378: ทาลายสานัก
รัฐจิน
ที่ประตูของสานักจินติ่ง
ควันลอยสูงขึ้นฟ้าและผู้คนก็รีบร้อนผ่านไปมา ค่ายกลขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งสานักจินติ่งขณะที่เพลิงสวรรค์ยังคงโหมใส่ประตูสานัก
การรุกรานสู่รัฐจินอันยาวนานในที่สุดก็ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
“พลังของจ้าวแห่งฝันนั้นมากมายถึงเพียงนี้นี่แหละ เมื่อคิดว่าพวกเขาสามารถทาลายทั้งสานักจินติ่งและเทือกเขานี้ลงไปได้และยังบีบให้ทุกผู้คนต้องออกมา…”
หร่วนจวินเซียนนั้นเป็นทหารราบเล็ก ๆ คนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่ในการจัดการชุมนุมคน เมื่อเห็นการทาลายสานักจากที่เชิงเขา หัวใจของเขาก็กระตุก
“ครืน! ครืน!”
ที่ยอดเขาจินติ่ง คาถาเวทย์อันน่าหวาดกลัวสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันมีประกายสีทองและเหยียดตัวยาวออกมากับแม่น้าสายหนึ่ง ทันใดนั้น มันก็บิดตัวกลางอากาศและเปลี่ยนไปเป็นนกร็อคสีทองตัวมหึมา นกร็อคตัวนั้นมีขนสีทองสุกและยังมีรูปลักษณ์อันน่าเกรงขาว เพียงแค่กระพือปีก มันก็ลอยขึ้นไปที่ค่ายกล
“นี่คือ… คาถาเวทย์!”
เมื่อเห็น หร่วนจวินเซียนก็นิ่งงันไปปากอ้ากว้าง “ความรู้สึกนี้… ถึงแม้ว่าระหว่างข้ากับมันจะมีค่ายกลมหึมาขวางกั้นอยู่…”
“เหอเหอ… นี่คือพลังของนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุแท้จริง!”
จ้าวแห่งฝันผู้หนึ่งที่ข้าง ๆ หร่วนจวินเซียนหัวเราะ “นี่น่าจะเป็นเจ้าสานักจินติ่ง– ผู้อาวุโสจินติ่งลงมือด้วยตนเองแล้ว! แต่ว่า เมื่อมีพวกเราคอยลอบโจมตีและดักพวกเขาเอาไว้ นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุที่แท้จริงและอู่จงระดับร่างสวรรค์แท้จริงล้วนไม่สามารถหนีพ้น!”
“ผู้เก่งกาจเช่นนี้ล้วนสลายหายไปได้?”
หร่วนจวินเซียนพึมพากับตัวเอง
ถึงตอนนี้ หร่วนจวินเซียนนั้นก็สามารถใช้พลังธาตุได้แล้วและยังนับว่าเป็นจ้าวแห่งฝันอย่างเป็นทางการ แต่ว่า เขาก็ยังชื่นชมผู้เก่งกาจเหล่านี้อยู่
ในสานักก่อนหน้าของเขา ทั้งสานัก มีผู้มีพลังเพียงผู้เดียวก็คือผู้อาวุโสหลงหู่
แต่ตอนนี้ สานักใหม่ของเขา ไป๋เจ๋อซาน กลับไม่สนใจและยังโจมตีเหล่าผู้มีพลังทั้งสามนี้พร้อมกันคราวเดียว!
ความแตกต่างนั้นมากมายเกินกว่าที่คนผู้หนึ่งจะจินตนาการได้
“นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุแท้จริงนั้นมีพลังเวทย์อันแทบจะไร้จากัด ที่สาคัญที่สุด คาถาเวทย์ของเขานั้นมีจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าจะเป็น
คาถาระดับต่าก็ยังเปลี่ยนเป็นคาถาวิเศษในมือของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่นนกร็อกสีทองตัวนั้น อันที่จริงแล้วมันมีพลังเพียงหนึ่งในสามของสัตว์โบราณ… แต่ว่าน่าเสียดายนัก นี่เป็นค่ายกลที่จ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดสามคนร่ายขึ้น!”
จ้าวแห่งฝันผู้นั้นหัวเราะคิกคักอย่างภาคภูมิใจ
“แกว๊ก!”
