338: กาจัด
ภายในห้องสมาธิในผืนดินมั่งคั่งจินหยาง
ฟางหยวนแผ่ประกายสีแดงเข้มข้นของพลังชั่วร้ายในร่างออกมา มันค่อย ๆ หดตัวลงช้า ๆ และกลายเป็นหยดสีแดงดูน่ากลัว
“ครืน!”
ขณะที่เปลวไฟภายในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขาโหมกระพือ พลังชั่วร้ายสีแดงเข้มก็ถูกบีบให้จนมุม
“ครั้งนี้แหละ… ออกไปซะ!!!”
เขาดีดนิ้ว พลังชั่วร้ายสีแดงเข้มก็เริ่มกลั่นตัวเป็นผลึกและลอยออกไป เมื่อมันกระทบกับผนัง มันก็ระเบิดผนังเป็นโพงใหญ่และที่รอบ ๆ โพรงนั่นก็เริ่มถูกกัดเซาะ ปล่อยหมอกสีดาออกมา
“ฟู่…”
ทันทีที่ฟางหยวนขับไล่ผลึกสีแดงออกจากร่างได้ เขาก็รู้สึกสบายขึ้นทันที ถึงแม้ว่าเขาจะยังอ่อนแรง แต่มันก็เหมือนกับเขาได้ปล่อยวางภาระอันหนาหนักลงไปและความรู้สึกอันตรายที่เขาเคยสัมผัสได้ก็หายไปแล้วตอนนี้
“สองเดือนที่ผ่านมานี้ ข้าใช้ราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณไปทั้งหมดแปดสิบเอ็ดครั้ง ในที่สุด ข้าก็สามารถกาจัดพลังชั่วร้ายทั้งหมดที่แฝงเร้นอยู่ออกไปจากโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของข้าได้…”
หากเขาเป็นจ้าวแห่งฝันธรรมดาทั่วไป ต่อให้เขาอยู่ที่ระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ พลังธาตุของเขาก็จะได้รับผลกระทบอันเลวร้ายและเขาอาจจะต้องประสบกับภาวะระดับการฝึกตนลดต่าลง เมื่อคิดถึงความพยายามของเขาในการใช้เคล็ดหลอมวิญญาณ
แต่ว่า ฟางหยวนนั้นได้รับพลังงานชดเชยในรูปของอาหารและดังนั้นจึงสามารถคงระดับการฝึกตนขั้นที่สามสวรรค์มายาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ เคล็ดวิชาที่เขาใช้ยังช่วยกลั่นพลังธาตุฝันและพลังธาตุของวิทยายุทธ์ของเขาให้บริสุทธิ์ด้วย
“นี่เป็นภาวะที่ดีที่สุดที่ข้าจะมีได้แล้ว เมื่อข้าฟื้นฟูตัวเองจากอาการอ่อนแรงนี้แล้ว ข้าจะพยายามทะลวงด่านเพื่อบรรลุสู่สวรรค์มายาขั้นที่สี่…”
สวรรค์มายาขั้นที่สี่นั้นผู้ฝึกต้องกระตุ้นคุณสมบัติวิเศษภายในสิ่งของและยังนับเป็นก้าวสาคัญในการฝึกฝน
ไม่ว่าจะเลือกเป็นจ้าวแห่งฝันวิถีใด ตราบใดที่บรรลุถึงขั้นที่สี่ระดับสวรรค์มายา พลังของคนผู้นั้นก็ย่อมเพิ่มขึ้นหลายเท่า และยังจะมีพลังมากกว่าก่อนหน้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับค่ายกลดาบแปดประตู
เมื่อดาบที่สี่ถูกสร้างขึ้น ฟางหยวนก็สามารถเรียกใช้ค่ายกลดาบจตุลักษณ์ได้ นอกจากนี้ ทหารเวทย์ของเขายังได้รับจิตวิญญาณ และพลังของ
แต่ละตนนั้นก็จะเพิ่มขึ้น! มันยากที่จะจินตนาการว่าพลังของดาบโดยรวมนั้นจะสูงถึงระดับใด
แน่นอนว่า หากเขาเผยค่ายกลดาบจตุลักษณ์ออกมา ก็เท่ากับเขาเปิดเผยตัวตนในฐานะศิษย์ของอาจารย์เจว๋ซินออกมา
ดังนั้น เขาต้องไม่ร่ายค่ายกลนี้ออกมา หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องสังหารผู้ที่เห็นเขาใช้ค่ายกลให้หมด
“ข้ามาถึงระดับนี้โดยไม่รู้ตัวเลย…”
ฟางหยวนพึมพากับตนเองขณะดวงตาเป็นประกาย “ข้าจะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์!!!”
จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดนั้นมีพลังสูงยิ่งและยังมีอานาจอันไร้จากัด! แล้วคนที่มีพลังระดับนั้นจะตายตกได้อย่างไร? อาจารย์เจว๋ซินต้องได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะไปถึงแผ่นดินนั้นและคงใกล้จะสิ้นชีพแล้ว
จากทุกอย่างที่อาจารย์เจว๋ซินทาให้เขา เขาย่อมต้องทดแทนความกรุณานั้น และดังนั้นเขาจะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์!
“แน่นอนว่า… เพื่อที่จะเก็บความลับนี้เอาไว้อย่างปลอดภัย ข้าไม่ควรพูดถึงมัน!”
ศัตรูนั้นแข็งแกร่งเกินไปและฟางหยวนก็ไม่สามารถประมาทได้!
…
ในสมาพันธ์แห่งอาณาจักร
หลี่ฉินดูหดหู่ขณะเดินไปตามทางเดินและไปถึงห้องโถงแห่งหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า… หลี่ฉิน ใครจะคิดว่าเจ้าจะถูกทาให้อับอายได้ถึงเพียงนี้!”
น้าเสียงนุ่มนวลแต่ชั่วร้ายดังมาจากใจกลางห้องโถง ในที่นั่งตรงกลางนั้น บัณฑิตท่าทางชั่วร้ายผู้หนึ่งค่อย ๆ ปรากฏร่างออกมาและยิ้ม
“ข้ายอมรับว่าฟางหยวนผู้นั้นมีพรสวรรค์จริง ๆ และยังเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งมาก!”
หลี่ฉินใบหน้าเศร้าโศก “ตอนนี้… ข้าเกรงว่าเขาจะกลายมาเป็นปิศาจในใจของข้าแล้ว หากเขายังไม่ตาย ข้าเกรงว่าตัวข้าจะติดอยู่ที่ระดับการฝึกตนตอนนี้ไปตลอดกาล!”
จ้าวแห่งฝันต้องมีจิตใจอันกระจ่างในการทาสิ่งต่าง ๆ และหวาดกลัวที่จะมี ‘อุปสรรค’ ในจิตใจของตน!
ตราบใดที่จิตใจยุ่งเหยิง ย่อมไม่สามารถบรรลุศักยภาพที่แท้จริงได้!
“เฮ่อ… ศัตรูรึ?”
บัณฑิตถอนหายใจลึก “เจ้าต้องการความช่วยเหลือของข้า?”
“ใช่ ตอนนี้เขาเป็นอารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่ง และจะแยกตัวอยู่เช่นนั้นถึงสิบปี หากเขาไม่ออกจากผืนดินมั่งคั่งมา ข้าเกรงว่าเขาจะบรรลุระดับได้ในอีกสิบปีข้างหน้าซึ่งจะน่ากลัวเกินกว่าที่ข้าจะจินตนาการได้…”
แววตาชั่วร้ายพาดผ่านดวงตาของหลี่ฉิน “ในฐานะเหรัญญิกแห่งรัฐอวิ๋น ท่านมีวิธีการจัดการเรื่องนี้หรือไม่? ทรัพยากรจากทุกผืนดินมั่งคั่ง
ต้องผ่านมือท่านนี่! ให้เขาต้องนาส่งทรัพยากรของเขามาให้ท่านด้วยตนเองสักหลาย ๆ ครั้ง! นี่เป็นไปได้หรือไม่?”
