372: ร่างทรงพลัง
“ครืน!”
แรงสั่นสะเทือนสัมผัสได้จากทิศทางที่แท่นบูชาตั้งอยู่!
“นั่นอะไรน่ะ…”
โจวเทียนรู้สึกได้เช่นกันและสีหน้าก็เปลี่ยนไป “ที่ค่ายถูกโจมตีงั้นหรือ? พวกเราควรจะรีบกลับไปช่วยพวกเขาไหม?”
“ท่านพูดเล่นหรือไร?”
ฟางหยวนมองโจวเทียนอย่างกังขา “พวกเราอยู่ไกลถึงเพียงนี้และยังรู้สึกได้ถึงแรงสะเทือน ท่านคิดว่าใครกาลังต่อสู้อยู่กัน? ผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แท้จริงหรือว่านักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุแท้จริง? หรืออาจจะเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ด?”
“เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นเพียงภารกิจธรรมดา ๆ…”
โจวเทียนงุนงง “ทาไมคนระดับนั้นถึงเข้ามาวุ่นวายเล่า?”
‘เพราะว่าพวกเรามันก็แค่เหยื่อน่ะสิ! สมาพันธ์ตัดสินใจใช้พวกเราล่อราชสานักให้ออกมาจัดการกับพวกเราและพวกเรายังอาจจะเป็นเพียงตัวช่วยของอีกสี่สานักยิ่งใหญ่เท่านั้นด้วย!’
ฟางหยวนคิดกับตัวเองแต่ไม่ได้คิดจะบอกว่าความจริงกับโจวเทียน
“ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ พวกเรานั้นยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ พวกเราควรจะรอจนกว่าความวุ่นวายจบลงก่อนที่จะกลับไปที่นั่นเพื่อประเมินสถานการณ์”
เขาจะไม่ยอมรับว่าที่เขาตามโจวเทียนออกมาเป็นเพราะว่าต้องการหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นได้ที่ชีพจรดินนั้น
ต่อให้เขาถูกสมาพันธ์ลงโทษ มันก็ยังดีกว่าเผชิญหน้าตรง ๆ กับศัตรูแล้วสูญเสียชีวิตไป!
“อืม เจ้ามีเหตุผล!”
สีหน้าโจวเทียนเปลี่ยนไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ชั่งน้าหนักตัวเลือกและพบว่าการมีชีวิตอยู่นั้นสาคัญกว่า ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับคาแนะนาของฟางหยวน
“ผ่านคลายหน่อยน่า! ราชสานักอย่างมากก็ทาลายแท่นบูชาแล้วจากไป อย่างไรเสียก็ยังมีชีพจรอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ นี่อีก!”
เห็นโจวเทียนมีสีหน้าวิตก ฟางหยวนก็พยายามปลอบให้เขาสงบลง
อันที่จริง หากฟางหยวนทานายถูกต้อง เมื่อราชสานักตัดสินใจลงมือกับพวกเขาแล้ว สมาพันธ์แห่งอาณาจักรย่อมได้รับความเสียงหายอย่างร้ายแรง
“หืม?”
ในตอนนี้เอง ฟางหยวนและโจวเทียนจู่ ๆ ก็รู้สึกถึงบางอย่างและมองไปที่ทางเข้าหุบเขา
มีเงาร่างหลายเงาปรากฏขึ้น รัศมีพลังของพวกมันแข็งแกร่งขณะเริ่มเข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ได้มาดี
“คนจากราชสานัก?”
ฟางหยวนถอนหายใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องเผชิญหน้ากับพวกมันแม้ว่าจะอยู่ห่างจากแท่นบูชามาถึงเพียงนี้แล้ว แต่ว่า คนเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงกองกาลังสนับสนุน ดังนั้น ฟางหยวนและพวกก็นับได้ว่าได้เปรียบพวกเขาเล็กน้อย
“ฟางหยวน โจวเทียน พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ โดยเฉพาะเจ้า ฟางหยวน! เจ้ายังเยาว์วัยและยังได้เป็นถึงผู้ฝึกตนบรรณที่ห้า ไม่เลว! ไม่เลวเลยทีเดียว!”
