353: หยดเลือดแท้
ฟางหยวนนั้นได้เป็นผู้ปกครองเหนือผืนดินของตน! เขาสามารถสั่งการเหล่าขุนนาง เก็บภาษี และกระทั่งตั้งกองทัพ!
สาหรับฟางหยวนแล้ว กระบวนการขึ้นเป็นผู้ปกครองที่ดินนั้นก็คล้ายกับการแต่งตั้งขุนนางที่เขาเคยพบเห็น
เมื่อเวลาผ่านไป ประวัติศาสตร์ก็จะเผยให้เห็นว่าราชานั้นค่อย ๆ สูญเสียอานาจไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดแล้วก็จะเหลืออยู่เพียงแค่สถานะ
ที่ฝั่งตะวันตกในโลกที่เขาเคยผ่านมา พวกเขาสามารถแต่งตั้งใครสักคนขึ้นเป็นขุนนางและมอบสิ่งตอบแทนให้ได้ แต่ว่า ทางฝั่งตะวันออกนั้น อานาจคือทุกสิ่ง!
แต่ว่า ตอนนี้ ฟางหยวนไม่เพียงมีอานาจ แต่ยังมีผืนดินและยังร่ารวยมากเช่นกัน!
เขาเรียกได้ว่ามีสถานะสูงส่งเทียบกับผู้อื่นในอาณาจักรนี้เมื่อได้รับทั้งหมดนี้มา และยังมีศักยภาพมากพอที่จะตั้งประเทศของตนด้วย!
‘ทั้งผู้อาวุโสผู้นั้นและข้าไม่ได้มาจากอาณาจักรนี้ ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับทุกอย่างนี้ ข้าแน่ใจว่าผู้อาวุโสท่านนั้นตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากข้า…’
นี่เป็นเพียงข้ออ้างเดียวที่จะดึงฟางหยวนเอาไว้ที่ประเทศเซี่ย ทันทีที่เขาออกจากวังมา เขาก็บอกเว่ยว่าเกิดอะไรขึ้น
แม่นางน้อยลืมตากลมกว้าง “หยวน… ตอนนี้เจ้าเป็นขุนนางของประเทศเซี่ยแล้ว? นี่หมายความว่าเจ้าจะไม่กลับไปที่เผ่าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่ ข้าจะไม่กลับไปแล้ว!”
ฟางหยวนทิ้งสายตามองไปที่ไกล ๆ “ดูจากทั้งหมดนี้แล้ว… ที่นี่นั้นเจริญรุ่งเรืองและยังเป็นศูนย์กลางของโลกนี้! ข้าตัดสินใจอยู่ที่เผ่าเซี่ยและสร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเอง!”
ตอนนี้เขาดูราวกับคนผู้ละโมบที่ทอดทิ้งบ้านเกิดและผู้คนเพื่อความร่ารวย
“ดีจัง!”
เว่ยปรบมือ “ข้าก็ชอบที่นี่เหมือนกัน อยู่ที่นี่ด้วยกันนะ!”
“…แค่ก แค่ก…”
…
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะนับได้ว่าเป็นขุนนาง เขาก็ยังต้องผ่านพิธีการต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นพิธีการอันพื้นฐานก็ตาม
อย่างน้อยที่สุด ก็ยังต้องมีพิธีการง่าย ๆ สักอย่างหนึ่ง
นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลอื่น ๆ ที่เขาส่งบ่าวรับใช้ไปรับมาให้
ในยุคสมัยนี้ยังมีบ่าวรับใช้อยู่! ยังคงมีผู้คนที่ด้านนอกประเทศเซี่ยที่เหี้ยมโหดพอที่จะนาเอาบ่าวรับใช้ทั้งหมดของตนฝังไปพร้อมกับตนเมื่อตายลง ยิ่งมีบ่าวรับใช้จานวนมาก ก็ยิ่งบ่งบอกถึงเกียรติและศักดิ์ศรีของคนผู้นั้น!
