373: เข่นฆ่าอย่างสาราญ
“นี่…”
ขณะที่สายลมบนเทือกเขาพัดผ่านหุบเขา โจวเทียนก็มองไปที่หลายศพตรงหน้าตัวเองอย่างอึ้ง ๆ
ผู้ทรงพลังจากราชสานัก นักรบศักดิ์สิทธิ์ขั้นที่เก้า และยังอู่จงชีพจรที่เก้าอีกสามคน ตายตกให้เขาเห็นง่ายดายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ฟาง… น้องฟาง!”
มองฟางหยวนแล้วเขาก็เริ่มพูดอย่างตะกุกตะกัก “ท่านสร้างร่างสวรรค์ได้แล้วและยังมุ่งหน้าสู่ร่างสวรรค์แท้จริง?”
เห็นพลังของฟางหยวนแล้วก็มีคาอธิบายเดียวเท่านั้น
“ร่างสวรรค์แท้จริง? ข้ายังไม่มีพลังถึงเพียงนั้น!”
ฟางหยวนหันกลับมายิ้มอาย ๆ แต่ว่าความจริงที่เขาสังหารสี่คนนั้นอย่างง่ายดายก็ยังคงทาให้โจวเทียนพูดไม่ออกสักคา
‘ด้วยการเผชิญหน้าเมื่อครู่นี้ข้าก็ได้รู้ถึงความสามารถทางวิทยายุทธ์ของเขาเช่นกัน!’
ฟางหยวนกาหมัดแน่น ‘กระทั่งในโลกภายนอกที่ไม่มีผลจากสุดยอดการกีดกัน ข้าก็ยังคงสามารถเอาชนะผู้ที่ไม่ใช่ร่างสวรรค์แท้จริงได้!’
นอกจากนี้ หลังจากผ่านกระบวนการหลอมเลือดแท้ของพ่อมดมาแล้ว ร่างกายของเขาก็เทียบได้กับร่างสวรรค์แท้จริงและยังมีโอกาสที่จะรับมือกับร่างสวรรค์แท้จริงคนใด ๆ ได้อีกด้วย!
‘ไม่รู้เลยว่า วิทยายุทธ์ของข้านั้นก้าวหน้าขึ้นก้าวใหญ่และค่อย ๆ มีพลังเทียบเท่ากับทักษะจ้าวแห่งฝันของข้าอย่างช้า ๆ… หรืออาจจะมีพลังมากกว่าไปแล้วก็ได้’
‘เจ้าเด็กนี่…’
โจวเทียนมองไป เขาสามารถสัมผัสได้ว่าความวุ่นวายที่ไกล ๆ นั้นเริ่มสงบลงแล้วเช่นกัน ความคิดมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในใจเขา
‘สมาพันธ์น่าจะจงใจนาพวกเรามาที่นี่เพื่อเป็นเหยื่อให้พวกเราถูกกาจัด แต่ฟางหยวนผู้นี้… เขารู้แผนการทั้งหมดและยังเลือกที่จะปิดบังเอาไว้ เขาช่างอันตรายและคาดเดาไม่ได้อย่างแท้จริง!’
“ท่านว่าพวกเราควรจะทาอย่างไรต่อไป?”
โจวเทียนขอความเห็นอย่างนอบน้อม ตอนนี้เขานับฟางหยวนเป็นร่างสวรรค์แท้จริงไปแล้ว
อย่างน้อยที่สุด ในสภาพแวดล้อมอันตรายอย่างที่บนเทือกเขาเก้าสุดยอดนี้ ฟางหยวนนั้นก็เทียบได้กับมีพลังของร่างสวรรค์แท้จริงกึ่งหนึ่งทีเดียว!
“แผนการเดิม พวกเราจะคอยจับตาดูไปก่อน… ตอนนี้พวกเราสังหารเหล่าหัวหน้าหลายคนนี้ พวกเราจะเดินสารวจต่อและรอดูว่าจะมีใครอื่น
โจมตีพวกเราอีกหรือไม่ สังหารพวกมันได้ย่อมนับเป็นความสาเร็จครั้งใหญ่ของพวกเรา”
ฟางหยวนเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง
“นี่… ดีนัก!”
