339: บรรลุ
ฟางหยวนคาราม
“หึ! รู้จักตาแหน่งแห่งที่ของตนเสียและอย่าได้คิดจะทาให้ข้ายุ่งยากกับเรื่องสมาพันธ์!”
โจวฮั่นรู้ว่าตนเองนั้นเกือบจะตายตกไปแล้ว เขาลุกขึ้น คารวะลงและรีบจากมาอย่างสลด
ถึงแม้ว่าเขาจะยังต้องรับผิดชอบตรวจสอบพื้นเพเบื้องหลังของฟางหยวน แต่การที่ทั้งผืนดินมั่งคั่งนั้นอยู่ภายใต้การปกป้องของค่ายกลใหญ่เก้าสิบเก้าตะวันและยังมีค่ายกลของฟางหยวนเองอีก ย่อมหมายความว่านอกเสียจากเขาจะมีความสามารถในการทาลายทั้งผืนดินมั่งคั่งแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นที่เขาจะทาได้แล้ว แน่นอนว่า เขาย่อมไม่โง่พอที่จะรนหาที่ตายให้ตัวเอง
“นายท่าน…”
เห็นภาพนี้แล้วทั้งเมิ่งเทียนและเมิ่งกวงก็ล้วนอึ้งไป
กระทั่งอารักษ์คนก่อนยังต้องแสดงความนับถือเมื่อมีผู้ส่งสารมาเยือน เหตุใดอารักษ์คนใหม่ของพวกตน ฟางหยวน ถึงกล้าเพียงนี้?
“ไม่ต้องตกใจไป… เขาก็แค่คนไม่สลักสาคัญผู้เดียว ไม่มีผลร้ายแรงใดตามมาหรอก!”
ฟางหยวนพลิกเปิดประกาศ โดยไม่ต้องมอง เขาก็สามารถเดาได้ว่าพวกเขาจะต้องเรียกร้องตัวเลขมหาศาลเป็นแน่
“อะไรนะ… ข้าววิญญาณสามล้านชั่งกับทองอีกแปดร้อยชั่ง?”
เมิ่งเทียนหลี่ตาและตรวจสอบประกาศอย่างละเอียด “พวกเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า? เหตุใดเหรัญญิกผู้นั้นถึงทากับพวกเราเช่นนี้?”
เมื่อเขามองเมิ่งกวง ทั้งคู่ก็เดาได้คร่าว ๆ ว่านี่จะเกี่ยวข้องกับการที่ฟางหยวนมาเป็นอารักษ์คนใหม่ของผืนดินมั่งคั่งนี้
“นี่… ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าก็ทาหน้าที่ของพวกเจ้าไป!”
เห็นคนรับใช้ทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัวเขาก็หัวเราะอยู่ในใจและโบกมือเป็นเชิงบอกให้ทั้งคู่ออกไป
เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็สามารถผ่านพ้นความยุ่งยากนี้ไปได้โดยง่าย เขาแค่ต้องดึงเอาทรัพยากรมาจากของส่วนตัวของเขา
แต่ว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะใช้ทรัพยากรส่วนตัวเติมเต็มทรัพยากรที่ส่วนรวมเรียกร้องมา!
นอกจากนี้ การยอมทาตามข้อเรียกของพวกมันและเปิดเผยทรัพย์สินของตนเองออกไป เขาก็จะดึงดูดความสนใจที่ไม่ต้องการและยังความกดดันจากผู้อื่น คราวหน้า เหรัญญิกผู้นั้นอาจจะเรียกร้องข้าววิญญาณสามสิบล้านชั่งและทองคาอีกแปดพันชั่งก็ได้!
“แต่ว่า… ข้าก็คงนับว่าโง่ที่จะลงมือขัดแย้งกับสมาพันธ์เพียงเพราะข้อเรียกร้องอันไร้เหตุผลนี้!”
ฟางหยวนถอนหายใจเมื่อตระหนักถึงอานาจของสมาพันธ์
มันก็จริงที่ผู้มีตาแหน่งเหนือกว่าสามารถรังแกผู้ต้อยต่ากว่า!
“กับปัญหาเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์เพียงใด หากไม่มีผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ก็ย่อมต้องถูกรังแกราวกับเป็นคนโง่และยังถูกกฎต่าง ๆ มัดมือเอาไว้! นี่ก็เหมือนกับการเต้นไปรอบ ๆ ทั้งที่ถูกโซ่ล่าม!!!”
ฟางหยวนลูบคาง หลับตาลงและเข้าไปที่อาณาจักรแห่งฝัน
“มันดู… ต่างออกไปเล็กน้อย!”
เมื่อไปถึงที่ป้ายหินของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรก่อนที่จะเดินออกไปที่ถนนสาธารณะ “จ้าวแห่งฝันทั้งหมดนี่ดูรีบร้อน ทุกภารกิจจ่ายเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า และราคาของเสบียงต่าง ๆ ยังเพิ่มสูงขึ้น… หรือว่ากาลังจะเกิดสงคราม?”
ก่อนที่จะเคลื่อนทัพ เสบียงย่อมเตรียมไว้ก่อน
กระทั่งเหล่าจ้าวแห่งฝันก็ยังไม่พ้นจากวิถีนี้
จากบรรยากาศตึงเครียดนี้ ฟางหยวนสามารถสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
“สมาพันธ์บีบให้พวกเรารับภารกิจมากขึ้น! นอกจากนี้ ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นภารกิจลอบสังหาร…”
ฟางหยวนเลียริมฝีปาก “ข้าโชคดี… หากช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว ข้าเกรงว่าข้าคงไม่มีโอกาสได้รับตาแหน่งอารักษ์นี่แล้ว!”
ด้วยตาแหน่งนี้ เขานับได้ว่าไม่สามารถปฏิบัติงานอื่นได้แล้ว ถึงจะไม่มีทรัพยากรให้เขาเก็บเกี่ยว เขาก็ยังไม่ยินดีวางมือจากตาแหน่งนี้!
“ไม่แปลกใจเลยที่เหรัญญิกเรียกร้องเสบียงจากข้า แน่นอนว่า สมาพันธ์ย่อมไม่ขัดการตัดสินใจของเขา! ดูเหมือนว่าตาแหน่งของข้าจะถูกริษยาเสียแล้ว…”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายขณะติดต่อกับเฟิงซินจื่อ
แต่ว่าเขากลับได้รับคาตอบว่าเฟิงซินจื่อนั้นเก็บตัวฝึกฝน ดังนั้นฟางหยวนจึงสรุปออกมาได้ “ข้าใช้มิตรภาพระหว่างข้ากับเขาหมดไปแล้ว… หรือข้าควรจะบอกว่า เขาคิดว่ามิตรภาพของพวกเรานั้นจบสิ้นแล้ว นอกเสียจากว่าข้าจะแสดงให้เขาเห็นได้ว่าข้ายังมีคุณค่ากับเขา มิเช่นนั้นก็คงไม่ได้รับการดูแลให้สิทธิพิเศษจากเขาอีกแล้ว!”
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ออกจากอาณาจักรแห่งฝัน
ในเมื่อเขาพึ่งพาผู้อื่นมิได้ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวเอง!
“ผู้อาวุโส!”
เฟิงซินจื่อลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องโถง “ฟางหยวนพยายามติดต่อข้า แต่ข้าปฏิเสธเขาไปแล้ว!”
“อืม การชดเชยที่พวกเรามอบให้เขานั้นเพียงพอแล้ว พวกเราไม่จาเป็นต้องทาอะไรให้เขาแล้ว!”
บนใบหน้าของผู้อาวุโสนักหลอมมีแววจริงจัง “เจ้าเด็กนั่นโชคดีเสียจริง… อันที่จริง ข้าไม่คิดนะว่าเขาจะสามารถเข้ารับตาแหน่งอารักษ์ได้อย่างราบรื่นเช่นนี้!”
“สงคราม… กาลังจะเริ่มต้นแล้วจริง ๆ หรือ?”
เฟิงซินจื่อตัวสั่น
“อืม… ในฐานะผู้แปรธาตุแห่งสมาพันธ์ของเรา เจ้าจะมีบทบาทสาคัญ พยายามให้ดีที่สุดเล่า!”
