355: เผ่าจิ่วลี่
ทางใต้นั้นมีเทือกเขามากมาย
ในป่าดิบอันเขียวขจีและหนาทึบ มีต้นไม้โบราณสูงใหญ่มากมายที่สอดประสานกันเป็นหลังคาบังแสงอาทิตย์เอาไว้ เมฆหลากสีปกคลุมทั่วพื้นที่เป็นภาพงดงาม แต่ว่า อันที่จริงแล้วมันคือกับดักอันตรายที่ซ่อนพิษร้ายแรงเอาไว้
ในสภาพแวดล้อมอันยากเข็ญ กระทั่งคนในอาณาจักรยังพบว่าที่นี่นั้นดารงชีวิตอยู่ได้ยากยิ่ง มีสิ่งมีชีวิตไม่มากและกระทั่งเซี่ยเองก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาถึงที่นี่ได้
บนภูเขากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
“แก้แค้น! แก้แค้น! แก้แค้น!”
ผู้คนจากเผ่าจิ่วลี่รวมตัวกันเป็นแถว ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหาย ผิวหนังของพวกเขาเป็นสีน้าตาล ผู้คนในเผ่านี้สูงถึงแปดศอกและดูราวกับเป็นยักษ์ตัวย่อม ๆ พวกเขาทาใบหน้าด้วยสีหลากหลายและตะโกนพลางโบกอาวุธในมือไปมา
ที่ตรงกลาง มียกพื้นขนาดใหญ่ที่มีธงสีแดงสดสี่ผืนล้อมเอาไว้ ธงของแม่ทัพของพวกเขา ฉือ สะบัดอยู่กลางอากาศราวกับมีชีวิตและคารามไปตามสายลม
เปลวไฟลุกเลียไปทั่ว เหลือไว้เพียงแค่พื้นดินไหม้เกรียม
ที่บนยกพื้น พ่อมดแข็งแกร่งที่สุดสองคนกาลังต่อสู้เอาเป็นเอาตายกัน
“ตึง! ตึง!”
หนึ่งในนั้นมีดวงตาเหี้ยมโหดและมือหนึ่งเหวี่ยงขวานอีกมือถือโล่ ทุกครั้งที่อาวุธกระทบกัน ก็เกิดเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั่ว
“ปัง!”
เสียงอาวุธกระทบกันอีกครั้ง ขวานยักษ์ตัดผ่านค้อนทองแดงที่ศัตรูกวัดแกว่งอยู่อย่างดุดัน ไม่นานหลังจากนั้น ศัตรูของเขาก็ถูกผ่ากลางตัว
“ฉัวะ!”
เลือดสด ๆ กระจายไปทั่วจากบนยกพื้นและยังสะท้อนประกาย ทันใดนั้น มันก็เริ่มไหลมารวมกัน เกิดเป็นรูปร่างของบางสิ่งที่ดูเหมือนงูตัวหนึ่ง ในที่สุดมันก็เลื้อยไปหาผู้ชนะและประทับเป็นอักขระเวทย์บนร่างของเขา
“ฮ่า!”
พ่อมดผู้นั้นคารามเสียงดังขณะที่นักรบรอบด้านคุกเข่าลง แสดงการยอมรับ
“ข้าคือ… สิง!!! ข้าเอาชนะนักรบทั้งแปดสิบจากทุกเผ่า! ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าคือหัวหน้าเผ่าจิ่วลี่ มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่?”
“สิง!”
“สิง!”
“สิง!”
นักรบหลายคนของเผ่าจิ่วลี่เริ่มขานนามของสิงซ้า ๆ “เจ้าคือหน้าเผ่าของพวกเรา เจ้าจะนาพวกเราไปแก้แค้นเผ่าเซี่ย!”
ที่ใต้ยกพื้น มีนักบวชหลายคนในชุดคลุมหลากสี พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันและพยักหน้า
“สิง เจ้าผ่านพิธีขึ้นรับตาแหน่งหัวหน้าเผ่าแล้ว จากวันนี้ไป สิงจะเป็นหน้าของพวกเราที่นี่ เผ่าจิ่วลี่!”