พวกมันหลายคนเริ่มตรงเข้ามาหาฟางหยวนและโจวเทียน รัศมีพลังของพวกเขาต่างกันมา มีผู้ฝึกยุทธ์สามคนและนักรบศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งคน ทั้งหมดนั้นสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันและยังมีสายตามุ่งร้าย
“ใครจะคิดว่าทะเลสาบและงูประหลาดนี่จะลดพลังธาตุของพวกเจ้าไปได้มากทีเดียว… ข้าคือหวังชานจากราชสานัก และที่มากับข้าก็คืออู่จงอีกสามคน พวกเราได้รับคาสั่งให้มากาจัดพวกเจ้าคนทรยศ!”
นักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ตรงหน้าดูเหมือนจะรังเกียจจ้าวแห่งฝัน บนร่างของเขาปรากฏจุดพลังธาตุถึงเก้าจุด เขาคารามแล้วความกดดันก็แผ่ออกมาให้รู้สึกได้
ผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนก็มีชีพจรศักดิ์สิทธิ์ถึงเก้าจุดอยู่ที่ด้านหลัง ก่อให้เกิดภาพมายาขนาดใหญ่ อักขระเวทย์ปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของพวกเขาเป็นลักษณะของเกราะพร้อมรบ
“นักรบศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เก้า? อู่จงชีพจรที่เก้า?”
โจวเทียนสูดลมหายใจเย็นเยือกและตระหนักถึงอานาจของราชสานักต้าเฉียนได้อย่างช้า ๆ
พวกมันหลายคนนี้มีโอกาสจะบรรลุร่างสวรรค์แท้จริงและระดับการใช้พลังธาตุที่แท้จริง แต่กลับเข้ารับใช้ราชสานักโดยไม่สนใจเรื่องอื่น แสดงให้เห็นความเกลียดชังที่มีต่อจ้าวแห่งฝัน!
‘พวกเราควรจะทาอย่างไรดี?’
โจวเทียนเหลือบมองอาหลง ‘ข้าสามารถรับมือกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เก้าได้ แต่ว่า ภายใต้อิทธิพลของสุดยอดการกีดกัน ข้าเกรงว่าจะมีเพียงจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่หกเท่านั้นที่จะสามารถรับมือกับอู่จงชีพจรที่เก้าทั้งสามคนได้ แต่ว่า ฟางหยวนและข้าก็ใช้พลังธาตุฝันของตัวเองไปเกือบหมดแล้วก่อนหน้านี้!’
“พวกเราจะยังต้องพูดจาอันใดกับคนทรยศเหล่านี้? ฆ่าพวกมันซะ!”
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์นั้นดูมั่นใจและก้าวออกมา “พวกเจ้าจ้าวแห่งฝันนั้นสร้างปัญหาให้ผู้อื่นและยังทาทุกอย่างตามใจปรารถนา ตอนนี้ พวกเราได้รับคาสั่งให้มาสังหารพวกเจ้า ให้ความร่วมมือและยอมจานนแก่พวกเราซะ!”
ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ล้วนมีดวงตาแดงก่า เห็นได้ชัดเจนถึงความเกลียดชังล้าลึกที่มีต่อจ้าวแห่งฝันซึ่งทาให้ฟางหยวนแอบหัวเราะอยู่ในใจ
สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้นั้นพูดนั้นก็จริง
ด้วยพลังเช่นนี้ จ้าวแห่งฝันย่อมมีอานาจเหนือมานานนับพันปี ความอาฆาตแค้นที่ผู้คนมีต่อจ้าวแห่งฝันนั้นสั่งสมกันมา แต่พวกเขาก็ยังถูกจ้าวแห่งฝันที่มีอานาจสูงกว่าหลายคนนั้นกดเอาไว้ด้วยกาลัง
ตอนนี้ที่ในที่สุดพวกเขาก็มีโอกาสที่จะตอบโต้กลับ พวกเขาย่อมลงมืออย่างรุนแรงราวกับภูเขาไฟระเบิดออกมา
“ฟางหยวน ข้าเกรงว่าพวกเราทั้งคู่จะตายตกลงวันนี้ที่นี่แล้ว!”