โจวเทียนเห็นด้วยทันที
อนาคตของฟางหยวนนั้นไร้จากัด ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ เขาย่อมต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนผู้นี้เอาไว้
…
ที่ตั้งค่ายใกล้กับค่ายกลหิน
ควันลอยอยู่ในอากาศขณะที่แท่นบูชาทั้งแท่นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเผยให้เห็นหลุมใต้ดินอันมืดมิด
ที่รอบ ๆ จ้าวแห่งฝันและอู่จงหลายคนนอนทอดร่างอยู่บนพื้นเลือดนองไปทั่ว
“ฆ่า!”
กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ในชุดคลุมสีดาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาล้วนอยู่ในขอบเขตเปิดชีพจรลงมือสังหารมาตลอดทางจนถึงที่นี่
“โจมตี!”
จ้าวแห่งฝันผู้หนึ่งโบกมือแล้วหมอกก็ปรากฏขึ้นชั้นหนึ่ง ในหมอก มีผลึกน้าแข็งก่อตัวขึ้นเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนลงมือโจมตีตามและบนร่างก็ปรากฏโพรงทะลุขึ้นหลายโพรง เลือดสาดกระจายไปทั่ว
“ฮึ่ม… พวกเจ้าก็แค่คนรับใช้เท่านั้น เหตุใดจึงกล้าลงมือกับเจ้านายของพวกเจ้า?”
จ้าวแห่งฝันผู้นี้หัวเราะ ทันใดนั้นก็ปรากฏหลุมใหญ่ที่ด้านใต้เท้าเขา อู่จงในชุดสีเหลืองผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นกวัดแกว่งดาบไปรอบ ๆ ราวกับลิ้นงูที่ตวัดไปมา ดาบหนึ่งพุ่งตรงไปที่ลาคอของจ้าวแห่งฝันผู้นั้น
“เจ้า…”
เกราะน้าแข็งปรากฏขึ้นบนร่างของจ้าวแห่งฝัน แต่ว่ามันบางเกินไปและดาบก็แทงทะลุมันไปได้จนถึงลาคอของเขาและทะลุผ่านไปด้านหลัง
‘น่าเสียดายนัก… หากเป็นที่ข้างนอกนั่นจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?’
ในใจของจ้าวแห่งฝันผู้นี้เต็มไปด้วยความคิดอันไม่ยินยอมก่อนที่ร่างจะฟุบลงกับพื้น
หากเป็นที่ด้านนอก เขาย่อมฟื้นฟูพลังธาตุฝันของตนได้อย่างรวดเร็วและเกราะน้าแข็งอย่างน้อยต้องรับการโจมตีของดาบเล่มบางนี่ได้
“ยอดเยี่ยม! เจ้าเป็นนักดาบโพรงดินที่ยอดเยี่ยมมาก หวังถง!”
อู่จงหลายคนที่รอบด้านส่งเสียงเฮฮา
“หากไม่เพราะชุดคลุมกันฝุ่นที่ราชสานักมอบให้ ข้าย่อมไม่ประสบความสาเร็จโดยง่ายเช่นนี้!”
หวังถงยิ้มอย่างถ่อมตัวก่อนที่จะกาดาบเล่มบางที่ดูราวกับงูวิญญาณตัวหนึ่งในมือแน่น “จ้าวแห่งฝันพวกนี้ช่างเหลือทนนัก! พวกเขาสร้างความวุ่นวายไปทั่วทุกที่ที่ไปและยังปฏิบัติกับพวกเราผู้ฝึกยุทธ์เหมือนเป็นคนรับใช้ของพวกมัน พวกเราต้องให้พวกมันได้สานึก!”
“เจ้าพูดถูก!”
อู่จงหลายคนส่งเสียงเป็นเชิงเดียวกันและเริ่มปลดปล่อยความเกลียดชังออกมา
แต่ว่า มันก็ไม่ถูกนักที่จะพูดว่าเหล่าจ้าวแห่งฝันล้วนชั่วร้ายและเหลือทน แต่นี่เป็นเพราะว่าเมื่อมีจ้าวแห่งฝันอยู่ ผู้อื่นล้วนไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถ
นอกจากนี้ จ้าวแห่งฝันยิ่งมีพลังอานาจมาก ก็ยิ่งเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น
ดังนั้นเมื่อคิดถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์และผืนดินมั่งคั่งที่หาได้ยากยิ่ง ผู้ฝึกยุทธ์และนักรบศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรในเมื่อทรัพยากรหายากยิ่งเหล่านี้ล้วนตกอยู่ในมือจ้าวแห่งฝัน?
ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเกิดความรู้สึกเกลียดชังต่อเหล่าจ้าวแห่งฝันและพวกเขาทั้งหมดก็เผยตัวออกมาพร้อม ๆ กันเมื่อได้ข่าวว่าราชสานักกาลังต้องการว่าจ้างคนเพื่อทาสงครามกับเหล่าจ้าวแห่งฝัน
“ตายซะ!”
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนคารามออกมา ชีพจรศักดิ์สิทธิ์บนร่างของพวกเขาเริ่มส่องประกาย ในช่วงเวลาอันโกลาหลเช่นนี้ ศัตรูของพวกเขาล้วนถูกเฉือนจนกลายเป็นชิ้นเผยให้เห็นเหล่าจ้าวแห่งฝันที่ได้รับการปกป้องอยู่กลางวง “ไว้ชีวิตข้าเถิด…”
“ชี่! ชี่!”
ดาบไม่ได้ชะลอลง แค่ตวัดดาบไม่กี่ครั้งจ้าวแห่งฝันผู้นั้นก็ถูกแยกร่างเป็นห้าส่วน
“คนพวกนี้มาจากราชสานักงั้นหรือ?”
กลุ่มของอู่จงบุกเข้าไปถึงในหลุมและสร้างความวุ่นวายขึ้นทันทีที่เข้าไป เผิงซวนจึงได้เดินออกมา เขาโบกมือขวา แล้วทรายสีทองกาหนึ่งก็ฟุ้งขึ้นไปในอากาศแล้วเปลี่ยนไปเป็นสายฟ้าหลายเส้น เป็นกระบวนท่าอันทรงพลังจริง ๆ
นี่เป็นอาวุธวิเศษที่มีชื่อเสียงของเขา ‘ทรายวิชชุทองคา’ มันสร้างขึ้นจากทรายทมิฬหนึ่งหมื่นสองพันเก้าร้อยเม็ดและหลอมด้วยพลังธาตุ หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นโลหะและสายฟ้าที่ด้านในก็กลายเป็นสีทอง เมื่อโปรยใส่ศัตรู สายฟ้าก็จะถูกปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีพลังเท่ากับทัณฑ์สวรรค์ แต่ว่ามันก็มีพลังมากพอที่จะให้ผู้อื่นรับมืออย่างยากลาบาก
“ช่างเป็นเวลาอันพอเหมาะเสียจริงที่ท่านสิงก็ออกไปข้างนอก ฟางหยวนและโจวเทียนก็ยังไม่กลับมา!”
ถึงแม้ว่าเขาจะหลงใหลอยู่กับเคล็ดสกัดซากแต่เขาก็ไม่ได้โง่และยังสามารถรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ในตอนนี้ที่เขาปล่อยทรายวิชชุทองคาออกไป ซากทองคาสามซากก็ผุดขึ้นจากหลุม พวกมันมีสีหน้าดุร้ายใบหน้าทั้งเป็นสีทอง ขณะที่มันออกจากหลุมมาก็เห็นได้ว่าพวกมันมีความทนทานต่ออาวุธ
“เอ๋? จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่?”
เป็นความสามารถในการต่อสู้ที่สะดุดความสนใจของอู่จงชีพจรที่เก้าและยังนักรบศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่รอบ ๆ
“โอ้ว! โอ้ว!”
ซากทองคาร้องออกมา พวกมันไม่กลัวตายและยังมีเล็บที่คมกริบและมีพิษ พวกมันลงมือสังหารและเปิดทางสายหนึ่งขึ้นมา
แต่ว่า ในไม่ช้าพวกมันก็จนมุม ซากทองคาสองซากจากสามนั้นถูกตัดหัวไปแล้ว
“ฮึ่ม… ราชสานักต้าเฉียน พวกเจ้าระวังตัวเอาไว้ เจ้ากล้าดีอย่างไรทาลายซากทองคาของข้า! ข้าจะแก้แค้นให้พวกมัน!”
เผิงซวนถอนหายใจก่อนจะโยนขนนกเส้นหนึ่งออกไป “เคล็ดอุโมงค์พันขนปักษา…”
ขนนกเส้นนี้มีสีขาวตลอดและยังเปล่งรัศมีพลังอันโปร่งใสออกมา เห็นได้ชัดเจนว่ามีเคล็ดวิชาขุดอุโมงค์หลบหนีสักอย่างหนึ่งถูกผนึกเอาไว้ในนี้ เมื่อเขาร่ายคาถา ขนนกก็ถูกใช้งานออก
“ฮึ่ม! เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ?”
