337: เก้าขั้นหลอมวิญญาณ
“หากข้าปลูกหนึ่งเมล็ดในฤดูใบไม้ผลิ พอฤดูหนาว ข้าก็จะได้กลับคืนมาหมื่นเท่า…”
ภายในผืนดินมั่งคั่งจินหยาง
มองไปที่รวงข้าวสีทอง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้เก็บเกี่ยวพวกมัน
“ต่อให้ข้าวรวงทองไม่พัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ ความจริงที่ข้าสามารถย่นระยะเวลาที่ใช้ในการเติบโตของมันได้ก็หมายความว่าความต้องการทรัพยากรนั้นย่อมลดลงอย่างมาก ตราบใดที่ข้าสามารถเก็บเกี่ยวมันได้เมื่อเติบโตเต็มที่ ข้าก็เรียกได้ว่าได้รับผลตอบแทนแล้ว!”
หลังจากทานาอยู่ครึ่งวัน ฟางหยวนก็เดินออกจากค่ายกลกลับมาที่ห้องโถงหลัก
สาวใช้งดงามแก้มแดงเรื่อหลายคนยกอาหารวิเศษและชงชาให้เขา
หลายวันที่ผ่านมา เขาใช้เวลาครึ่งวันไปกับการทานา และอีกครึ่งที่เหลือฝึกวิทยายุทธ์ เมื่อว่าง เขาก็อ่านบันทึกโบราณหรือค้นคว้าวิทยายุทธ์ บางครั้งเขายังพยายามตีความประกายปริศนาในไข่มุกมังกรน้า ดังนั้น วิถีชีวิตของเขาจึงค่อนข้างเป็นระเบียบ
เวลาผ่านไป ฟางหยวนก็เริ่มแผ่บรรยากาศแบบผู้ใหญ่ออกมา เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะผลักดันตัวเองไปข้างหน้า
นี่เป็นสัญญาณว่ารากฐานของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
“ซู่!”
หลังจากกินอาหารเสร็จ เขาก็หยอกล้อกับสาวใช้ทั้งสองเพื่อผ่อนคลาย เขาออกไปที่ลานฝึกซ้อมทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ ปลดปล่อยปราณสีขาวออกมาและเริ่มฝึกวิทยายุทธ์
“ชี่! ชี่!”
ที่ด้านหลังเขา ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่สี่เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้น ชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่ห้านั้นยังลางเลือน แต่ก็ค่อย ๆ ชัดขึ้นตามเวลา ในที่สุดมันก็เป็นประกายสว่างและสั่นนิด ๆ
“ชีพจรที่ห้าของอู่จงเริ่มก่อตัวแล้ว!”
ฟางหยวนสารวจตนเองก่อนจะเผยสีหน้าพึงพอใจ “เคล็ดเก้าขั้นหลอมวิญญาณเพื่อกลั่นพลังธาตุให้บริสุทธิ์นั้นได้ผลจริง!”
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาสะสมค่าประสบการณ์มากพอที่จะเติมแถบสะสมประสบการณ์จนเต็ม นอกจากนั้น เขายังเริ่มฝึกเก้าขั้นหลอมวิญญาณ มันคือฉบับพื้นฐานของตาราราตรีสีแดง แต่มันก็เพียงพอที่จะทาให้พลังธาตุของวิทยายุทธ์ของเขาบริสุทธิ์ขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ เขารีบร้อนบรรลุระดับโดยไม่มีพื้นฐานอันแน่นหนา ตอนนี้เขาได้ฝึกเก้าขั้นหลอมวิญญาณ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเพียงหยดเล็ก ๆ ในพลังธาตุของเขา แต่พื้นฐานของเขาก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น
ในที่สุด เขาก็บรรลุระดับได้ในวันนี้ หนทางการเป็นอู่จงของเขาก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น
ฟางหยวนตรวจดูหน้าต่างสถานะของตน
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 48.0
พลังลมปราณ: 48.0
พลังเวทย์: 59.0
สายวิชา: ผู้ป้องฝัน
การฝึกตน: สวรรค์มายา (ขั้นที่ 3), อู่จง (ชีพจรที่ห้า)
วิทยายุทธ์: [อินทรียักษ์กายาเหล็ก (ระดับ 6) (1 ใน 100 ส่วน)], ร่างทองคาร้อยพิษ (ระดับการฝึกฝนที่ 1), [ค่ายกลดาบแปดประตู (ดาบที่ 4) (99 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)]”
“เคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็กที่ผสานเข้ากับเคล็ดลมปราณยิ่งใหญ่เฉียนคุนจากตระกูลหยางนั้นฝึกได้เพียงชีพจรที่แปดเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถสร้างร่างศักดิ์สิทธิ์ได้ มันก็ยังไม่นับว่าสมบูรณ์แบบ…”
จากปลายสายตา เขามองเห็นค่าสถานะของร่างทองคาร้อยพิษ เขาลูบคาง “ตอนนี้ข้าลงหลักปักฐานแล้ว ข้าก็ควรจะพัฒนาวิชานี้ของข้า…
นอกจากนี้ เคล็ดวิชายุทธ์ทั้งสองนี้นั้นข้าสามารถใช้เสริมกันสร้างเป็นวิชาใหม่ นี่เป็นหนทางให้ข้าเข้าสู่ขอบเขตของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริง!”
