นกันหรือ?”
หลี่ไป๋รีบพูด
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะพูดถูก เฟิงซินจื่อนั้นก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฟางหยวน เฟิงซินจื่อนั้นเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาที่เพิ่งบรรลุขั้นที่สี่ และตอนนี้ก็นับว่าเป็นจ้าวแห่งฝันที่ทรงอานาจผู้หนึ่ง สิทธิ์การเข้าถึงในสมาพันธ์ของเขานั้นเลื่อนขึ้นเป็นบรรณที่ห้าแล้ว!”
หลี่ฉินพูดด้วยน้าเสียงสงบ แต่ในใจเขา เขาก็รู้สึกไม่ยินดีเล็กน้อย
หลายปีก่อน เขาเข้าร่วมกับสมาพันธ์แห่งอาณาจักรและเต็มใจทาทุกอย่างที่สมาพันธ์มอบหมายให้ แต่ว่า เขากลับโชคร้ายพอที่จะสูญเสียทุกอย่างไปในช่วงอายุของเขา ตอนนี้ที่เขาเพิ่งรวบรวมทรัพยากรได้มากพอที่จะบรรลุขั้นที่สี่สวรรค์มายา เขาต้องช่วยตระกูลของเขาให้ยืนหยัดอยู่ในสมาพันธ์ได้อย่างมั่นคง ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังนับได้ว่าเป็นคนนอก ดังนั้นจึงยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนบรรณที่สี่เท่านั้น
ตรงกันข้าม เฟิงซินจื่อนั้นเป็นศิษย์สายตรงและได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้ฝึกตนบรรณที่ห้าทันทีหลังจากบรรลุขั้นที่สี่สวรรค์มายาและอยู่เหนือกว่าหลี่ฉินหนึ่งขั้น
ซึ่งสมาพันธ์ได้อธิบายว่าเป็นเพราะเฟิงซินจื่อนั้นเป็นผู้แปรธาตุและสามารถให้ความช่วยเหลือสมาพันธ์ได้เป็นอย่างมาก แต่ว่า ไม่มีใครรู้ความจริง ว่าการปฏิบัติที่แตกต่างกันนี้มีให้เฉพาะกับศิษย์สายตรงเท่านั้น!
คนนอกทาได้เพียงมองอย่างริษยา หากพวกเขาแสดงความไม่พอใจออกมาก็จะเผชิญหน้ากับปัญหามากมายจากสมาพันธ์ได้
และยังมีเรื่องของฟางหยวน…
ถึงแม้ว่าพื้นเพของฟางหยวนนั้นจะคล้ายกับหลี่ฉิน แต่หลี่ฉินก็ไม่ได้มีความสงสารให้เขาแม้แต่นิด
เขาเคยประสบกับความยากลาบากมากก่อน ดังนั้น ในจิตใจคับแคบของเขา เขาย่อมอยากเห็นผู้อื่นเผชิญหน้ากับความยากลาบากเช่นเดียวกับที่เขาเคยประสบมาก่อนเขาถึงจะพอใจ
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะประสบกับความลาบากในตอนที่เพิ่งเข้าสู่สมาพันธ์ แต่ด้วยฐานะของเขาในตอนนี้ เขาก็ต้องจับตาดูด้วยตนเองแล้ว ต่อให้ไม่มีความเกลียดชังอยู่ระหว่างพวกเขา หลี่ฉินก็ยังคงไม่สบายใจที่เห็นฟางหยวนได้รับการเลื่อนขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนบรรณที่สามภายในเวลาอันสั้น
เพราะอย่างนั้นเขาจึงสรุปออกมา “อย่างไรเฟิงซินจื่อก็ไม่ใช่ฟางหยวน เฟิงซินจื่อเพิ่งได้เลื่อนขั้นและยังมีอิทธิพลจากัด ดังนั้น เขาคงไม่ทุ่มเทช่วยเหลือฟางหยวน… หลานข้า เจ้ารอก่อน ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เจ้า!”
เมื่ออยู่ในสมาพันธ์เดียวกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะก่อความขัดแย้งภายใน มันไม่ใช่เรื่องดีต่อฝ่ายใดเลยเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้น
แต่ว่า หลี่ฉินนั้นคุ้นเคยอย่างยิ่งกับช่องว่างของกฎของสมาพันธ์และรู้ว่าจะจัดการกับฟางหยวนอย่างไร อย่างไรเสีย เขาก็เคยประสบด้วยตัวเองมาก่อนและยังได้ประสบการณ์นั้นมาพร้อมเลือด หยาดเหงื่อและน้าตา
‘ตั้งแต่ก่อนมา เบื้องบนกดข่มเบื้องล่าง ถึงแม้ว่าสมาพันธ์แห่งอาณาจักรจะไม่ได้เคร่งครัดในกฎระเบียบนัก แต่ก็ยังมีการใช้อยู่ มันเป็นเรื่องง่ายดายนักสาหรับข้าที่จะจัดการกับเขาโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้… เหอเหอ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นหน้าใหม่และก็สมควรจะต้องผ่านความยากลาบากบ้าง หากเขาไม่ถูกกดดัน เขาย่อมไม่พัฒนาและไม่ก้าวหน้า นี่เป็นความทุ่มเทของข้าในการฝึกฝนเจ้า!’
หลี่ฉินหัวเราะกับตัวเองและเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่สามารถแก้แค้นแทนหลานชายของตนได้

อ่านตอนอื่นๆของ Carefree Path of Dreams คลิกเลย

แฟนเพจ