นกร็อกสีทองกระพือปีกและในที่สุดก็ชนเข้ากับค่ายกล
“ครืน!”
มีเสียงแตกกระจายตามมาดังก้องไปทั่วขณะเทือกเขาจินติ่งทั้งลูกสั่นสะเทือน
บนค่ายกล ชั้นพลังโปร่งใสชั้นหนึ่งปรากฏให้เห็นและยังหนาราวกับกาแพง เมื่อถูกชน มันก็สั่นและเริ่มมีรอยแตก
ที่กลางอากาศ จ้าวแห่งฝันสามคนปรากฏตัวขึ้น รอบตัวพวกเขาเปล่งประกายเรืองรองและยังมีภาพมายาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหลังพวกเขา จากนั้นผืนดินที่มองเห็นได้นั้นก็ถล่มลงมา
“ซ่า! ซ่า!”
ค่ายกลสั่น และทันใดนั้น รอยแตกก็ได้รับการซ่อมแซม มันกลับไปมั่นคงราวกับก้อนผลึกใสก้อนหนึ่ง ผนึกทุกความหวังในการหลบหนีเอาไว้
“ผู้อาวุโสจินติ่ง เหตุใดจึงฝืนชะตาเล่า?”
ผู้อาวุโสระดับสวรรค์มายาทั้งสามนั่งลงขัดสมาธิ ทั้งหมดดูสงบ “ราชสานักนั้นกดขี่ข่มเหง และที่พวกเราก็เพียงแค่การตอบโต้เท่านั้น! หากสานักจินติ่งไม่ยอมเปลี่ยนแปลง เช่นนั้นทุกอย่างในค่ายกลนี้ก็จะถูกทาลายให้เหลือพียงแค่เศษฝุ่นแล้ว หากท่านต้องการมีชีวิตรอด ก็ยอมจานนแก่พวกเราแล้วให้พวกเราควบคุมท่าน หากท่านตกลง ท่านก็สามารถรักษาทรัพย์สมบัติทั้งหมดเอาไว้ได้!”
“ฝันไปเถิด!”
เสียงหนึ่งดังมาจากเทือกเขาจินติ่ง “ข้าสาบานต่อฟ้าว่าข้าจะสู้กับพวกเจ้าผู้ชั่วร้ายไปตลอดกาล!”
“ครืน! ครืน!”
ทันทีที่เขาพูดจบ คาถาเวทย์ห้าสายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งเปลี่ยนไปเป็นมังกรพลังธาตุที่ต่างกันห้าตัวที่กลางอากาศ ก่อเป็นค่ายกลขึ้นมาด้วยตัวเอง เขาสั่งให้ค่ายกลมังกรชนเข้ากับค่ายกลที่ด้านบน
“ปัง!”
ค่ายกลมังกรน้าระเบิดออก แต่ว่าค่ายกลใหญ่กลับเพียงแค่สั่นสะเทือนเท่านั้น ตรงกันข้าม เปลวไฟและน้าแข็งเย็นเยียบกลับแตกกระจายทาให้ทั้งเทือกเขาจินติ่งรับภัยพิบัติอีกครั้ง
“เหตุใดท่านจึงบีบบังคับตัวเองทั้งที่รู้ว่าทั้งหมดที่ท่านทานั้นไร้ผล?”
จ้าวแห่งฝันระดับสูงทั้งสามถอนหายใจ ค่ายกลใหญ่ยังคงแน่นหนาและเปลวไฟที่ดูโปร่งใสก็เริ่มพัดโหมอยู่กลางค่ายกล
ทุกอย่างบนเทือกเขา ไม่ว่าจะเป็นก้อนหิน ต้นหญ้า หรือว่าเหล่าศิษย์ที่กาลังตื่นตระหนกล้วนถูกเปลวไฟกลืนกินทันทีที่สัมผัสถูก แล้วในไม่ช้าก็สลายไป
การป้องกันสุดท้ายของสานักจินติ่งเริ่มอ่อนแรงลงภายใต้การแผดเผาของเปลวไฟล่องหน ทุกสิ่งทุกอย่างจะเหลือเพียงเถ้าถ่านไปก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
ดูเหมือนว่าจ้าวแห่งฝันของไป๋เจ๋อซานนั้นลงมือเต็มที่ในคราวนี้ และยังยืนกรานจะกวาดล้างทุกอย่างที่อยู่บนเทือกเขา ไม่ว่าจะเป็นตัวภูเขาเอง เหล่าศิษย์ หรือกระทั่งเจ้าสานัก!