เห็นทั้งสี่คนปิดกั้นหนทางหนีของพวกเขาอย่างเข้าขากัน โจวเทียนก็ทาได้เพียงหัวเราะอย่างจนปัญญา
“อาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้…”
ฟางหยวนคลายชุดคลุมของตัวเองออกแล้วก็มีเสียงลั่นดังออกมาจากร่างของเขา รัศมีพลังยุทธ์ของเขาระเบิดออกมา
“เอ๋? อู่จงชีพจรที่เจ็ด?”
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์อึ้งไปก่อนที่จะระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าจะสามารถหลบหนีได้ด้วยระดับการฝึกตนอ่อนด้อยเช่นนี้หรือ? ฝันไปเถอะ! ฆ่า!”
เขาคารามแล้วก็กระโจนออกมา รัศมีพลังจากชีพจรศักดิ์สิทธิ์ของเขาระเบิดออกมา เขาดูจะควบคุมพลังของทั้งเทือกเขาเอาไว้
อู่จงชีพจรที่เก้านั้นเท่ากับถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเปิดชีพจรแล้วและยังอยู่ห่างจากการสร้างร่างสวรรค์เพียงแค่ก้าวเดียว!
ถึงแม้ว่าจะห่างจากการสร้างร่างสวรรค์อีกหนึ่งก้าว แต่อู่จงชีพจรที่เก้าก็ยังเกินพอที่จะรับมือกับอู่จงชีพจรที่เจ็ดอย่างไม่ต้องสงสัย
“หมัดเจ็ดพยัคฆ์โรมรัน! ตายซะ!”
ผู้ฝึกยุทธ์ผู้นี้แข็งแกร่งอย่างน่าตระหนก เขาเหวี่ยงแขนออกมา หมัดถูกส่งออกมาราวกับกระสุนปืนใหญ่ ทุกหมัดล้วนมีพลังมหาศาล ขณะที่เขาพุ่งผ่านอากาศมาก็มีเสียงคารามเบา ๆ ของพยัคฆ์
“ด้วยมีดยาวเล่มนี้ ข้าจะเข่นฆ่าดวงวิญญาณของเจ้า!”
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธ์คนแรกเริ่มเหวี่ยงหมัดใส่ฟางหยวน สหายอีกคนก็ลงมือ มีดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา ที่ด้ามยังมีรูปสลักหัวกะโหลก บนใบมีดมีน้าแข็งเกาะและเมื่อมันกรีดผ่านอากาศมา ประกายจากมีดก็ผนึกทางหนีของฟางหยวนเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองนั้นร่วมมือกันได้อย่างไร้ช่องโหว่
โจวเทียนรู้สึกไม่ดีนัก ลมหายใจเริ่มติดขัด
ในเทือกเขาเก้าสุดยอดนี้ จ้าวแห่งฝันนั้นเสียเปรียบและพลังยังลดลงเป็นอันมาก
ตอนนี้เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้สิงอวิ๋นจื่ออยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งหมดก็ยังจะสูญเสียเป็นอย่างมาก!
ไม่รู้ว่าราชสานักไปหาอู่จงเหล่านี้มาจากที่ใดกัน พวกเขาทั้งหมดล้วนมีทักษะสูงและยังโหดเหี้ยม และไม่มีเปิดโอกาสให้พวกเขาได้โจมตีเลย
“จากัด!”
เขายังคิดอะไรไม่ออกนัก
ในตอนที่อู่จงชีพจรที่เก้าโจมตีฟางหยวน หวังชานก็เริ่มรายเคล็ดวิชาของเขาออกมา แสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งออกไปและปกคลุมรอบด้านเอาไว้ มันมีสีสันสดใสและยังเปล่งประกายจากคาว่า ‘จากัด’
โจวเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจากรอบด้านที่ลดลงอย่างช้า ๆ พลังธาตุฝันเดิมที่เขามีอยู่นั้นกลายเป็นชะงักงัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เขารู้ว่าหวังชานนั้นใช้คาถาสะกดเพื่อบีบให้เขาเข้าสู้ด้วยทั้งหมดที่มี หวังชานต้องการลดพลังธาตุฝันของโจวเทียนเพื่อบีบให้เขายอมจานน!