เขามองแขนทั้งสองข้างของตนเอง
ถึงแม้จะไม่ได้โคจรพลังธาตุใส่เข้าไป เขาก็ยังสามารถเปลี่ยนผิวหนังของเขาเป็นสีทองได้เพียงแค่คิด
เขาคิดว่าจะบรรลุถึงระดับนี้ไปก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่งจะสามารถบรรลุได้หลังจากฝึกฝนอยู่ในผืนดินมั่งคั่งนี่
นี่ไม่เพียงเพราะว่าสภาพแวดล้อมนั้นคงที่ แต่ที่สาคัญไปกว่านั้น เขาได้รับข้อมูลซึ่งครั้งหนึ่งเคยอยู่ในไข่มุกมังกรน้าและตอนนี้ก็ยังได้ข้อมูลที่จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุดควรรู้มาด้วย
“ประกายลึกลับนั่นคือห้องสมุดแห่งความรู้อย่างแท้จริง แต่ก็ยังมีความลับหลายอย่างอยู่บนผิวของประกายนั่นอีก ข้าสงสัยนักว่าข้าจะสามารถค้นพบสิ่งใดที่ในแก่นกลางของประกาย…”
จนถึงตอนนี้ เขาก็ได้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดของตนเองและยังก้าวหน้าไปด้วยดี ฟางหยวนไปที่ห้องฝึกตน เขาพลิกฝ่ามือ แล้วก้อนผลึกสีเลือดก็ปรากฏขึ้น
“ข้าควรจะฝึกเก้าขั้นหลอมวิญญาณก่อนแล้วค่อยลองตรวจดูเคล็ดวิชาราตรีสีแดง เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะช้า ข้าก็สามารถประสบความสาเร็จได้ด้วยความเสี่ยงต่า ๆ
ฟางหยวนถอนหายใจ
เหตุผลที่เขาต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้ก็เพราะหลายอย่าง เขารวบรวมข้อมูลมากมายเกี่ยวกับพลังชั่วร้ายในร่าง ดังนั้นจึงต้องการจัดการกับมันอย่างจริงจัง
“พลังชั่วร้ายนี่ รู้จักกันในนามธาตุฝันชั่วร้ายล้าเลิศ เป็นพลังธาตุฝันที่มีการแปรผันไปอย่างมีเอกลักษณ์ของลัทธิเทพปิศาจ… จ้าวแห่งฝันที่มีพลังชั่วร้ายเช่นนี้อยู่ในร่างส่วนใหญ่แล้วเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุดขั้นที่สี่ นอกจากนี้… พวกมันยังต้องเผชิญหน้ากับการตายอย่างสยดสยอง แต่ว่า หากรอดชีวิตมาได้ ก็จะสามารถบรรลุระดับ และยังมีโอกาสที่จะบรรลุถึงระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดได้!”
“แต่ว่า สาหรับข้า ข้าสามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้ด้วยโอกาสเทียบเท่ากันหากข้าค่อย ๆ ฝึกฝนค่ายกลดาบแปดประตู ดังนั้น ข้าจึงไม่จาเป็นต้องมีพลังชั่วร้ายนี่อยู่ในร่าง!”
“ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะไม่กล้ากล่าวว่าพลังชั่วร้ายนี่มาจากลัทธิเทพปิศาจ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว! พวกเขาสามารถใช้พลังนี่ควบคุมหรือฝึกฝนจ้าวแห่งฝัน และสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็จะควบคุมทุกอย่างได้!”