เงาร่างสูงเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเผิงซวน
คนผู้นี้นั้นมีทักษะอันน่าตระหนกสามารถแอบเข้ามาประชิดตัวจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่ได้
“โอ้ว! โอ้ว!”
ซากทองคาที่ยังอยู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ด้วยเสียงร้องอันประหลาด มันกระโจนไปข้างหน้าแต่กลับถูกชกให้ถอยกลับมา หัวของมันถูกชกเข้าหลายครั้งจนจมลงไปในหน้าอกของมันก่อนจะล้มลงพื้นและไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป
“ชี่!”
เผิงซวนอึ้งงันไป มองมือที่เต็มไปด้วยเลือดที่ปรากฏขึ้นที่หน้าอกของตนเองและมีสีหน้าเศร้าใจ “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แท้จริง? หัวหน้าหน่วยเอี๋ยนอู่? น่าเสียดาย… ไป!”
“ฝุบ!”
ขณะที่ประกายของขนนกส่องมาถึงตัวเผิงซวน มันก็ล้อมเขาเอาไว้ด้านในทันที เขากลายเป็นแสงเส้นหนึ่งแล้วหนีลับไป
“หืม? เคล็ดหนีตายของจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดงั้นหรือ?”
เงาร่างสูงนั้นนิ่งไป ขณะมองไปยังจุดที่เผิงซวนหายตัวไปและหัวใจสีดาก้อนหนึ่งก็ถูกเขากาอยู่ในมือ เขาเผยรอยยิ้มน่าเกลียดออกมา “ช่างน่าสนใจ… เขาเปลี่ยนตัวเองไปเป็นผีดิบงั้นหรือ? ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดจึงสามารถรอดไปจากหมัดของข้าได้… ช่างโชคดีนัก!”
“ผลัวะ!”
เขากามือแน่นเข้าแล้วหัวใจก้อนนั้นก็ระเบิดออกกลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่งไป
“หัวหน้าหน่วย!”
ผู้ฝึกยุทธ์และนักรบศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ รีบจัดการกับเป้าหมายของตนเองและมาคารวะลงอย่างเคารพ “พวกเราจัดการค่ายแห่งนี้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งหมดแล้วพวกเราสังหารจ้าวแห่งฝันไปสิบห้าคน และอู่จงอีกสามสิบเจ็ดคน!”
“น่าเสียดาย สิงอวิ๋นจื่อนั้นเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์และจากไปนานแล้ว ยังมีจ้าวแห่งฝันในระดับสวรรค์มายาขั้นที่สี่อีกสามคน แต่ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่… ว่ากันว่าสมาพันธ์แห่งอาณาจักรนั้นไม่เข้มงวด และก็ดูจะเป็นเช่นนั้นจริง! รีบทาลายที่นี่ทิ้งเสีย! จากนั้นก็ไปกันได้แล้ว!”
หัวหน้าหน่วยใช้ผ้าสะอาดผืนหนึ่งเช็ดมือแล้วออกคาสั่งอย่างใจเย็น
ราชสานักนั้นรู้มานานแล้วว่าที่ในเทือกเขาเก้าสุดยอดนี้เต็มไปด้วยกับดัก แต่ว่า ด้วยความสามารถขององครักษ์มังกรซ่อนและผู้เก่งกาจอื่น ๆ พวกมันล้วนสามารถจัดการกับเหยื่อและหนีออกไปได้
แต่ว่า พวกมันไม่รู้เลยว่าจ้าวแห่งฝันของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรล้วนเจ้าเล่ห์นัก ถึงแม้ว่าพวกมันจะทาภารกิจสาเร็จ พวกมันกลับสังหารได้เพียงผู้ที่ไม่มีความสาคัญใด และดังนั้นจึงไม่รู้สึกพอใจนัก
“ขอรับท่าน!”