เมื่อเขาถูกจากัด อู่จงคนสุดท้ายก็พุ่งออกมาและกระโจนเข้าใส่โจวเทียนราวกับเสือ เขาอยู่ห่างจากโจวเทียนไปเพียงแค่สี่หลาเท่านั้น เขายกมือขวาขึ้นและเรียกใช้ชีพจรทั้งเก้า ราวกับมังกรคลั่ง พลังของเขาส่งถ่ายจากแขนไปยังฝ่ามือ และจากฝ่ามือไปยังนิ้ว จากนั้นก็ตะปบนิ้วลงมา!
“อึ้ก ข้าจะทุ่มหมดตัวแล้ว!”
ดวงตาของโจวเทียนเปลี่ยนเป็นแดงก่าขณะกระอักเลือดออกมา
จากในร่างของเขา มีหยกชิ้นหนึ่งลอยออกมา ทันทีที่หยกชิ้นนั้นสัมผัสถูกเลือดของเขา อักขระเวทย์สีทองที่บนหยกก็เริ่มส่องประกายและขยายออก ก่อเป็นเกราะป้องกันรอบตัวชั้นหนึ่ง
“โลหิตเหล็กกล้า ทาลาย!”
ขณะที่อู่จงผู้นั้นหัวเราะ เขาก็คารามขณะที่กรงเล็บโลหะของเขาที่แข็งแกร่งขึ้นจากชีพจรศักดิ์สิทธิ์กระแทกเข้ากับเกราะประกายสีทอง
“ซ่า!”
ประกายสีทองสั่นก่อนที่จะถล่มลงมากลายเป็นประกายยะยิบแล้วหายวับไป
ทั้งคือทั้งหมดที่โจวเทียนต้องการเพื่อถอยหลังไปครึ่งก้าวหลีกเลี่ยงกระบวนท่าเอาชีวิต ขณะที่เขารู้สึกได้ถึงสายลมที่เกิดจากกรงเล็บอันคล่องแคล่ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขายังก้าวถอยหลังต่อ “น่าสะอิดสะเอียน…”
หากเป็นที่ด้านนอก เขาย่อมยังมีพลังธาตุฝันเหลือเกินครึ่งและย่อมสามารถตอบโต้ได้!
“ฮึ่ม เจ้าโชคดีที่รอดจากกระบวนท่าแรกได้ แต่กระบวนท่าต่อเล่า?”
อู่จงผู้นั้นพุ่งไปข้างหน้าและกดข่มโจวเทียนเอาไว้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากอีกด้านดึงดูดความสนใจของพวกเขาไป
“เกิดอะไรขึ้น?”
หวังชานคิดว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้วแท้ ๆ ตอนนี้เมื่อเขาเหลือบมองไปทางฟางหยวนเขาก็อึ้งไป
ฟางหยวนนั้นยืนอยู่อย่างมั่นคง และที่ใต้เท้าเขานั้นมีมีดเล่มยาว อู่จงที่กวัดแกว่งมีดนั้นใช้แรงจนหมด แต่กลับไม่สามารถดึงมีดออกจากใต้ฝ่าเท้าฟางหยวนได้
อู่จงอีกคนนั้นนอนตายอยู่บนพื้น แขนของเขาเละแหลกเป็นก้อนเนื้อราวกับถูกสัตว์ขนาดยักษ์กระทืบลงที่แขน
“ฮึ่ม พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรอวดโอ่เช่นนี้ทั้งที่อ่อนด้อยยิ่งนัก!”
ฟางหยวนกาหมัดกลับมาแล้วยิ้ม
เขามีพลังกายสูงถึง 70! นั่นหมายถึงอะไร? มันคือการมีพลังธาตุที่ไหลเวียนอยู่มากกว่าขีดจากัดของอู่จงชีพจรที่เจ็ด! นอกจากนี้ เขายังฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายด้วย!
อู่จงเหล่านี้ไม่รู้หรอกว่าเอาตัวเองเข้ามาเจอกับอะไร มันก็เหมือนเอาไข่มากระแทกหิน และผลลัพธ์ก็ย่อมเป็นไปตามที่คาดคิดไว้
ก่อนหน้านี้ ฟางหยวนเพียงแค่เหยียบลงไปบนมีดเล่มนั้นทุกอย่างก็อยู่ภายใต้ฝ่าเท้าเขา แค่หมัดเรียบง่าย แขนของอู่จงชีพจรที่เก้าก็แหลกเละกระดูกป่นละเอียด เป็นการตายอันน่าสยดสยอง!