โดยทางลับแล้ว นักบวชหลายคนก็พึงพอใจเช่นกัน ‘ผ่านพิธีการแล้ว ร่างของสิงจะเป็นแหล่งรวมเลือดบริสุทธิ์จากทั้งเผ่าจิ่วลี่ เขาอยู่ในจุดยอดเยี่ยมที่สุดที่จะก่อร่างพ่อมดผู้ไร้เทียมทานและอาจจะดึงดูดจิตวิญญาณของแม่ทัพฉือมาได้!’
‘เผ่าเซี่ยนั้นไร้ปรานีและยังผลักดันพวกเราจนถึงขีดจากัด บีบคั้นพวกเรามาอาศัยบนภูเขานี่ ทุกปี คนของพวกเรานับไม่ถ้วนล้วนตายตกด้วยพิษและสัตว์ร้ายจากในบริเวณนี้ พวกเราต้องแก้แค้นพวกมัน!’
‘พวกเรามีนักรบในเผ่าถึงห้าหมื่น พวกเรายังมีเหมืองแร่และหลอมอาวุธได้ ภายใต้การนาของหัวหน้าเผ่าคนใหม่ พวกเราย่อมทาสาเร็จเป็นแน่!’
เมื่อทุกคนพึงพอใจกับหัวหน้าเผ่าคนใหม่ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ท่ามกลางเปลวไฟลุกโหมที่รอบ ๆ ธงของแม่ทัพฉือก็ติดไฟอย่างรวดเร็ว ควันดาลอยเต็มฟ้าก่อเกิดเป็นรูปใบหน้าดุร้ายมองลงมายังพื้นดิน…
…
“จริงหรือที่วิญญาณของแม่ทัพฉือผู้นั้นจะยังอยู่แถวนี้?”
ที่ไกลออกไป บนเนินเขาแห่งหนึ่ง องครักษ์มังกรซ่อนในร่างลิงสามตาที่จับตามองอยู่ก็เริ่มตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ขณะที่เงามายาของใบหน้านั่นปรากฏขึ้นเพียงครู่สั้น ๆ มันก็ราวกับจะสัมผัสได้ถึงเจตจานงเวทย์อันแรงกล้า ทาให้พลังปิศาจในร่างของมันสั่นไหว
“นั่นย่อมต้องเป็นแม่ทัพฉือผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถต่อสู้กับปราชญ์ก่อนที่จะสาเร็จระดับสวรรค์สูงสุดได้ผู้นั้นเป็นแน่!”
ลิงสามตาพึมพากับตัวเองขณะคุกเข่าลงที่ใต้ต้นไม้ “หัวหน้า! ดู…”
“ฝุบ!”
ต้นไม้นั้นมีกิ่งก้านและใบจานวนมาก ขณะที่มันสั่น ดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนกิ่งหนึ่งของมัน ที่ด้านใต้นั้นเกิดรอยแยกเผยให้เห็นซี่ฟันจากไม้ ต้นไม้เปลี่ยนเป็นใบหน้ามนุษย์ผู้หนึ่งในทันที
เมื่อเห็นภาพนั้น มันก็ถอนหายใจ “นี่ไม่เพียงแค่วิญญาณของเขาแต่ยังพลังชะตาของเผ่าเขาด้วยเช่นกัน!”
“พลังชะตา?”
ลิงสามตาดูงุนงง “เขาแพ้ และเผ่าของเขาก็ถูกกดดันแสนสาหัส ยังจะมีพลังชะตาใดให้พูดถึง?”
“อย่างไรเสีย โลกนี้ก็เกี่ยวพันกับมนุษย์เต๋า…”
ใบหน้าที่บนต้นไม้เริ่มยิ้มอย่างเป็นปริศนา “กระทั่งรับมือกับปราชญ์แล้ว คนเหล่านี้ก็ยังรอดชีวิตมาได้ไม่ถูกกาจัดไปจนหมด… ตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะตอบโต้กลับแล้ว นี่น่าจะเป็นการกระทาของสวรรค์แล้ว!”
ลิงสามตาดูจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
ทันใดนั้น มันก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแรงกล้าแต่ลึกลับที่อานวยพรและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่คนของเผ่าจิ่วลี่
“อย่างไรปราชญ์ก็ยังนับเป็นคนนอกผู้หนึ่ง เขาย่อมไม่ใช่คู่มือของทั้งอาณาจักรอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับมือกับอาณาจักรที่มีแหล่งพลังอันเข้มข้นเช่นนี้!”
ใบหน้าบนต้นไม้ยิ้มออกมาอีกครั้ง “ทาตามเจตจานงของสวรรค์ เจ้าไปเข้าพบสิงในฐานะตัวแทนเหล่าปิศาจ ทาข้อตกลงกับพวกเขา แล้วจากนั้นเจ้าจะได้รับการปกป้องจากพลังชะตาของเขา!”
“ราชาเซี่ยนั้นคือหัวหน้าของเหล่าพันธมิตร เจ้าคิดหรือว่าคนพวกนั้นจะไม่ชิงขังเขา? ตราบใดที่เผ่าจิ่วลี่พร้อมที่จะตอบโต้ พวกเขาย่อมสามารถทาได้เช่นกันด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าปิศาจวารี จากนั้น พวกเราก็จะมีโอกาสสังหารเขา!”
“หลังจากวางแผนมายาวนานเพียงนี้ พวกเราก็ยังมีเพียงโอกาสเดียว?”
ลิงสามตาเห็นด้วยและมีท่าทางจนปัญญาเล็กน้อย
“มันก็นับว่าดีแล้วที่มีโอกาสครึ่งหนึ่ง อย่างไรนี่ก็เป็นอาณาจักรที่ปราชญ์ออกแบบเอาไว้! มันยังขึ้นกับความเข้มงวดของข้อกาหนดในต้าเฉียนด้วย สมาพันธ์แห่งอาณาจักรย่อมไม่ไร้สติพอที่จะนากาลังเสริมมาที่นี่มากนัก…”
ใบหน้าบนต้นไม้พูดอย่างใจเย็น “แต่ว่า… ต่อให้พวกเราแพ้ มันก็ไม่เป็นไร แผนการของหัวหน้านั้นมากกว่าที่เจ้าคิดนัก…”
“ฝุบ!”
ทันทีที่ต้นไม้พูดจบ มันก็หลับตาลงและเปลี่ยนกลับไปเป็นต้นไม้หน้าตาธรรมดาและไม่มีพลังวิญญาณใดอีก
“นั่นก็จริง หัวหน้าของพวกเรานั้นวางแผนการอันไม่น่าเชื่อเอาไว้มากมาย ดังนั้นข้าย่อมคาดเดาได้ว่าจะมีแผนการอื่น ๆ จากหัวหน้าอีกมากนัก!”
ลิงสามตาเหม่อคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งมันก็เริ่มปีนป่ายไปทางเผ่าจิ่วลี่
“นั่นใคร?”
พ่อมดยามสองคนตะโกนออกมาขณะอักขระเวทย์ธาตุน้าและไฟปรากฏขึ้นบนร่างของพวกเขา พวกเขารวบรวมพลังมนตราของตนและดูพร้อมที่จะลงมือสังหาร
“ข้าเป็นผู้ส่งสารจากเหล่าปิศาจ!”
วานรสามตาสูดลมหายใจลึกและตะโกน “ข้านาไมตรีจิตของเหล่าปิศาจรวมทั้งข่าวล่าสุดของประเทศเซี่ยมาด้วย!”