เรียกได้ว่า มีทั้งความมีอารยธรรมและความป่าเถื่อน
ด้วยฐานะขุนนาง ฟางหยวนนั้นจึงรับคาสั่งจากราชาซีโดยตรงและไม่จาเป็นต้องกังวลว่าจะพักอยู่ที่ใด
นอกจากนี้ ในเวลากลางคืน ฟางหยวนยังต้องไปเข้าพบผู้อาวุโสจากสมาพันธ์แห่งอาณาจักรและจ้าวแห่งฝันคนอื่น ๆ อย่างลับ ๆ
“อ้ะ… ข้าไม่รู้เลยว่าผู้คนในบรรพตฟางนั้นมีฐานะดีหรือไม่ และข้ายังไม่รู้เลยด้วยว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่นมากน้อยเพียงใด!”
ที่ข้างตัวเขานั้น เว่ยที่ยังนับว่าเป็นเด็กน้อยก็เริ่มนับนิ้วมือซึ่งทาให้ฟางหยวนรู้สึกขบขัน
…
กลางคืน
ฟางหยวนตื่นขึ้นมา ออกจากบ้านไปอย่างเงียบ ๆ และไปถึงที่ในวัง
“คารวะผู้อาวุโส!”
ในวังขาวนั้นว่างเปล่าและทหารยามที่มีหน้าที่เฝ้าประตูล้วนหมดสติอยู่
ราชาซีนั่งอยู่บนบัลลังก์ คล้ายกับเมื่อตอนกลางวัน แต่ว่าคราวนี้ มีจ้าวแห่งฝันจากสมาพันธ์แห่งอาณาจักรหลายคนอยู่รอบ ๆ
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนอยู่น้อยกว่า รัศมีพลังที่ล้อมอยู่กลับน่าหวาดกลัวกว่า
“ฟางหยวน?”
ราชาซียิ้ม “เจ้านับเป็นผู้มีพรสวรรค์ของสมาพันธ์ของเรา ข้าคือซีเฉิน จ้าวแห่งฝันเหล่านี้คือ ตันจู อู่ลี่ และซ่งไค… พวกเจ้าทั้งหมดต้องร่วมมือกันในภายภาคหน้า!”
สมาพันธ์แห่งอาณาจักรนั้นรุดเข้าไปในอาณาจักรมากมายหลายแห่ง ที่ในอาณาจักรโบราณนี้มีจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดหนึ่งคนและมีขั้นที่สี่อีกหลายคนก็แสดงถึงความสาคัญของอาณาจักรนี้แล้ว
แน่นอนว่า อาจจะมีจ้าวแห่งฝันในระดับสวรรค์มายาอื่น ๆ แต่ว่า สถานะของพวกเขานั้นต่าเกินไปและดังนั้นจึงไม่มีโอกาสเข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้
“ขอรับผู้อาวุโส!”
ต่อหน้าผู้อาวุโสผู้นี้ ฟางหยวนและจ้าวแห่งฝันคนอื่น ๆ ทาได้เพียงคารวะต่อกัน
“ฟางหยวน เจ้าช่วยเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง แต่ให้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม!”
ฟางหยวนเริ่มเล่าถึงรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ภูเขาหลังเต่า
“จากที่เจ้าพูดมา องครักษ์มังกรซ่อนวางแผนบางอย่างใหญ่โตเอาไว้ที่นั่น พวกเราต้องระวังให้มาก!”
ผู้อาวุโสซีเฉินมีท่าทางนิ่งขรึม “ถึงแม้ว่าปราชญ์ของพวกเราจะควบคุมเต๋ามนุษย์ในอาณาจักรนี้ไว้ได้แล้ว แต่เขาก็เคยพูดถึงมาก่อนว่าแหล่งพลังในอาณาจักรนี้นั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง ต่อไปภายหน้าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ หากพวกเราทาได้สาเร็จ อย่างนั้นนี่จะเป็นโอกาสอันดีที่สุดที่จะสารวจและเข้าใจเต๋าแห่งฟ้า!”
“ขอรับผู้อาวุโส!”
จ้าวแห่งฝันคนอื่น ๆ เห็นด้วยและฟางหยวนนั้นกาลังคิดกับตนเอง ‘เต๋าแห่งฟ้า… หรือว่านี่จะเป็นเส้นทางหลังจากขึ้นสู่ระดับสวรรค์สูงสุด?’