ผู้อาวุโสนักหลอมพูดต่อ “ข้าได้การรับรองแล้วว่าเบื้องบนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวและลงมือกับฟางหยวนด้วยตัวเอง ส่วนความขัดแย้งภายในนั้น หากเขาปกป้องไว้ได้ก็เป็นสิทธิของเขา หากล้มเหลว เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา…”
“ขอรับท่านผู้อาวุโส!”
เฟิงซินจื่อคารวะลง
คิดถึงภาระหน้าที่อันหนักหนาในการผลิตยาวิญญาณเป็นจานวนมากและเทียบกับผู้ที่ได้มีชีวิตสงบสุขอยู่เบื้องหลังก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าทาไมเฟิงซินจื่อจึงได้อิจฉาฟางหยวน
“เป็นความท้าทายของเจ้าแล้วฟางหยวน ดูสิว่าเจ้าวางแผนการรับมือไว้อย่างไร?”
จู่ ๆ เฟิงซินจื่อก็รู้สึกกังวลขึ้นมา ก่อนที่จะเกิดสงคราม กระทั่งเขาเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
…
ในผืนดินมั่งคั่งจินหยาง
“ในเมื่อผู้อื่นไม่ยินยอมช่วยข้า ข้าก็ทาได้เพียงแต่พึ่งตนเองแล้ว!”
ในห้องสมาธิ ฟางหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในบางอย่างขึ้นมา “ดูเหมือนว่า… หน้าที่อารักษ์ของข้านั้นจะเป็นหน้าที่ที่ดีงามในยามสงบสุข แต่เมื่อถึงยามยาก มันก็กลายเป็นเนื้อชิ้นงามให้ทุกคนริษยาและต้องการ… ความวุ่นวายกาลังจะเกิดขึ้นแล้ว! เป็นเพราะถ้าฉางหลีซานทาให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมาใช่หรือไม่?”
ถึงแม้ว่าหน้าที่ของเขาจะเป็นตาแหน่งเล็ก ๆ แต่มันก็เป็นตาแหน่งอันสงบสุข!
“อย่างไรข้าก็ไม่สามารถทาตามที่พวกมันต้องการได้! ถึงแม้ว่าสมาพันธ์แห่งอาณาจักรจะไม่ใช่ตัวดีอันใด อย่างน้อยที่สุดข้าก็สามารถได้รับการปกป้องจากที่นี่และยังได้ประโยชน์…”
“ได้เวลาบรรลุระดับถัดไปแล้ว!”
ทั้งหมดนี่ทาให้เขาตัดสินใจได้!
ภายในโลกแห่งความฝันอันแท้จริงของเขา
พลังธาตุฝันที่ลื่นไหลนั้นไหลไปมา มันดูหนาและหนัก ให้ความรู้สึกปลอดภัย
หลังจากขับไล่พลังชั่วร้ายออกไปได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งโลกแห่งความฝันนั้นราวกับได้นาโซ่รัดรึงไว้ออกไป มันขยายตัวออกไปอีกครั้ง
“ในที่สุด ที่นี่ก็เป็นคล้ายกับถ้ามิติในโลกจริงแล้ว!”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายและไม่ได้ปิดบังความกระหายไปได้ เขามองไปที่ค่ายกลดาบแปดประตู
เสาดาบทั้งสี่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า เปลวไฟลุกโพลง น้าแข็งแผ่รัศมี และสายฟ้าอันยิ่งใหญ่… ทุกธาตุกาลังต่อสู้กัน ขณะที่ดาบเวทย์ทั้งสามเล่มส่องประกาย สายลมซ่อนเร้นอยู่ที่ใจกลาง
บนเสาดาบสีเขียว ปลายดาบยังคงขาดหายและดาบยังสร้างไม่สมบูรณ์
แต่ว่า นี่เป็นความตั้งใจของฟางหยวน
“ทะลวงด่าน!”