นี่เป็นกลยุทธ์ทาให้ศัตรูของเขาอ่อนแอลง หรืออีกที ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ในฐานะสมาชิกสมาพันธ์แห่งอาณาจักร พวกเขาย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินใจของตนเอง สิ่งเดียวที่สมาพันธ์สามารถเรียกร้องต่อสมาชิกได้ก็คือการทาภารกิจ
แต่ว่า ในเมื่อฟางหยวนนั้นได้รับหน้าที่นานสิบปีไปแล้วย่อมไม่จาเป็นต้องรับภารกิจอื่น ๆ อีก หลี่ฉินทนรับเรื่องนี้ไม่ได้ วิธีการที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ก็คือให้เขาต้องสละตาแหน่งและบีบฟางหยวนให้ต้องรับภารกิจอื่น ๆ จากสมาพันธ์แห่งอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง
เช่นนั้น ด้วยระดับบรรณของหลี่ฉินในสมาพันธ์ที่สูงกว่า เขาสามารถวางแผนต่อฟางหยวนได้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถมอบหมายภารกิจอันตรายให้ฟางหยวนได้โดยตรง แต่ฟางหยวนก็ยังต้องทาภารกิจซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถฝึกตนได้อย่างสงบสุข ตราบใดที่ฟางหยวนไม่สามารถก้าวหน้าต่อไปได้ หลี่ฉินก็สามารถใช้วิธีการอื่น ๆ จัดการกับเขา ทาให้เขาอดรนทนไม่ได้
“ทรัพยากรส่วนของผืนดินมั่งคั่งจินหยางสาหรับปีนี้นั้นนาส่งมาเรียบร้อยแล้ว…”
เหรัญญิกแห่งรัฐอวิ๋นยิ้ม “แต่ว่า… ท่านโชคดีแล้ว! มีโอกาสเข้ามาแล้ว ลองดูที่สมาพันธ์เพิ่งประกาศออกมานี่สิ!”
ขณะที่เขาพูด ประกายลึกลับก็ลอยจากมือของเขาไปสู่มือของหลี่ฉิน
“โอ้? การเคลื่อนย้ายทรัพยากรข้ามรัฐ? ภารกิจกาไรงามอะไรเช่นนี้!”
ด้วยประสบการณ์ของจ้าวแห่งฝันในระดับสวรรค์มายาผู้หนึ่ง หลี่ฉินบอกได้ว่าเรื่องนี้มีกลิ่นไม่ดีบางอย่าง “กองทัพยังไม่ทันจัด แต่ทรัพยากรกลับพร้อมเคลื่อนย้ายแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ใดขึ้นที่ในสมาพันธ์หรือไม่?”
“น่าจะมีสงคราม หรือไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะกาลังเตรียมทรัพยากรเพื่อเข้าไปในอาณาจักรอื่น ๆ ใครจะไปรู้? แต่ว่า ตราบใดที่พวกเขามอบหมายภารกิจนี้มา พวกเราก็จะมีสิทธิ์ทาอะไรก็ได้ที่เราต้องการ!”
บัณฑิตผู้นั้นยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้งขณะที่สีหน้าเปลี่ยนไป
“ท่าน ในฐานะเหรัญญิกแห่งรัฐ ท่านสามารถตัดสินใจได้ว่าท่านต้องการทรัพยากรเท่าใด ต่อให้ท่านเพิ่มปริมาณขึ้นสักเล็กน้อย ก็ไม่มีใครสามารถพูดอันใดได้…”
หลี่ฉินให้ความเห็น
“แต่ว่า ฟางหยวนก็ยังมีอิทธิพลที่ต้องคานึงถึง… ไม่เพียงแค่มีพรสวรรค์ และยังดูจะมีพลังเทียบเท่าพวกเรา เขายังเป็นสหายกับเฟิงซินจื่อและยังอยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสนักหลอม!”
“นักหลอมกับชิงมู่น่ะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกันมานานแล้ว เรื่องนี้ไม่มีอันใดให้ต้องกล่าวถึง!”
หลี่ฉินถอนหายใจ เขารู้ว่าถึงแม้พวกเขาจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน เขาก็ยื่นมือเข้าช่วยเมื่อได้รับผลประโยชน์เท่านั้น หลี่ฉินดึงเอาบางอย่างออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก “ผลึกพลังธาตุปริศนานี่ข้าเก็บเอาไว้เป็นสมบัติล้าค่ามาโดยตลอด วันนี้ข้าจะยกมันให้ท่าน!”
“ฮ่าฮ่า… ยอดเยี่ยม!”
เห็นดังนี้ ดวงตาของบัณฑิตผู้นั้นก็เป็นประกายและรู้ว่าหลี่ฉินนั้นทุ่มเทหมดตัวเลยทีเดียว “เอาละ! เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการ! ถึงแม้ว่าเด็กนั่นจะสร้างปัญหา ข้าก็สามารถจัดการกับเขาได้ในเมื่อข้าก็เป็นผู้ฝึกตนบรรณที่สี่เช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรได้แน่นอน!”