ความหมายของการฝึกตนในต้าเฉียนนั้นแบ่งเป็นทางจิตและทางยุทธ์ ในด้านวิทยายุทธ์ ผู้ฝึกยุทธ์จะต้องผ่านสิบสองประตูทองก่อนที่จะได้เป็นอู่จงที่ใช้พลังธาตุได้ จากนั้น ก็จะก้าวหน้าต่อโดยการสร้างชีพจรศักดิ์สิทธิ์ที่เก้าและสร้างร่างสวรรค์ จากนั้นจึงเข้าสู่ขอบเขตร่างสวรรค์แท้จริง
ส่วนนักรบศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้ฝึกตนต้องเริ่มต้นโดยเป็นศิษย์วิญญาณก่อนที่จะได้เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถใช้พลังธาตุได้ จากนั้น ก็จะ
ก้าวหน้าต่อไปสู่ระดับที่เก้าของขอบเขตเปิดแยกธาตุก่อนจะไปถึงขอบเขตผู้ใช้พลังธาตุที่แท้จริง!
จ้าวแห่งฝันนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คลายคลึงกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์แห่งฝันก่อนที่จะเป็นจ้าวแห่งฝันที่ใช้พลังธาตุได้ จากนั้น ก็จะไปถึงระดับสวรรค์มายาขั้นที่เก้า สร้างจิตวิญญาณได้และในที่สุดก็ไปถึงระดับสวรรค์สูงสุด!
ความแตกต่างเดียวก็คือจ้าวแห่งฝันนั้นมีความสามารถในการต่อสู้อันไร้ผู้เปรียบปาน จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดนั้นสามารถรับมือกับร่างสวรรค์แท้จริงหรือผู้ใช้พลังธาตุแท้จริงได้ตัวต่อตัว จ้าวแห่งฝันที่ระดับสวรรค์สูงสุดนั้นยังมีพลังมากกว่านั้นและเรียกได้ว่าเป็นปราชญ์ ไม่มีใครสามารถรับมือกับปราชญ์ได้นอกจากผู้ใช้พลังธาตุที่แท้จริงและร่างสวรรค์แท้จริงที่ได้อานวยพรและเพิ่มความแข็งแกร่งจากราชสานักต้าเฉียน!
“ผู้ฝึกยุทธ์ อู่จง เปิดชีพจร ร่างสวรรค์แท้จริง! ศิษย์วิญญาณ นักรบศักดิ์สิทธิ์ แยกธาตุ ผู้ใช้พลังธาตุที่แท้จริง! ศิษย์แห่งฝัน จ้าวแห่งฝัน สวรรค์มายา สวรรค์สูงสุด!… ใครก็เดาไม่ได้ว่าเส้นทางต่อจากระดับสวรรค์สูงสุดจะเป็นอย่างไร? มันเกี่ยวข้องกับพลังชะตาของอาณาจักรนี้หรือไม่?”
ฟางหยวนจมลงในห้วงความคิด
จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาหลายคนเริ่มถกเถียงกันเอง โชคไม่ดีที่พวกเขามีข้อมูลน้อยเกินไปและในที่สุดก็ไม่สามารถสรุปอันใดได้ พวกเขาทาได้เพียงแต่สงบใจเอาไว้และรักษาท่าที
ฟางหยวนรู้ว่าในฐานะคนใหม่ เขาไม่ควรพูดมากเกินไป ดังนั้น การปรึกษากันส่วนใหญ่แล้วเขานั่งฟังการพูดคุยแลกเปลี่ยนอยู่เงียบ ๆ ที่ด้านหนึ่ง
“เอาละ! อย่างไรเสีย เผ่าเซี่ยก็ควบคุมเหนือชะตาของมนุษย์เต๋า ตราบใดที่พวกเราไม่ได้ทาสิ่งใดเลวร้าย และยังมีเก้าหม้อหลอมโอสถ พวกเราก็ยังคงปลอดภัย!”