เพียงแค่คิด พลังลูกกลมสีเขียวที่ใจกลางดาบแปดประตูที่ไม่ถูกแตะต้องมาตลอดเวลาที่เขาต่อสู้ก็เริ่มแผ่ออกมา
นี่เป็นพลังจากอาณาจักรและแลกเปลี่ยนมาด้วยกรรมจากอาณาจักรวารี มันมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการฝึกตนเป็นจ้าวแห่งฝัน
นอกจากนี้ ปริมาณของพลังนี่ยังเพียงพอให้ฟางหยวนกลายเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ แต่มันถูกกักเอาไว้
อย่างไร หากฟางหยวนไม่สามารถกาจัดพลังชั่วร้ายออกไปจากร่างกายและบรรลุระดับไป ย่อมมีผลสะท้อนกลับมาในภายหน้า แต่ว่า ตอนนี้พลังชั่วร้ายนั้นจากไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดมารั้งเขาเอาไว้อีก
“ซ่า! ซ่า!”
ประกายสีเขียวจานวนมากรวมตัวกันรอบ ๆ เสาดาบสีเขียว ดาบลมสงบเล่มบางเริ่มปรากฏขึ้น อักขระสีเขียวส่องประกายอยู่บนผิวดาบ และในที่สุด มันก็สลักลงไปบนตัวดาบ
ดาบลมสงบ! ก่อร่าง!
“ครืน!”
ในพริบตานั้น เสาดาบทั้งสี่ก็ส่องประกายและรัศมีของมันก็พุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้า!
แดง น้าเงิน ม่วง และเขียว… พวกมันเป็นตัวแทนของพลังแห่งไฟ น้าแข็ง สายฟ้าและลม เมื่อรากฐานเริ่มมั่นคงอยู่ที่ตรงใจกลาง โลกแห่งความฝันอันแท้จริงก็เริ่มขยายออก
โลกแห่งความฝันอันแท้จริงสะเทือนและสั่นราวกับพื้นจะแยกออก หมอกลอยขึ้นในอากาศ และทั้งพื้นที่ตอนนี้ก็เพิ่มขนาดขึ้นถึงสองเท่า!
“ไฟ น้า ลมและสายฟ้า… จตุลักษณ์ก่อเกิดในที่สุด!”
เห็นอย่างนี้แล้ว ฟางหยวนก็เต็มไปด้วยความพอใจ “ถึงแม้ว่านี่จะยังเทียบไม่ได้กับดิน ไฟ ลมและน้าอันเป็นพื้นฐานที่สุด แต่ว่ามันก็ยังนับว่าใช้ได้สาหรับข้าที่ไม่สามารถควบคุมพลังพวกนั้นได้ กลับกัน เมื่อจตุลักษณ์รวมตัว มันก็เป็นสิ่งที่ข้ายังจัดการได้และยังเหมาะสมกับข้า! นี่ดีที่สุดแล้ว!”
เพราะเช่นนี้ ค่าสถานะของเขาก็เริ่มเปลี่ยน
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 48.0
พลังลมปราณ: 48.0
พลังเวทย์: 60.0
สายวิชา: ผู้ป้องฝัน
การฝึกตน: สวรรค์มายา (ขั้นที่ 4), อู่จง (ชีพจรที่ห้า)
วิทยายุทธ์: [อินทรียักษ์กายาเหล็ก (ระดับ 6) (1 ใน 100 ส่วน)], ร่างทองคาร้อยพิษ (ระดับการฝึกฝนที่ 1), [ค่ายกลดาบแปดประตู (ดาบที่ 5) (1ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)]”
“ในที่สุด… สวรรค์มายาขั้นที่สี่!”
ฟางหยวนผ่อนลมหายใจออก
ได้เป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่หมายความว่าเขาสามารถสร้างจิตวิญญาณได้ ตอนนี้เขาเป็นจ้าวแห่งฝันที่เก่งกล้าผู้หนึ่งแม้แต่ในสมาพันธ์แห่งอาณาจักร
อันที่จริง จ้าวแห่งฝันที่สร้างปัญหาให้แก่เขา หลี่ฉิน และกระทั่งเหรัญญิกแห่งรัฐอวิ๋นก็ล้วนอยู่ที่ขั้นนี้
ในด้านพลังการต่อสู้ เขาเทียบเท่าได้กับสองคนนั้น หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วย!
“เปิดจิตวิญญาณของพวกเจ้าเสีย!”