…
ด้วยประสบการณ์ ฟางหยวนจึงไม่ลังเลที่จะสรุปว่าศัตรูของตนนั้นชั่วร้ายถึงเพียงนี้
ในเมื่อเขารู้ว่านี่คือกับดักแล้วยังจะกระโจนลงไปก็นับว่าโง่เง่าแล้ว
“โชคดีนัก ข้าต่างไปจากจ้าวแห่งฝันของลัทธิเทพปิศาจ พลังชั่วร้ายนี่ต่างไปจากรากฐานจ้าวแห่งฝันของข้า ข้าจึงสัมผัสได้เพียงความปั่นป่วนหากข้าบรรลุระดับ ดังนั้น ข้าต้องพยายามกาจัดมันออกไปให้ได้ในขั้นนี้!”
ฟางหยวนหลับตาลง ประโยคจากในตาราราตรีสีแดงปรากฏขึ้นในใจเขา ทุกตัวอักษรเรืองรอง
“สีแดงคือไฟ! ราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณโดยพื้นฐานก็คือนาไฟจากภายนอกเผาผลาญรากฐานของผู้ฝึกและกาจัดพลังแปลกปลอม ผลลัพธ์ย่อมเป็นการทาลายทั้งพลังชั่วร้ายและรากฐานของผู้ฝึก… แต่ว่า ตอนนี้ การฝึกฝนของข้านั้นบริสุทธิ์และข้ายังมีรากฐานวิทยายุทธ์ ข้าย่อมสามารถรับได้หากรากฐานของข้าจะได้รับความเสียหายไปบ้าง!”
เพียงแค่คิด ดวงไฟเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขา
เปลวไฟนี้ไม่ใช่ไฟธรรมดา มันยังต่างออกไปเมื่อเทียบกับไฟจากดาบธาตุไฟ มันมีสีแดงราวกับเลือด เพียงแค่พริบตา มันก็ปกคลุมไปทั้งโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขาและเพิ่มเผาผลาญทุกอย่าง
“ครืน!”
ค่ายกลดาบแปดประตูเริ่มสั่น พลังธาตุฝันจานวนมากเริ่มระเหยไป เผยให้เห็นร่างจริงของดาบเวทย์ทั้งสามเล่ม
นอกจากนี้ ร่างจริงของทหารเวทย์ยังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเปลวไฟสีแดงเริ่มคลุ้มคลั่ง มันดูราวกับถูกกลั่นให้บริสุทธิ์
“ผัวะ! ผัวะ!”
แน่นอนว่า พลังธาตุฝันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าดาบเวทย์และย่อมไม่สามารถทนรับได้นาน
ภายใต้เปลวไฟสีแดง พลังธาตุฝันที่ลื่นไหลราวปรอทก็เริ่มระเหยไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นาน ทั้งโลกแห่งความฝันอันแท้จริงก็แทบจะแห้งเหือด
ฟางหยวนรู้สึกถึงคลื่นของความมึนงงและเริ่มรู้สึกแขนขาอ่อนแรงลง
เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้แม้แต่ตอนที่สู้กับอี้เซี่ยของลัทธิเทพปิศาจตอนที่อยู่ในถ้า หรือตอนที่หนีออกจากถ้าทั้งที่ได้รับบาดเจ็บ
“เปลวไฟนี่สามารถเผาผลาญพลังเวทย์ของข้า…”
ฟางหยวนใบหน้าเผือดซีดลง พลังในดวงตาของเขาเริ่มหม่นลง
“ชี่! ชี่!”
ในที่สุด เมื่อพลังธาตุฝันหยดสุดท้ายระเหยไป พื้นดินของโลกแห่งความฝันอันแท้จริงก็เริ่มสะเทือน พลังธาตุฝันชั่วร้ายสีแดงเริ่มปรากฏขึ้นจากด้านใน
ครู่ต่อมา พลังธาตุฝันชั่วร้ายสีแดงเข้มก็เริ่มปะทะกับเปลวไฟสีแดง
“ซ่า!”
โลกแห่งความฝันอันแท้จริงสะเทือนลั่น ฟางหยวนก็ตัวสั่นเช่นกัน และยังมีเลือดไหลออกจากปาก จมูก ดวงตา และกระทั่งหู
“ค่ายกลดาบแปดประตู ปกป้องสี่ทิศ!”