สุดท้ายแล้ว ซีเฉินก็เริ่มสรุปทุกอย่าง “ตอนนี้ พวกเราต้องจัดการเรื่องใหญ่สองเรื่อง ก็คือปัญหาน้าท่วมและผู้รอดชีวิตของจิ่วลี่! ฟางหยวน! เจ้าทาได้ดีที่สังหารอู่จือฉี สมาพันธ์จะตกรางวัลแก่เจ้าเป็นอย่างงาม เจ้าทาภารกิจสาเร็จแล้ว หากเจ้าตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจต่อ ก็ย่อมมีรางวัลอีกมาก!”
ฟางหยวนลุกขึ้นและกล่าวขอบคุณผู้อาวุโสเซี่ยฉี
“แล้วก็… นั่นคือเนตรเพลิงที่เจ้าปลุกมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”
มองดวงตาของฟางหยวนแล้วเฉินซีก็ยิ้ม “ไม่ต้องพูดถึงรางวัลจากสมาพันธ์ ในฐานะราชาแห่งประเทศเซี่ย ข้าก็อยากจะมอบของขวัญให้เจ้า!”
“ซ่า!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ผลึกที่ดูราวกับเปลวเพลิงเม็ดหนึ่งก็ลอยมาหาฟางหยวน
“หลังจากการสังเกตของข้า ข้าเชื่อว่าเจ้าได้ปลุกสายเลือดของพ่อมดเพลิงขึ้นมา ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการพัฒนาการฝึกตนในด้านมนตรา… นี่คือหยดเลือดแท้ที่ข้าได้มาตอนที่สังหารพ่อมดผู้เรืองอานาจผู้หนึ่ง พ่อมดผู้นั้นก็เป็นพ่อมดเพลิง และยังสามารถใช้พลังของจูหรงเทพแห่งไฟได้ เขามีพลังเทียบเท่ากับจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ ข้ามอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้า!”
“ขอบพระคุณสาหรับรางวัล ผู้อาวุโส!”
ทันทีที่ผลึกเข้าสู่มือของเขา ฟางหยวนก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอันชายิบ มันราวกับมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ภายในผลึกและยังดูพิเศษมาก
ฟางหยวนรีบขอบคุณเฉินซีอย่างยินดี
“เอาละ หมดเรื่องแล้ว ทุกคนกลับไปได้!”
เฉินซีโบกมือ “หลังจากจัดการเรื่องน้าท่วม พ่อมดย่อมรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง พวกเราจาต้องเตรียมตัวให้พร้อมที่จะรับมือกับพวกมันตลอดเวลา!”
“ขอรับผู้อาวุโส!”
จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาล้วนรับฟังคาแนะนา
…
“เขาเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มาขั้นที่เจ็ดอันทรงพลังและยังใจกว้างนัก!”
ฟางหยวนเดินอาด ๆ ออกจากวัง ไปถึงที่โล่งแห่งหนึ่งก็ลงนั่งขัดสมาธิ เขามองหยดเลือดแท้ในมือและมีสีหน้าพึงพอใจ
ในฐานะผู้ที่ฝึกตนสายมนตราแห่งเพลิง ฟางหยวนย่อมบอกได้ว่าเลือดหยดนี้นั้นเต็มไปด้วยปราณของพ่อมดเพลิง
ไม่ต้องพูดถึงว่า ในเมื่อร่างนี้ไม่ใช่ร่างของเขาเอง เขาย่อมไม่กลัวว่าผู้อาวุโสผู้นั้นจะทาอันใดต่อเขา
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็อ้าปากออกกลืนเลือดหยดนั้นลงไป
“ครืน!”
เมื่อเขากลืนเลือดลงไป ฟางหยวนก็สัมผัสได้ว่ามีลูกไฟอยู่ในท้องของเขา
“แผดเผา!”
เขาบังคับตนเองเพ่งสมาธิกับการดูดซับเลือดหยดนั้น เมื่อคิดถึงอักขระเวทย์ธาตุไฟบนกระดูกทานายหลายชิ้น เขาก็เรียกเคล็ดถ่ายทอดพลังไปทั่วร่างกายของเขา
ความรู้สึกร้อนวูบวาบเริ่มกระจายจากท้องไปที่แขนและขา
“โลหิตจากพ่อมดเพลิงจริง ๆ ด้วย!”
