336: ความหมายของการฝึกตน
อาณาจักรแห่งฝัน
ฟางหยวนเดินไปตามถนนในอาณาจักรแห่งฝัน พื้นที่สาธารณะที่ก่อขึ้นจากสัตว์ร้ายนามคุ่นนั้นยังอึกทึกเหมือนทุกครั้ง
จ้าวแห่งฝันมากมายมีแสงสว่างลึกลับปิดบังตัวตนของตนเอาไว้ พวกเขาเดินไปตามถนนหนทางที่วุ่นวายและไปรวมกันอยู่ที่ป้ายหินที่มีสี่ด้านที่ใจกลางเขตการค้าเพื่อค้นหาภารกิจ
“จ้าวแห่งฝันที่คิดและสร้างอาณาจักรแห่งฝันแห่งนี้ขึ้นมาช่างเป็นอัจฉริยะโดยแท้!”
ขณะที่ฟางหยวนมองไปตามถนน เขาก็ถอนหายใจและคิด “พลังอานาจอันแท้จริงเป็นทุกอย่าง! ด้วยพลังยิ่งใหญ่เท่าใด ก็จะยิ่งมีตัวตนและสถานะ… อาณาจักรแห่งฝันช่วยให้จ้าวแห่งฝันทั้งต้าเฉียนเก่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็วและยังก่อตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า พวกเขาย่อมครอบครองอานาจเหนือทั้งโลกใบนี้! นี่ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนดีหรือชั่วร้าย มันคือสัญชาตญาณพื้นฐาน!”
ถึงแม้ว่าจะมีสมาพันธ์แห่งอาณาจักรที่เป็นกลางและมีไป๋เจ๋อซานที่เป็นฝ่ายดีอยู่ในห้าสานักยิ่งใหญ่ ฟางหยวนก็ได้ทาความเข้าใจใหม่จากเหตุการณ์ที่ถ้าฉางหลีซาน
“สุดท้ายแล้ว ก็ไม่สาคัญว่าดีหรือร้าย พวกเราล้วนเป็นจ้าวแห่งฝัน… ดังนั้น จึงไม่สามารถทนรับการทรยศได้ จากวิถีที่ห้าสานักยิ่งใหญ่ปฏิบัติกับองครักษ์มังกรซ่อน ก็บอกได้ว่าทั้งห้าสานักนั้นมีความเกลียดชังเฉกเดียวกันต่อศัตรูร่วมของพวกตน ถ้าหากเกิดความขัดแย้งภายในเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่แบ่งสรรไม่ลงตัว ข้าเดาว่าต้าเฉียนต้องตกอยู่ในความวุ่นวายเป็นแน่?”
ฟางหยวนไปที่เทือกเขาสมาพันธ์แห่งอาณาจักรแทนที่จะไปที่จัตุรัสสาธารณะ
ตั้งแต่ที่เขาได้รับสิทธิ์การเข้าถึง ถึงแม้ว่าจะสามารถบันทึกให้เทือกเขาสมาพันธ์แห่งอาณาจักรเป็นสถานที่ที่เขาจะถูกส่งตัวเข้ามาหลังเข้ามาในอาณาจักรแห่งฝันนี้ก็ได้ ฟางหยวนก็ยังชอบที่จะเดินทางผ่านบริเวณสาธารณะมากกว่า
“หลังจากได้เป็นผู้ฝึกตนบรรณที่สี่ก็จะสามารถใช้หอสัมฤทธิ์เป็นสถานที่ฝึกฝนและทดลองทุกประเภทได้…”
อันที่จริง การเข้าร่วมสมาพันธ์แห่งอาณาจักรยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมาก
สมาพันธ์แห่งอาณาจักรช่วยเหลือฟางหยวนได้มาก ตั้งแต่ช่วยเขาเรื่องความขัดแย้งกับลัทธิบัวสวรรค์และยังตาแหน่งอารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่งจินหยาง
“ดังนั้น ข้าจะยังคงอยู่ในสมาพันธ์แห่งอาณาจักร! จ้าวแห่งฝันที่มีไม่สังกัดนั้นมักจะมีชีวิตไม่ยืนยาว… โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างช่วงเวลาที่ความขัดแย้งกาลังจะรุนแรงมากขึ้น!”