…
บรรพตฟาง
บ้านไม้จานวนมากถูกสร้างขึ้นบนที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ว่างเปล่า ที่ตรงกลางบ้านเหล่านี้ มีบ้านหลังใหญ่ตามที่ฟางหยวนต้องการ มันตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านหลังอื่น ๆ
ในยุคสมัยนี้ เขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะยืนอยู่ในระดับเดียวกับคนอื่น ๆ ที่เหลือ ในฐานะขุนนางผู้ครอบครองที่ดิน เขาย่อมมีความรับผิดชอบในการปกป้องคนของเขา แต่ว่า การมีอานาจย่อมหมายความว่าเขาสามารถรื่นรมย์ไปกับทุกสิ่งที่อยู่บนผืนดินในความครอบครองของเขาได้ และเขาคงโง่เง่าแล้วหากคิดว่าตนเองนั้นเสมอภาคกับผู้อื่นที่เหลือ
ในเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นของเขานั้น สิ่งที่สะดุดตาที่สุดนั้นไม่ใช่บ้านของฟางหยวน แต่เป็นแท่นบูชาที่อยู่ตรงกลาง
“พวกเราสามารถใช้งานคนในเผ่าเหล่านี้ได้ แต่พวกเราพึ่งพาพวกเขาไม่ได้… ที่สาคัญที่สุด พวกเราต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง!”
ฟางหยวนนาเว่ยไปด้วยกับเขาขณะเดินไปดูทั่ว ๆ
“อย่างแรกเลย… พวกเราต้องกาหนดลาดับขั้นของทาสทั้งหนึ่งร้อยที่พวกเรานามา สิทธิ์ต่าง ๆ ของพวกเขาขึ้นกับลาดับขั้นของพวกเขาเอง ตราบใดที่พวกเขาขยันขันแข็งและให้ความร่วมมือ พวกเขาย่อมได้รับการเลื่อนระดับจากทาสมาเป็นพลเมือง และอาจจะได้รับรางวัลเป็นหญิงงามได้ด้วย!”
ขณะที่เขาพูดอย่างเรียบเรื่อย เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเว่ยที่อยู่ด้านข้างนัก ในยุคสมัยเช่นนี้ ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นเป็นปกติอย่างที่สุด
“หากมีทาสหนึ่งร้อย พวกเราย่อมต้องมีผู้หญิงอีกหนึ่งร้อย…”
และก็จริง เว่ยไม่ได้โกรธเคืองอันใด กลับกัน นางยังคิดถึงอย่างอื่น “นี่หมายความว่าพวกเราต้องมีทรัพยากรจานวนมาก!”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น… ที่ข้าต้องการซื้อส่วนใหญ่นั้นเป็นเด็ก ๆ!”
ฟางหยวนยิ้ม
“เด็ก ๆ?”
เว่ยงุนงงเล็กน้อย คนแก่ เด็กและหญิงอ่อนแอล้วนเป็นผู้ที่มักจะตายตกไปในยุคสมัยเช่นนี้ ดังนั้น ผู้คนจึงมิได้ให้ความสาคัญกับพวกเขานัก
“ถูกต้อง การเป็นขุนนางของที่นี่ทั้งที่ตัวคนเดียว อานาจของข้านั้นอ่อนแอนัก! อ่อนแอเกินไป!! ดังนั้น การจะยืนหยัดที่นี่อย่างมั่นคงก็ยากนัก คาแนะนาของเจ้าก่อนหน้านี้ที่ให้ย้ายเผ่าชางหยางมาที่นี่นั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ข้าต้องการซื้อทาสเด็ก ๆ และสอนเขาให้จงรักภักดีตั้งแต่ยังเยาว์!”
อันที่จริงแล้ว มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะย้ายทั้งเผ่ามาที่ที่ดินใหม่ของเขานี้ แต่ว่า ที่นั่นมีหัวหน้าและผู้อาวุโสอีกหลายคน ถ้าพวกเขาย้ายมาที่นี่ แล้วใครจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ?