เขาไม่สนใจอะไรกับตัวเอง ทั้งหมดที่เขาสนใจก็คือปกป้องรากฐานของตนเองในโลกแห่งความฝันอันแท้จริง ปล่อยให้เปลวไฟลุกโหมอย่างอิสระเพื่อแผดเผาพลังชั่วร้าย
“ซ่า! ซ่า!”
ทันใดนั้น พลังชั่วร้ายก็ไหลบ่าท่วมทั้งร่างของเขา ในห้องสมาธิ ประกายสีแดงแผ่ออกจากร่างของเขา แผ่รัศมีอันชั่วร้ายออกมา
เมื่อเปลวไฟโหมแรงขึ้น พลังชั่วร้ายที่อ่อนแอกว่าก็ย่อมทาได้เพียงถูกกลืนกิน มันเริ่มถอยและเริ่มส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ
หลังจากนั้นเป็นนาน ทุกอย่างก็สงบลง ได้ยินเพียงเสียงแหบแห้งของฟางหยวน “ฮ่าฮ่า… มันได้ผลจริง ๆ ถึงแม้ว่ากระบวนการจะเจ็บปวดเป็นอย่างมากและยังกาจัดมันออกไปได้เพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนในแต่ละครั้ง ข้าก็ยังมีข้าวรวงทองที่สามารถชดเชยพลังธาตุของข้าได้ ข้ายังมีเวลาอีกตั้งมากบนโลกนี้ ถึงจะช้าแต่ว่าข้าย่อมสามารถกาจัดพลังชั่วร้ายออกไปจากร่างกายของข้าและยังกาจัดทุกปัญหาที่จะตามมันมาได้อย่างแน่นอน!”
กระบวนการนี้ใช้พลังของเขาไปมากและยังทาให้ระดับการฝึกตนนั้นลดต่าลงด้วย
แต่ว่า ด้วยความสามารถของค่าสถานะคงที่ของเขาและยังแหล่งทรัพยากรที่ฟื้นฟูพลังได้ เขาย่อมฟื้นตัวกลับมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แล้วเขาจะต้องกลัวอันใด?
หลังจากความตื่นเต้นของเขาลดลงแล้ว เขาก็เริ่มสงสัย “แต่ว่า… ที่หัวใจของข้าเต้นเร็วขึ้นนั้นเป็นเพราะข้าตกใจ? หรือว่าเป็นเพราะมีผู้เก่งกาจทาการทานายถึงข้า? ผู้เดียวที่สามารถทาเช่นนี้กับข้าได้ก็คือเจ้าของพลังชั่วร้ายนี่ใช่หรือไม่? หรือว่าจะเป็นทายาทที่เหลืออยู่ของปราชญ์ฉางหลี? เทียนเซี่ยจื่อนั้นตายไปแล้ว ดังนั้น นี่น่าจะเป็นทายาทของปราชญ์ฉางหลีมากกว่าที่ทาให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ใช่หรือไม่? เหอเหอ… ตอนที่ข้ากาจัดพลังชั่วร้าย ข้ารู้สึกได้ถึงรัศมีพลังเข้มข้นรอบตัว นี่น่าจะเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดแล้ว! นี่เป็นชะตาลิขิตสินะ!”
…
ที่กลางอากาศแห่งหนึ่ง
เจตจานงเวทย์อันแข็งแกร่งหลายสายมารวมตัวกัน เมื่อพลังของพวกเขามารวมกัน พื้นที่รอบ ๆ นั้นก็สั่นสะเทือน “ใครจะคิดว่า… มังกรฉางหลีจะใช้ทรัพยากรไปมากถึงเพียงนี้และยังค้นพบเงื่อนงาเกี่ยวกับแหล่งที่มา… หากไม่เพราะท่านอินยื่นมือเข้าช่วยพวกเรา ราชสานักก็คงจะคว้ามันไปได้แล้ว!”
“ข้านับถือการค้นพบของปราชญ์ฉางหลี แต่ว่า ความลับทั้งหมดนั้นแบ่งออกเป็นหกส่วน หากพวกเราไม่สามารถเอาทั้งหมดมารวมเข้าด้วยกัน พวกเราก็ยังไม่สามารถระบุการค้นพบนั่นได้ ถึงแม้พวกเราจะพยายามอย่างที่สุดแล้ว พวกเราก็ได้ครอบครองเพียงสองส่วนเท่านั้น!”
“ราชสานักน่าจะได้ครอบครองเพียงแค่หนึ่งหรือสองส่วนเช่นกัน แต่ว่า ตาแหน่งของส่วนที่เหลือนั้นไม่สามารถรู้ได้!”