เมื่อใช้พลังเวทย์ออกไป เขาก็สามารถควบคุมพื้นที่กลางอากาศได้ ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังกล้าแข็งในตัวราวกับฟ้าประทานมาให้เขา
เพียงแค่ชี้นิ้วออกไป เงาร่างมายาก็ปรากฏตัวขึ้นบนดาบเพลิงผลาญ มันยังคงพร่าเลือนและมีท่าทีสับสนแต่ก็อยากรู้อยากเห็น “นายท่าน?”
“ระดับความฉลาดเทียบเท่าเด็กอายุเก้าปีงั้นรึ?”
ฟางหยวนถอนหายใจ เมื่อเขาโบกมืออีกครั้ง คลื่นของสติปัญญาก็แผ่ออกจากดาบเวทย์อีกสามเล่มที่เหลือ
“ความสามารถของจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ที่สามารถสร้างจิตวิญญาณได้นั้นยังจากัดอยู่มาก… แน่นอนว่า นี่เพียงพอสาหรับดาบเวทย์ที่สามารถมีสติปัญญาได้ถึงระดับนี้! ต่อไป เมื่อระดับการฝึกตนของข้าพัฒนาขึ้น จิตวิญญาณและสติปัญญาของดาบเวทย์ก็ย่อมเพิ่มพูนขึ้น
เช่นกัน เมื่อข้าไปถึงขั้นที่เจ็ดสวรรค์มายา ข้าก็จะสามารถสร้างกุมารดาบธาตุไฟ กุมารดาบธาตุน้า และอื่น ๆ…”
อันที่จริง ในฐานะจิตวิญญาณแห่งดาบ พวกมันไม่จาเป็นต้องฉลาดมากนัก เพียงสามารถสังหารศัตรูได้ก็พอแล้ว!
“ข้าควรจะทดสอบค่ายกลดาบจตุลักษณ์กับผู้ใดดี?”
เมื่อมีอาวุธใหม่อันทรงพลังอยู่ในมือ ฟางหยวนก็อยากสังหารคนขึ้นมา
เขาหัวเราะคิกคักมองไปที่ค่ายกลดาบของตน
ค่ายกลดาบจตุลักษณ์นั้นดูแข็งแกร่ง ที่ทิศตะวันตกของค่ายกล ดาบสีดาลึกลับเริ่มก่อตัวขึ้น พลังเวทย์เริ่มแตกกระจายออกขณะที่ดาบสีดาเข้าร่วมกับค่ายกลราวกับเป็นชิ้นส่วนหนึ่ง
“นี่คือดาบแห่งทะเลสาบ ภายนอกสง่างามภายในเหี้ยมโหด มันเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นแก่นของค่ายกลเพราะสามารถที่จะทวีพลังของดาบอื่นทั้งสี่เล่มได้…”
ขณะที่ค่ายกลดาบจตุลักษณ์ก่อตัวอยู่ที่ด้านนอก ที่จะเริ่มก่อตัวขึ้นต่อไปก็คือค่ายกลที่ด้านใน
ฟ้า ดิน ภูเขา ทะเลสาบ ตามหลัง น้า ไฟ ลม และสายฟ้า!
“ที่จุดสูงสุดของท่านอาจารย์ ท่านสามารถสร้างดาบแห่งฟ้าได้ตอนอยู่ที่ระดับสวรรค์มายาขั้นที่แปด…”
ฟางหยวนรู้พลังของค่ายกลดาบแปดประตู และความหวาดกลัวต่อศัตรูของอาจารย์ของเขาก็เริ่มก่อตัวขึ้น “นี่ก็คล้ายกับวิทยายุทธ์ หลังจากสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ด ข้าก็จะมีโอกาสบรรลุสู่ระดับสวรรค์สูงสุด อาจารย์น่าจะเก่งกาจใกล้เคียงกับจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุดแล้ว! แต่ว่า เขาก็ยังไม่นับว่าเป็นปราชญ์!”
“ในค่ายกลดาบแปดประตู หรือว่าจะมี… ขั้นที่เก้าสวรรค์มายาอยู่?”
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจปณิธานและความเสียใจของอาจารย์ของเขาขึ้นมา เมื่อคิดดูแล้ว เขาก็รู้สึกสะเทือนใจ