ฟางหยวนนั้นอยากจะเริ่มต้นใหม่และไม่ต้องการถูกผู้อื่นสั่งการอีกต่อไป
“เมื่อพวกเรามีกองทัพและฐานที่มั่นของตนเองแล้ว พวกเราก็สามารถสร้างระบบและค่อย ๆ เข้ายึดครองเผ่าใกล้เคียงทั้งสามได้ ให้พวกเขาเข้าร่วมกับเผ่าของพวกเรา… ถึงแม้ว่านี่จะดูยากและเป็นไปไม่ได้ที่จะสาเร็จได้ภายในชั่วคนเดียว แต่หลังจากผ่านไปหลายชั่วคน พวกเราก็จะสามารถสร้างเผ่าใหม่ขึ้นมาในบรรพตฟางได้ จากนั้น พวกเราก็สามารถสร้างประเทศได้…”
“สร้างประเทศ? ใหญ่เช่นประเทศเซี่ยน่ะหรือ?”
ดวงตาของเว่ยเป็นประกายอย่างตื่นเต้น
“อืม ใหญ่เช่นประเทศเซี่ย!”
ฟางหยวนพยักหน้า “เผ่าที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต้องมีความเชื่อและวิถีนิยมแบบเดียวกัน ดังนั้น ข้าจึงสร้างแท่นบูชานี่ขึ้นมา ให้นี่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของเผ่าเรา ต่อไปพวกเราจะสร้างสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมาจากที่ไหนก็สามารถได้รับอนุญาตให้มาที่นี่เพื่อร่าเรียนกับเหล่านักบวชและนักรบได้”
“พวกเราจะบูชาสิ่งใดรึ?”
เว่ยพิจารณาแท่นบูชา
แท่นบูชาสร้างขึ้นจากดินและกว้างถึงสามสิบศอกสูงสิบศอก เมื่อคิดถึงความสามารถของผู้คนในยุคนี้แล้ว นี่ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว
“พวกเราไม่บูชาภูติผีปิศาจ และจะไม่บูชาภูเขาแม่น้า เหล่านี้นั้นเล็กน้อยเกินไปและไม่คู่ควรให้เผ่าเราบูชา…”
ในฐานะคนจากต่างอาณาจักร ฟางหยวนพูดได้อย่างมั่นใจ “พวกเราจะบูชาแก่ฟ้าและดิน นั่นก็พอแล้ว!”
ฟ้านั้นอยู่บนดินอยู่ล่าง มนุษย์เต๋าอยู่ระหว่างกลางสองตัวตนนี้
“นายท่าน!”
ในตอนนี้เอง ชายชราผู้หนึ่งในชุดนักบวชก็ตรงเข้ามาหา “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว!”
“อืม เริ่มพิธีได้!”
ฟางหยวนพยักหน้า นักบวชเริ่มจุดคบเพลิงและการร่ายมนตร์อันดูลึกลับก็เริ่มขึ้น
นักบวชเหล่านี้ที่จริงแล้วเป็นสมาชิกใหม่ในเผ่า ด้วยอานาจของเขาในตอนนี้เขาย่อมไม่สามารถเกลี้ยกล่อมนักบวชเหล่านี้เข้าร่วมกับเขาได้ ชายชราผู้นี้นั้นก็ถูกซื้อตัวมาจากตลาดค้าทาสเช่นกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะแทรกซึมเข้ามาในเผ่าและเอาชนะใจทุกคนได้ แต่นักบวชและหัวหน้าเผ่าก็ยังได้รับการปฏิบัติที่ต่างกัน
พวกเขาล้วนเป็นผู้ชราและอาจจะถูกสังหารได้
แต่ว่า ชายชราผู้นี้กลับปกปิดตนเองได้อย่างดี นอกจากนี้ เขายังไม่ใช่นักบวชที่แท้จริงแต่เป็นเพียงศิษย์เท่านั้น ดังนั้น เขาจึงหนีพ้นความตายได้แต่ไม่รอดพ้นสายตาของฟางหยวน
หลังจากซื้อเขามาแล้ว ฟางหยวนก็บีบให้เขาสวามิภักดิ์และใช้เขาเป็นหุุ่นเชิด
ในฐานะผู้ปกครองดินแดนนี้ ฟางหยวนจะไม่มีสิทธิ์ควบคุมเหนือความเชื่อของเผ่าได้อย่างไร?