“พี่ใหญ่! รีบหนี!”
อู่จงอีกคนปล่อยมือจากมีดโลหะทันทีและกลิ้งตัวออกไป ใช้ฝ่ามือแทนมีดปาดไปที่เอวฟางหยวน
“ตึก! ตึก!”
มีเสียงทึบ ๆ ดังมาจากร่างของฟางหยวน เสื้อของเขาขาดวิ่นเผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและสีทองแดงที่แฝงอยู่ ฟางหยวนมองลงมา “นี่เกาที่คันให้ข้าหรือไง?”
“นี่เป็นไปไม่ได้… วิชาร่างสวรรค์?”
อู่จงผู้นั้นตัวสั่นและลืมไปครู่หนึ่งว่ากาลังทาอะไรอยู่
ครู่ต่อมา หมัดใหญ่ ๆ หมัดหนึ่งก็กระแทกลงที่ศีรษะของเขาอย่างแรง
“ปัง!”
ศีรษะของเขาระเบิดออกราวกับเป็นแค่ซีกั๋วผลหนึ่ง ฟางหยวนเก็บหมัดแล้วสูดลมหายใจลึก ‘หมัดง่าย ๆ กับพลังในเลือดของข้าคือลมปราณที่แท้จริงของวิทยายุทธ์!’
“น้องรอง น้องสาม?”
อู่จงที่เหลืออยู่ไม่สนใจที่จะสังหารโจวเทียนแล้ว ดวงตาของเขาแดงก่า
“รีบไป… คนผู้นี้มีพลังมากเกินไปและพวกเราก็ไม่ใช่คู่มือเขา!”
หวังชานตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็วและร่ายเคล็ดวิชาหลายอย่างออกมาในครั้งเดียว “นิ่ง! พันธนา! ผนึก! ฆ่า!”
คาถาเวทย์ทั้งสี่ปรากฏขึ้นต่อเนื่องกันพุ่งไปทางฟางหยวน หวังชานต้องการซื้อเวลาให้ตัวเองได้มีโอกาสนี้
“มันไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์! ไร้ประโยชน์!”
ฟางหยวนเดินตรงไปหาเขาและไม่สนใจลาแสงที่พุ่งเข้ามาหาร่างของเขา คาถาเวทย์ถูกสลายไปเพียงการสะเทือนเล็ก ๆ เท่านั้น
“ตายซะตอนนี้แหละ!”
โดยไม่ใช้เคล็ดวิชาอันน่าอัศจรรย์ใด ฟางหยวนตรงไปหาหวังชานและปล่อยหมัดเรียบง่าย
“เจ้า!”
การรับมือกับฟางหยวนผู้ที่เพิ่มความแข็งแกร่งทางกายของตนเองน่าหวาดกลัวถึงเพียงใดกัน? ร่างของหวังชานระเบิดออกก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยคด้วยซ้า
ตัวของเขาระเบิดออก! การป้องกันทั้งหมดของเขาล้วนใช้การไม่ได้ ร่างของเขากลายเป็นหมอกเลือดและเหลือเพียงเลือดเนื้อหย่อมเดียว
“คิคิ… ไม่มีใครคิดเลยว่าเจ้าจะมีวิทยายุทธ์สูงถึงเพียงนี้ พวกเราสามพี่น้องประทับใจนัก!”
อู่จงคนสุดท้ายที่เห็นภาพนี้รู้สึกเย็นวาบไปตามสันหลังและน้าตาเริ่มเอ่อคลอ “สวรรค์… เหตุใดท่านจึงเมตตาต่อผู้ทรยศเหล่านี้นัก? ข้าไม่เชื่อ!”
“ฉึบ!”
เขาเป็นคนวู่วาม รู้อยู่แล้วว่าฟางหยวนคงไม่ปล่อยเขาไป อู่จงผู้นั้นกัดลิ้นตัวเอง กระอักเลือดออกมาแล้วตายจากไป