“ข้าฝากท่านด้วยเรื่องนี้!”
เห็นเช่นนี้แล้ว หลี่ฉินก็ตัดสินใจได้ เมื่อเขาหันกลับและออกจากห้องโถงไป เขาก็เผยรอยยิ้มชั่วร้าย ‘เจ้ากล้าทาให้ข้าอับอาย ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่าข้ามีอานาจเพียงใด!”
…
ภายในค่ายกลรวมเวทย์
ขณะที่เขาเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปตามที่นาและจับตามองเมล็ดข้าวรวงทองเม็ดโต ฟางหยวนก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้
“หากคนนอกได้เห็นเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องตกตะลึงไร้คาพูด แต่น่าเสียดาย… มันจะปลอดภัยมากกว่าที่จะเก็บสมบัติล้าค่าเช่นนี้ไว้เป็นความลับ”
ด้วยความสามารถในการพัฒนาพืชเป็นสายพันธุ์พิเศษ ข้าวรวงทองพวกนี้นั้นพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวภายในอีกไม่กี่เดือน
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถสร้างผลผลิตข้าววิญญาณได้มากนัก เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวข้าววิญญาณได้ราว ๆ ร้อยชั่งจากพื้นที่ไร่หกหมู่ ดังนั้น เขาย่อมสามารถสะสมข้าววิญญาณนี้ได้ถึงเจ็ดพันห้าร้อยชั่ง เพียงพอให้จ้าวแห่งฝันผู้หนึ่งกินใช้ได้ไปสิบปี!
เมื่อมีทรัพยากรมากมายเพียงนี้หล่อเลี้ยง การฝึกฝนราตรีสีแดงของเก้าขั้นหลอมวิญญาณแปดสิบเอ็ดครั้งจึงไม่นับเป็นกระไร
“เอ๋?”
หลังจากเดินไปรอบ ๆ เขาก็พบเรื่องประหลาดใจเล็ก ๆ เรื่องหนึ่ง
ข้าวรวงทองหลายต้นนั้นดูราวกับมังกรเขาเดี่ยวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
“นี่คือรูปแบบอื่นของสายพันธุ์พิเศษที่ได้รับการพัฒนางั้นหรือ? นี่ยอดเยี่ยมมาก! แต่ว่า ข้าไม่รู้ว่าสายพันธุ์พิเศษนี่คืออะไร…”
ไข่มุกภูผานทีส่องประกายวาบ และเมล็ดของพืชกลายพันธุ์ก็ถูกดูดเข้าไปเก็บเอาไว้
เมื่อคิดถึงขนาดของไร่นาที่เขามีแล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีการกลายพันธุ์ได้เล็กน้อยที่นั่นที่นี่ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้กลายพันธุ์ไปเป็นแบบที่เขาต้องการ มันก็ยังดีอยู่ดีที่จะมีการพัฒนาสายพันธุ์ไปบ้าง
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นเศรษฐีผู้หนึ่งแล้ว
“นายท่าน!”
ทันทีที่เขาออกมาจากค่ายกลรวมเวทย์ เขาก็เห็นทั้งเมิ่งเทียนและเมิ่งกวงวิ่งตรงมาหาเขาอย่างกระวนกระวาย “เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วขอรับ! มีผู้ส่งสารมา บอกว่าต้องการให้พวกเราส่งเสบียงเพิ่มขึ้นขอรับ!”
“โอ้?”
ฟางหยวนขมวดคิ้ว เขารีบส่งร่างจาลองเวทย์เข้าไปในอาณาจักแห่งฝันเพื่อตรวจสอบ “เป็นข่าวที่ประกาศออกมาอย่างถูกต้อง แต่ว่า พวกเขาก็อนุญาตให้แต่ละรัฐนั้นจัดสรรเรื่องการเพิ่มส่วนของเสบียงเอง ข้าจะไปดูซิ…”
ในห้องโถงหลัก
“เหตุใดอารักษ์ผู้นั้นจึงยังไม่มา? เขาจงใจแสดงความไม่เคารพใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนมาถึงที่ด้านนอกห้องโถงหลักและได้ยินเสียงอันโอหังดังออกมาพร้อมกับเสียงตบตีดังออกมา “เจ้าคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้ากล้ามาให้ข้าเห็นหน้า? ออกไป!”