ฟางหยวนนั้นมีลางสังหรณ์ว่าความขัดแย้งระหว่างจ้าวแห่งฝันและราชวงศ์แห่งต้าเฉียนจะยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดมันก็จะระเบิดออกมา!
บางที เหตุการณ์ที่ถ้าฉางหลีซานเมื่อเร็ว ๆ ก็อาจจะเป็นแค่บทนาและหายนะที่แท้จริงกาลังรออยู่เบื้องหน้าแล้ว
เมื่อฟางหยวนเข้าไปใกล้ป้ายหินของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรมากขึ้น เขาก็หาศาลาเล็กนั่งลง จากนั้นก็ส่งข้อความออกไป “น้องเยี่ย ข้ามาถึงแล้ว!”
“กรุณารอสักครู่เจ้าค่ะพี่ฟางหยวน…”
ป้ายประจาตัวสว่างเรืองขึ้นและไม่ช้า สองพี่น้องก็จูงมือกันมาถึง คนพี่นั้นโผงผางอย่างเคยและนั่งลงในทันที ขณะที่คนน้องนั้นแก้มเป็นสีเรื่อขึ้นและมองไปรอบ ๆ อย่างอาย ๆ
“ดูเหมือนจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ท่าทีของนางต่างออกไป…” ฟางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจจะคิดต่อและถาม “เจ้าติดต่อข้าบอกว่าเจ้าหาเคล็ดวิชานั้นได้แล้ว?”
“ถูกต้อง! นี่คือราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณ!”
เยี่ยชูฮวาดึงเอาผลึกสีแดงเลือดก้อนหนึ่งออกมาแล้วพูด “เคล็ดวิชานี้สร้างขึ้นโดยจ้าวแห่งฝันที่ระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดผู้หนึ่ง มันสามารถกาจัดพลังชั่วร้ายและยังแพงมาก… แต่ว่า เพราะตระกูลของข้ายังพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง พวกเราพบมันที่ห้องสมุดลับของตระกูลของสหายผู้หนึ่ง!”
“ขอบใจเจ้ามาก!”
ฟางหยวนรับมันไว้ เมื่อเขาเพ่งเข้าไปในผลึกสีแดงเลือดนี้ เขาก็เห็นอักขระอันน่าประหลาดย่อหน้าหนึ่ง
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับเก้าขั้นหลอมวิญญาณที่หลิวเมิ่งเหมยส่งให้ เขาก็เห็นว่ามันเชื่อมต่อกันได้อย่างพอดี ดังนั้น เขาจึงเชื่อในสองพี่น้องและรับปาก “ในเมื่อข้าได้รับสิ่งของตามตกลงแล้ว เจ้าก็วางใจได้ว่าข้าจะจัดการกับหลี่ไป๋ผู้นั้นและยังหลี่ฉินที่เบื้องหลังเขาด้วย!”