อู่จงเหล่านี้รู้ว่าเขามีอานาจนักและดังนั้นจึงรีบรับคาก่อนที่จะเดินทางออกไปจากที่นี่
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงคารามเบา ๆ ของมังกร ทั้งหลุมนี่เริ่มถล่มลงไปและเพียงไม่นานมันก็ถูกฝังอยู่ใต้ดิน มีเปลวไฟลุกโชนไปทั่วบริเวณ
…
“โอ้… ช่างเป็นการพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้านัก ข้าทนดูไม่ไหวแล้ว…”
หลังจากนั้นเป็นนาน ในที่สุดโจวเทียนและฟางหยวนก็กลับมาถึงและมองเห็นเพียงซากที่เหลืออยู่เท่านั้น
จ้าวแห่งฝันและอู่จงมากมายล้วนได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่ส่วนศีรษะกองทับถมกันเป็นกองพะเนิน
“ล้วนเป็นผู้เก่งกล้ากันทั้งนั้นแต่ว่าตอนนี้ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือโครงกระดูก…”
ฟางหยวนตรวจดูใบหน้าที่มีแววไม่ยินยอมเหล่านั้นแต่กลับไม่พบหัวของเผิงซวนและสิงอวิ๋นจื่อ ดังนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้า
พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์อยู่แต่ไหนแต่ไร ดังนั้น จึงไม่สละชีพตนเองอย่างโง่ ๆ แน่นอน โดยเฉพาะจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างสิงอวิ๋นจื่อ
มอง ๆ ไปแล้วก็ดูเหมือนว่าจ้าวแห่งฝันเก่งกาจทั้งสองนั้นน่าจะได้รับการเตือนล่วงหน้าและหนีไปนานแล้วทิ้งจ้าวแห่งฝันที่เหลือให้ดูแลปกป้องตัวเอง
“ฟางหยวน! โจวเทียน!”
ลาแสงหลายเส้นจู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้น พวกเขามีรัศมีพลังอันคุ้นเคย เมื่อกลับมาถึงฐาน พวกเขาก็เปลี่ยนกลับไปเป็นจ้าวแห่งฝันที่มีสีหน้าเศร้าโศก
เมื่อมองดูใกล้ ๆ ฟางหยวนก็พบว่าเป็นสิงอวิ๋นจื่อที่นาพวกเขามาที่นี่และที่มากับเขาด้วยก็คือเฟิงซินจื่อ
“พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนตอนที่ราชสานักจู่โจม?”
สิงอวิ๋นจื่อถามอย่างเย็นชา “ตอนที่พวกเราสู้กันสุดชีวิต พวกเจ้าไปอยู่ที่ใดมา?”
“แน่นอนว่าต้องรับมือผู้อื่นอยู่เช่นกัน!”
ฟางหยวนตอบอย่างมั่นใจ “ตอนที่ข้าเดินลาดตระเวนกับโจวเทียน พวกเราตรวจพบร่องรอยของอู่จงอื่นหลายคน พวกเราไล่ตามพวก
เขาไปถึงสามสิบลี้จากที่นี่ และในที่สุดพวกเราก็สังหารพวกมันสี่คนได้! หัวของพวกมันอยู่ที่นี่แล้ว!”
โจวเทียนดึงหัวสามหัวออกมาพวกมันคือหัวของอู่จงระดับชีพจรที่เก้าสามคน รัศมีพลังของพวกมันช่างน่าเกรงขามนัก
พวกเขาโกหกเรื่องนี้ไม่ได้ ในโลกนี้มีเคล็ดวิชาที่สามารถรีดข้อมูลออกจากศีรษะที่แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
“อู่จงชีพจรที่เก้า?”
เฟิงซินจื่อตรวจดูหัวพวกนั้นแล้วอุทานออกมา
“อะไรนะ? สามคนเลยหรือ?”
สีหน้าของสิงอวิ๋นจื่อเปลี่ยนไป หากอู่จงทั้งสามคนนี้ร่วมแรงกันโจมตีเขา เขารู้ดีว่าตนเองก็ไม่สามารถหลบหนีได้
“ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับชีพจรที่เก้าอีกผู้หนึ่งด้วย แต่ว่า น่าเสียดายที่หัวของเขาถูกทาลายจนจดจาใบหน้าไม่ได้…”
โจวเทียนบอก
เห็นได้ชัดเจนว่าเขาอยู่ด้วยกันกับฟางหยวน ดังนั้น จึงต้องช่วยฟางหยวนปกปิดและถือเป็นการช่วยเหลือตนเองด้วยมากเท่าที่จะทาได้
อย่างไรเสีย การไล่ตามศัตรูไปกับการละทิ้งตาแหน่งหน้าที่ของตนนั้นก็ต่างกัน
“คิคิ… ไม่เลว!”
เฟิงซินจื่อฝืนยิ้ม “เมื่อคิดดูแล้ว พวกเจ้าทั้งคู่ก็นับว่าประสบความสาเร็จบางอย่างได้ในการทาภารกิจครั้งนี้ ข้าจะรายงานแก่สมาพันธ์แทนพวกเจ้าเอง…”