คนรับใช้สองคนประคองใบหน้าแดงก่าของตนวิ่งร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นฟางหยวนก็รีบคารวะลง
“ช่างเถิด รีบไปเสีย!”
ฟางหยวนสงสัยว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เขาก็เห็นจ้าวแห่งฝันในชุดสีดาผู้หนึ่ง โต๊ะถูกพลิกคว่า สุราสาดกระจายอยู่บนพื้น ทุกอย่างดูเละเทะไปหมด
“เจ้าคืออารักษ์แห่งผืนดินมั่งคั่งจินหยาง? ข้าคือโจวฮั่น ผู้ส่งสารของเหรัญญิก! นี่คือคาสั่งใหม่!”
เห็นฟางหยวนมาถึง โจวฮั่นก็แสยะยิ้ม เขาชูประกาศขึ้น มีรอยประทับของแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องออกมาจากประกาศนั่น
“เจ้าก็แค่จ้าวแห่งฝันระดับผู้สร้างฝัน ยังไม่บรรลุระดับสวรรค์มายาด้วยซ้า เจ้ากล้าดีอย่างไร? กริยาท่าทางเช่นนี้ของเจ้ามาจากที่ใดกัน?”
ฟางหยวนหัวเราะ
หากนี่เป็นภารกิจธรรมดา พวกเขาย่อมแจ้งเขาเข้ามาทางอาณาจักรแห่งฝัน เห็นกริยาของผู้ส่งสารแล้ว เขาก็คาดเดาได้ว่าเหรัญญิกแห่งรัฐอวิ๋นน่าจะร่วมมือกับหลี่ฉิน ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลให้ฟางหยวนต้องยั้งมือ
“เจ้า…”
ผู้ส่งสารอึ้งไป ขณะที่ความสนใจของเขาถูกเบี่ยงเบนไป ประกาศในมือของเขาก็หายวับไปในพริบตา เขาปลิวถอยหลังไปและยังรู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหน้า
“เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!”
พริบตาเดียวก็มีรอยฝ่ามือสดใหม่สองรอยบนหน้าของเขา
โจวฮั่นมึนงงไป ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาโมโหมาก “เจ้ากล้าดีอย่างไร?”
“เจ้าก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง เหตุใดข้าจะไม่กล้า?”
ฟางหยวนพูดต่อ “ดูระดับการฝึกตนของตนบ้าง เจ้าก็แค่พวกระดับต่าในสมาพันธ์! เจ้ากล้าดีอย่างไรแสดงท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าข้า? ในเมื่อเจ้ากล้าท้าทายข้า ข้าก็จะฆ่าเจ้าในพริบตา อย่างมากข้าก็เพียงถูกสมาพันธ์ลงโทษ เจ้ากล้าลองไหมเล่า?”
เอกสารทางการนี้เขียนขึ้นในนามของสมาพันธ์ ไม่ว่ามันจะจริงหรือเท็จ ฟางหยวนก็ตัดสินใจที่จะรับสิ่งที่จะเกิดตามมาแล้ว
แต่ว่า หลังจากดึงเอกสารมาจากโจวฮั่น เขาก็ไม่ใช่ผู้ส่งสารอีกต่อไป เป็นเพียงสมาชิกธรรมดา ๆ ของสมาพันธ์เท่านั้น ดังนั้น เรื่องย่อมต่างออกไป
ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้กฎบังคับและไม่มีใครกล้าขัดแย้ง
“เจ้า…”
โจวฮั่นอึ้งไปและไม่กล้าพูดอะไรสักคา
เมื่อคิดดูแล้ว คนตรงหน้าเขานี้ก็เป็นจ้าวแห่งฝันที่มีเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจผู้หนึ่งและอาจจะสังหารเขาได้หากเกรี้ยวกราดขึ้นมา หากเกิดเช่นนั้นจริง ใครจะช่วยเขาได้?
‘ข้าเพียงแค่ต้องการทาให้คนผู้นี้อับอายเพื่อให้ท่านเหรัญญิกชื่นชม แต่ว่า ดูไปแล้ว ข้าคิดว่าข้าไม่ควรเสี่ยง… ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดจึงไม่มีใครต้องการรับหน้าที่คราวนี้!’