เจตจานงเวทย์ไม่กี่สายนั่นเริ่มสงสัยกันเอง
กระทั่งจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุดยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการค้นหาแหล่งที่มาของจ้าวแห่งฝันทั้งปวง หากผู้ใดสามารถค้นพบแหล่งที่มานี้ได้ ย่อมได้ครอบครองพลังอันไร้ผู้ใดเปรียบ!
ด้วยความเย้ายวนนี้ จึงไม่มีใครคิดว่าจะร่วมมือกับผู้อื่นได้อย่างสงบ
นอกเสียจากจะพบแหล่งที่มานั่นโดยเปิดเผย ไม่อย่างนั้น ทุกคนล้วนย่อมเก็บความลับไว้ตัว
ท่านอินยังคงเงียบอยู่ นางเริ่มสงสัยว่าท่ามกลางจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุดเหล่านี้ น่าจะมีผู้ใดเก็บส่วนหนึ่งนั่นไว้กับตัว ‘ในวันที่ถ้ามิติทาลายตัวเอง ร่างจาแลงร่างหนึ่งของข้าไล่ตามส่วนหนึ่งไป ตอนที่นางเข้าสู่ความวุ่นวาย นางถูกทาลาย ข้าจึงไม่รู้ว่ามรดกส่วนนั้นตกไปที่ไหน!’
ในฐานะปราชญ์ผู้หนึ่ง นางย่อมได้รับคาตอบเพียงแค่คิด
ต่อให้นางไม่ใช่นักทานายที่เชี่ยวชาญการพยากรณ์ นางก็ยังสามารถหาคาตอบได้ ‘ส่วนที่หายไปนั้นเกี่ยวข้องกับพลังชั่วร้าย? ลัทธิเทพปิศาจ!?’
ท่านอินเริ่มจ้องไปที่เจตจานงเวทย์อื่น ‘เจ้าปิดบังไว้ดีเสียจริง! เจ้ายังเกือบจะหลอกข้าได้…’
แน่นอนว่า เมื่อไม่มีหลักฐาน นางย่อมไม่สามารถกล่าวโทษใครในเรื่องใดได้ นอกจากนี้ ในฐานะปราชญ์ พวกเขาล้วนต้องลบร่องรอยทั้งหมดที่ได้ลงมือทิ้งไป นางทาได้เพียงปล่อยมันไป ดังนั้น นางจึงตัดสินใจว่าต่อไปเบื้องหน้า นางจะทดสอบเขาก่อนจะตอบแทนเขาให้สาสม!
‘บางอย่างดูประหลาดไป เกิดอะไรขึ้นกับสานักหรือไม่?’
เจตจานงเวทย์สายหนึ่งดูเหมือนจะนึกอะไรได้และเกิดสงสัยขึ้นมาอย่างช้า ๆ เช่นกัน แต่ว่า มันก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเล “ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถรวบรวมทั้งหกส่วนได้ พวกเราก็ยังต้องตัดสินใจตามข้อมูลที่พวกเรามีในตอนนี้! หากพวกเราไม่กาจัดราชสานักต้าเฉียน พวกมันก็จะเข้ามาขวางทางพวกเราอยู่เรื่อย ๆ!”
ในฐานะปราชญ์จากลัทธิเทพปิศาจ เขาย่อมไม่อาจไม่ต่อต้านราชสานัก
“ข้าเห็นด้วย!”
ลัทธิบัวสวรรค์สนับสนุน
“ข้าเห็นด้วย! พวกเราปล่อยให้ราชสานักได้ประโยชน์จากความพยายามของปราชญ์ฉางหลีไม่ได้!”
ปราชญ์จากสานักหยวนซูก็เห็นด้วย
“สมาพันธ์แห่งอาณาจักร… เห็นด้วย!”
“ไป๋เจ๋อซาน… ไม่เห็นเป็นอื่น!”
มีเสียงอ่อนเบาดังออกมาจากลาแสงศักดิ์สิทธิ์เส้นหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า… ดี! ตั้งแต่อาณาจักรแห่งฝันถูกสร้างขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ห้าสานักมีความเห็นสอดคล้องกัน!”
เจตจานงเวทย์ของสานักเทพปิศาจดีใจมาก ทันทีที่ปราชญ์ทั้งห้าคล้อยตามกัน สายฟ้าก็เริ่มคารามอยู่ด้านนอกและพายุก็ก่อตัวขึ้น!