นี่เป็นเพราะฟางหยวนเองก็มีคนที่เบื้องหลัง ซึ่งก็คือผู้อาวุโสนักหลอมและเฟิงซินจื่อ
ถึงแม้จะพูดได้ว่าความสัมพันธ์นั้นต้องค่อย ๆ บ่มเพาะ แต่อันที่จริงแล้ว ความดีความชอบนั้นมีแล้วต้องรีบใช้ หรือไม่อย่างนั้นมันอาจจะนามาซึ่งปัญหาใหญ่และความแค้นระหว่างกัน
ครั้งนี้ ในเมื่อเยี่ยชูฮวาหาเคล็ดวิชาเจออย่างรวดเร็วและทาตามข้อตกลงได้ มันก็คือการสิ้นสุดความสัมพันธ์ของพวกเขา
จากนี้ไป ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว
นี่เป็นธรรมชาตินิสัยของฟางหยวน
เยี่ยชูฮวาลุกขึ้นยืนช้า ๆ และคารวะให้เขา จากนั้นนางก็ลากน้องสาวของนางที่ดูเหมือนจะอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดกลับออกไป
ฟางหยวนยังนั่งอยู่ที่เดิม มีท่าทางเหมือนรอใครสักคนอยู่
แล้วก็จริง เพียงไม่นานหลังจากนั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็มาถึง เขายังหล่อเหลาและยังดูสง่างาม เขาดูสงบและเรียบง่าย ที่ด้านหลังเขาคือหลี่ไป๋ที่ดูทระนงและเย่อหยิ่งที่ทาให้ฟางหยวนนึกถึงไก่ตัวผู้ตัวใหญ่ ๆ
ชายวัยกลางคนเดินตรงมานั่งตรงหน้าฟางหยวน จากนั้นเขาก็พูดด้วยท่าทางตรงไปตรงมาน้าเสียงซื่อตรง เขาดูไม่เหมือนกาลังอวดโอ่ใดอยู่
“ข้าชื่อหลี่ฉิน จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่! ผู้ฝึกตนระดับบรรณที่สี่ของสมาพันธ์!”
“เอ่อ… แล้วอย่างไรรึ?”
ฟางหยวนยิ้มขา
ฟางหยวนต้องลงมืออย่างเต็มที่ในเมื่อทาข้อตกลงเอาไว้แล้ว แต่เพราะสิ่งที่ชายผู้นี้พูดนั้นไม่หมายความว่าฟางหยวนต้องยอมลงให้
“คล้าย… คล้ายมาก!”
หลี่ฉินพึมพา “เห็นเจ้าแล้วก็เหมือนเห็นตัวเองเมื่อยังเยาว์! ข้าก็เคยเป็นแบบเจ้า ฉลาดและเฉียบแหลม เหมือนดาบคมกริบที่เพิ่งออกจากฝัก! แต่ในฐานะของคนที่เคยเป็นเช่นเดียวกันนั้น ข้าขอแนะนาให้เจ้าตระหนักถึงตาแหน่งแห่งที่และข้อจากัดของตนเอง… อย่าได้หุนหันเกินไป
ไม่อย่างนั้นเจ้าจะพบเจอกับปัญหามากมายรอเจ้าอยู่! นี่เป็นคาเตือนจากผู้มีประสบการณ์มาก่อนเช่นข้า!”
ชายคนนี้น่าสนใจ เขาไม่พูดถึงพี่น้องตระกูลเยี่ยหรือว่าใช้ฐานะของตนเองรังแกฟางหยวน กลับกัน เขากลับเหมือนปู่ผู้ชราแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของตนและยังมอบคาแนะนาอันน่าอบอุ่นให้
แต่ว่า สายตาของฟางหยวนก็เปลี่ยนไปทันทีและเริ่มหัวเราะ “ตาแก่หัวโบราณ… เจ้าล้าหลังเกินไปแล้ว!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
ดวงตาของหลี่ฉินมีประกายเย็นวาบพาดผ่าน มันราวกับจะมีเสียงลั่นเปรี๊ยะดังมาจากรอบ ๆ
ด้านหลังหลี่ฉิน หลี่ไป๋ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ เขารู้สึกว่าฟางหยวนช่างอวดดี เขากล้าดีอย่างไรท้าทายท่านปู่ของเขา เหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?
“ท่านต้องการแนะนาข้าและบอกว่าข้าอวดดีเกินไปงั้นรึ? ข้าควรจะสงบเสงี่ยมและเก็บปากเก็บคางั้นรึ?”