ฟางหยวนสัมผัสได้ว่าเขาถูกชาระล้าง
เขามองเห็นประกายสีแดงจากภายในร่าง ซึมเข้าสู่กระดูก เลือด และกล้ามเนื้อของเขา บางส่วนยังพุ่งขึ้นไปรวมกันอยู่ที่ดวงตาของเขา
“ค่าสถานะ!”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เมื่อเขาดูดซับปราณจากโลหิตหยดนั้นหมดแล้ว ฟางหยวนก็แตะที่ดวงตาของตนและพึมพาออกมา
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 48.0
พลังลมปราณ: 48.0
พลังเวทย์: 60.0
สายวิชา: ผู้ป้องฝัน
การฝึกตน: สวรรค์มายา (ขั้นที่ 4), อู่จง (ชีพจรที่ 5)
วิทยายุทธ์: [อินทรียักษ์กายาเหล็ก (ระดับ 6)(1 ใน 100 ส่วน)], ร่างทองคาร้อยพิษ (ระดับที่ 1), [ค่ายกลดาบแปดประตู (ดาบที่ 5)(1 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิง (ระดับ 2)], [เคล็ดควบคุมไฟ (ระดับ 1)]”
“เนตรเพลิง (ระดับ 2): เพิ่มความสามารถจากการปลุกสายเลือดของพ่อมดเพลิง สามารถทาลายพลังและกับดักธาตุไฟ ตอนนี้อยู่ที่ระดับ 2!”
“เคล็ดควบคุมไฟ (ระดับ 1): ความสามารถที่ปลุกขึ้นมาจากสายเลือดของพ่อมดเพลิง มอบความสามารถในการควบคุมเพลิงพื้นฐานให้แก่เจ้า!”
…
“การฝึกมนตรานั้นก็คือการปลุกสายเลือดของพ่อมดขึ้นมา สามารถสร้างความสามารถในการใช้มนตราธรรมชาติได้! ควบคุมไฟ…”
ฟางหยวนดีดนิ้ว เพียงแค่นั้น เปลวเพลิงเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นเหนือมือขวาของเขา มันมีสีเหลืองอมเขียวและสะบัดไปมา เปล่งแสงและแผ่ความอบอุ่น
“ทักษะนี้ตอนนี้ค่อนข้างไร้ประโยชน์… เพื่อเร่งการฝึกฝนของข้าให้เร็วขึ้น ข้าเกรงว่าข้าคงต้องรวบรวมเลือดแท้ของพ่อมด?”
เมื่อคิดแล้วฟางหยวนก็หัวเราะขื่น ๆ “ในอาณาจักรนี้ ผู้ที่มีสายเลือดพ่อมดเข้มข้นที่สุดก็คือคนของเผ่าจิ่วลี่ ผู้อาวุโสเฉินซีวางแผนเรื่องนี้เอาไว้แล้วสินะ!”
“แน่นอนว่า ข้าเองก็ไม่ใช่คนของอาณาจักรนี้ ข้าย่อมไม่ลังเลที่จะสังหารคนของเผ่าจิ่วลี่เพื่อให้ได้เลือดของพวกเขามา… นี่เป็นวิธีการคิดที่มีเหตุมีผล…”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกาย
นี่เป็นยุคก่อนราชวงศ์ฉิน เรื่องทั้งหมดที่เขาเคยได้ยินมาทาให้เขาคิด
“สิ่งที่ข้อต้องการที่สุดก็คือความลับอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงโลกนี้!”
เหตุใดอาณาจักรธรรมดาเช่นนี้กลับมีบรรยากาศอย่างโบราณได้? เหตุใดตานานและเรื่องเล่าปรัมปราล้วนคล้ายคลึงกับโลกของเขา?
เป็นไปได้ไหมว่านี่เป็นผลจากการมีระดับการฝึกตนระดับหนึ่ง?
หรือว่านี่จะเป็นผลจากการกระทาของใครบางคนที่ขอบเขตสูงขึ้นไป?
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด และหากฟางหยวนสามารถค้นพบเรื่องนั้นได้ นี่ย่อมหมายความว่าเขาจะสามารถเดินทางไปสู่ขอบเขตนั้น ๆ โลกนั้น ๆ ได้ใช่หรือไม่?
ฟางหยวนเลียริมฝีปากตัวเองเมื่อสรุปได้เช่นนี้