ฟางหยวนหัวเราะขา “ข้าเหมือนท่านงั้นรึ? เหมือนก้อนกรวดที่ต้องถูกขัดให้เรียบ? เหมือนคนที่ไม่มีการพัฒนาแม้ผ่านมาเป็นสิบปี? เหตุใดข้าจึงต้องเป็นเหมือนต้นไม้แห้งตายหรือกระดูกผุกร่อนด้วย? หากท่านมีประสบการณ์จริง ๆ ท่านย่อมต้องรู้ว่าพวกเราเหล่าจ้าวแห่งฝันนั้นทาได้เพียงก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลัง! ไม่อย่างนั้นเหตุใดท่านจึงติดอยู่ที่
ระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่อยู่เป็นสิบปี? ข้าไม่ลังเลที่จะมีศัตรูอย่างท่านหรอก!”
“เจ้าเด็กอวดดี!”
หลี่ฉินโมโหและต้องการสังหารเจ้าเด็กผู้นี้
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะยังมีเจ้าคนหัวทึบไม่กลัวตายอยู่บนโลกใบนี้ นอกจากนี้ เจ้าเด็กนี่ยังมีระดับการฝึกตนขั้นที่สามสวรรค์มายาเท่านั้น! สวรรค์ช่างตาบอด!
“อะไร? ท่านต้องการสู้กับงั้นรึ?”
ฟางหยวนหัวเราะและมองหลี่ฉินกลับ “เช่นนั้นก็เข้ามา ตาแก่หัวโบราณ! ให้ข้าบอกเจ้านะ ตอนนี้เรื่องของพี่น้องตระกูลเยี่ยก็เป็นเรื่องของข้าเช่นกัน! หากหลานชายไร้สามารถของเจ้ายังสร้างความราคาญใจต่อ เขาก็เตรียมรับผลที่จะตามมาด้วยแล้วกัน!”
“เจ้า…”
ภาพลักษณ์ของหลี่ฉินนั้นปลิวหายไปหมดแล้ว เมื่อเขาเห็นจ้าวแห่งฝันหลายคนใกล้ ๆ เริ่มจับกลุ่มกัน วิพากษ์วิจารณ์ พูดจาเย้าแหย่ และยังมองจ้องมา เขาก็ไม่กล้าแตะต้องฟางหยวน
ฟางหยวนนั้นไม่หวาดกลัวเพราะถึงแม้ร่างจาลองเวทย์ของเขาจะถูกทาลายก็หาได้มีผลเสียแก่ร่างกายของเขาไม่ ที่สาคัญที่สุด ยังมีกฎของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรบังคับอยู่ มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้หากสมาชิกในสมาพันธ์ต่อสู้กันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
นอกจากนี้ มันก็มีแต่ผลลัพธ์เลวร้ายหากผู้ใหญ่จะรังแกผู้น้อย
“หลี่ฉินผู้นี้ไม่กล้ากระทั่งทาผิดกฎของสมาพันธ์และยังกล้าเป็นศัตรูกับข้า? เขากระทั่งอยากจะทาลายความหมายของการฝึกตนของข้าด้วย?” ฟางหยวนคิด
ฟางหยวนทาได้เพียงยิ้มขันกับภาพตรงหน้า
ถึงแม้ว่าเดิมทีหลี่ฉินจะมีท่าทีอบอุ่น แต่อันที่จริงแล้วเขากลับประสงค์ร้ายและยังมีจุดประสงค์แอบแฝง สิ่งที่สาคัญที่สุดของจ้าวแห่งฝันก็คือการฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองเพื่อที่จะเดินไปตามเส้นทางที่เลือกอย่างหาญกล้า
หากฟางหยวนเชื่อคาพูดไม่จริงใจของหลี่ฉินและวิธีการรับมือกับผู้คนของเขา นั่นก็นับว่าเป็นการฆ่าตัวตายแล้ว! ไม่เพียงการฝึกตนของเขาจะไม่พัฒนาและหยุดชะงักลง มันยังอาจจะถอยหลังได้ด้วย!
นั่นคือความหมายของการทาลาย ‘ความหมายในการฝึกตน’ ของผู้อื่น!
ดังนั้น ฟางหยวนโจมตีเขาด้วยคาพูดอย่างโจ่งแจ้ง ด้วยการใช้ประโยชน์จากกฎของสมาพันธ์แห่งอาณาจักร ฟางหยวนรู้ว่าหลี่ฉินย่อมไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้ต่อให้อยากทา ดังนั้น ทุกอย่างจึงไม่เป็นไปตามที่หลี่ฉินต้องการและการกระทาของเขายังไม่เป็นไปตามความตั้งใจด้วย หลี่ฉินแทบจะกระอักเลือดออกมาเมื่อกลับออกไป!
ไม่เพียงแค่ความหมายในการฝึกตนของฟางหยวนไม่ถูกทาลาย ฟางหยวนยังทาให้ภาวะจิตของหลี่ฉินปั่นป่วนอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการโต้เถียงกันครั้งนี้จะไม่ใช้กระบี่หรืออาวุธใด อันตรายที่แฝงอยู่ก็เทียบได้กับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตอีกฝ่าย
ฟางหยวนนั้นได้รับการเลี้ยงดูจากอาจารย์เจว๋ซิน เขาเผชิญหน้ากับการท้าทายมากมายทั้งหมดนั้นด้วยตนเอง ต่อให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาก็ยังตั้งอยู่ในวิถีทางของตนเองและเป็นตัวของตัวเองได้ มันจึงน่าตลกมากที่หลี่ฉินคิดโจมตีเขาที่มีนิสัยเช่นนี้
นอกจากนี้ โลกกาลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายและหายนะในไม่ช้า หากฟางหยวนมัวแต่เป็นห่วงเรื่องมารยาทและความอ่อนน้อมในเวลาเช่นนั้น มันย่อมหมายถึงการยอมจานนต่อศัตรูแล้ว
“ตาแก่หัวโบราณ… เจ้าช่างน่าสมเพชเสียจริง!”
ต่อให้หลี่ฉินเคยเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง ตอนนี้เขาก็สูญเสียแรงผลักดันและจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของตัวเองไปแล้ว หากเมื่อครู่เป็นเขาต่อสู้อยู่ในการต่อสู้รุนแรง ผลลัพธ์ก็คงเป็นหายนะของตัวเองแล้ว
ฟางหยวนนั้นมองหลี่ฉินเป็นคนตายผู้หนึ่งไปแล้ว ฟางหยวนยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบ มองหลี่ฉินด้วยสายตาสงสารก่อนที่จะหันกลับออกไปทันที
เขาไม่กระทั่งกะพริบตาเมื่อมองไปที่หลี่ไป๋ที่ตัวสั่นด้วยความโกรธ
ถึงแม้หลี่ไป๋จะเป็นจ้าวแห่งฝันคนหนึ่ง แต่แปดในสิบส่วนนั้นก็เป็นเพราะเขาใช้ทรัพยากรภายนอกช่วยเหลือ บุคลิกและนิสัยแบบหลี่ไป๋นั้นเลวร้าย และฟางหยวนย่อมไม่ลดตัวลงไปสนใจเขา
“ฟางหยวน!”
“ฟางหยวน!!”
“ฟางหยวน!!!”
หลี่ฉินโมโหแทบคลั่ง หากรูปเงาของเขานั้นไม่ได้สร้างขึ้นโดยเจตจานงเวทย์ของเขาแล้ว เขาก็คงกระอักเลือดออกมาจริง ๆ ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีลาแสงวูบวาบผ่านหลี่ฉินไปและร่างของเขาก็กะพริบและดูไม่คงตัวนัก
“ท่านปู่!”
หลี่ไป๋ตกใจและรีบเข้าไปพยุงร่างของหลี่ฉิน แต่ว่า หลี่ฉินกลับตบหน้าเขาและตะโกนออกมา “ตัวบัดซบ! ข้าไม่ต้องการความสงสารจากเจ้า!”
สีหน้าของหลี่ฉินเปลี่ยนเป็นมืดมน เขามองแผ่นหลังของฟางหยวนที่เดินจากไปและคิด “หากเจ้าเด็กนี่ไม่ตาย หัวใจของข้าย่อมไม่สงบ!”
…
แม้ฟางหยวนจะเพิ่งจงใจสร้างศัตรูใหม่นั้น มันก็ทาให้เขาถอนหายใจเช่นกัน
อันที่จริงแล้ว จ้าวแห่งฝันนั้นมีชีวิตยาวนานและยังมีพลังมหาศาล หากต่อสู้กันเพื่อสตรีสักนางแล้ว ปกติก็มักแก้ปัญหาได้โดยง่าย
แต่ว่า หลี่ฉินนั้นมีความตั้งใจแอบแฝง เขาต้องการทาลายความหมายในการฝึกตนของฟางหยวน! นั่นหมายความว่าหลี่ฉินนั้นต้องการสังหารเขา!
ฟางหยวนนั้นไม่เสียใจกับสิ่งที่พูดใส่เขาไป
ฟางหยวนเพียงแต่เสียใจที่ไม่มีพลังมากพอและเรื่องยังเกิดที่ในอาณาจักรแห่งฝัน ดังนั้น มันจึงไม่นับว่าเยี่ยมยอดสาหรับเขาเพราะเขาไม่สามารถไปตามสังหารทั้งตระกูลนั่นแล้วตัดหัวออกมาดูเล่นได้
“แปะ! แปะ!”
ทันใดนั้น ปราณโอสถสายหนึ่งก็มารวมตัวกันที่ข้างตัวฟางหยวนและเปลี่ยนไปเป็นร่างของเฟิงซินจื่อ เฟิงซินจื่อปรบมือและกล่าวชมเชย “ยอดเยี่ยมนัก! ดุร้ายเป็นที่สุด! สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่นี้ล้วนเป็นความจริง! แต่ตอนนี้เจ้าก็ได้ขัดแย้งกับหลี่ฉินและยังผู้อาวุโสไร้ประโยชน์ของสมาพันธ์อีกกลุ่มใหญ่!”
“โชคดีที่ข้ามีท่านคอยสนับสนุนข้า!”
สีหน้าของฟางหยวนเปลี่ยนและพูด “ข้าเพียงแต่หลุดปากออกไปเท่านั้น! พวกเขาคงไม่พุ่งมาสังหารข้าในทันทีหรอกใช่หรือไม่!”
“สมาพันธ์แห่งอาณาจักรห้ามสมาชิกสังหารกันเอง สาหรับจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นเดียวกันนั้น ยังสามารถรายงานต่อผู้อาวุโสเพื่อต่อสู้กันบนสังเวียนเป็นตายได้ เจ้าไม่เข้ากับเงื่อนไขนี้ และยิ่งไปกว่านั้น
ในบรรดาจ้าวแห่งฝันสวรรค์มายาขั้นที่สาม ก็ไม่มีใครมั่นใจว่าจะโค่นเจ้าได้! ดังนั้น เจ้าจึงไม่มีอะไรต้องกลัว!”
เฟิงซินจื่อนั้นไม่รู้ว่าจะยิ้มดีหรือไม่ และพูดต่อ “เพียงแต่หลี่ฉินผู้นี้ก็มีอานาจอยู่บ้างเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามีสหายรักเป็นเหรัญญิกผืนดินมั่งคั่งในรัฐอวิ๋น เจ้าอาจจะเจอกับปัญหาเล็ก ๆ ได้บ้าง…”