ภายในยอดเขา ที่ในหอปรมาจารย์จินติ่ง
ผู้อาวุโสจินติ่งจับตามองเพลิงนรกที่ลุกโหมและรู้ว่าผลลัพธ์ของการต่อสู้จะเป็นเช่นไร ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง เขาเกือบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว “ไป๋เจ๋อซาน… พวกเจ้าช่างโหดเหี้ยมนัก! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรอ้างว่าตัวเองเป็นคนดี!”
“มันก็เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นได้อยู่แล้วเพราะก่อนหน้านี้พวกเราร่วมมือกับองครักษ์มังกรซ่อนลอบสังหารหนึ่งในผู้อาวุโสของพวกมัน!”
ที่ด้านข้างผู้อาวุโสจินติ่ง ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ยืนหยัดตัวตรงอยู่
“พวกเราตอนนี้ตกลงไปในกับดักของพวกมันแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางให้หนีได้…”
ผู้อาวุโสจินติ่งมองพี่น้องระดับร่างสวรรค์แท้จริงแล้วหัวเราะขื่น “พวกเรานาทั้งสานักเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วคราวนี้… โชคดี น้องชางหนีออกไปได้แล้วและพวกเราก็ยังสามารถรักษามรดกตกทอดเอาไว้ได้!”
สานักจินติ่งนั้นมีนักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุที่แท้จริงหนึ่งคนและมีอู่จงระดับร่างสวรรค์แท้จริงอีกสองคนเป็นผู้นา
ถึงแม้ว่าคราวนี้พวกเขาจะถูกหลอกลวงได้ สานักของพวกเขาก็ยังไม่นับว่าถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น มีหนึ่งในพวกเขายังอยู่ด้านนอกค่ายกล สานักย่อมยังมีหวังที่จะสืบทอดอยู่ต่อไปได้
ผู้อาวุโสจินติ่งนั้นไม่ได้คิดเลยว่าราชสานักจะส่งกาลังเสริมมาช่วยพวกเขาออกไป
ด้วยความวุ่นวายเหนือเทือกเขาจินติ่ง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าห้าสานักยิ่งใหญ่นั้นกาลังท้าทายให้ราชสานักโจมตีพวกเขา เมื่อคิดถึงทรัพยากรที่ราชสานักมี มันก็นับว่าเป็นเรื่องไม่ฉลาดนักที่จะเผชิญหน้ากับห้าสานักยิ่งใหญ่ตรง ๆ โดยเฉพาะในเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
“ฮ่าฮ่า… เจ้าสานัก อย่าเพิ่งหมดกาลังใจไป พวกเรายังมีโอกาส!”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนหัวเราะออกมาขณะถือน้าเต้าสุราลูกหนึ่งอยู่ในมือ เขากัดเปิดจุกออกแล้วยกขึ้นดื่มจนเต็มที่ราวกับชายเจ้าสาราญสักคน
“โอกาส? เช่นนั้นก็เดิมพันดู!”
ผู้อาวุโสจินติ่งก็หัวเราะออกมา
“พูดได้ดี! นอกจากรออยู่ที่นี่ให้ค่ายกลบดขยี้ มิสู้ลงมือต่อสู้จนตายไปข้างหนึ่ง!”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนโยนน้าเต้าสุราลงพื้นแล้วพุ่งออกไป “ข้าคือร่างสวรรค์แท้จริงซวนอู่ ผู้ใดหาญกล้ามาท้าทาย?”
“ท้าทาย!”
“ท้าทาย!!”
“ท้าทาย!!!”
คาสุดท้ายของเขานั้นดังลั่น มันก้องไปไกลถึงบนฟ้า พลังของเขาราวกับพระอาทิตย์ดวงเล็ก ๆ สั่นสะเทือนและพร้อมที่จะระเบิดออก
แล้วภาพมายาของยักษ์ตนหนึ่งก็ปรากฏ
ยักษ์ตนนั้นเป็นสีดาสนิทและยังมีกระดองแบบเต่าอยู่บนหลังของมัน งูตัวใหญ่พันอยู่รอบร่าง มันคารามอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะตวัดหมัดหนึ่งขึ้นฟ้าพุ่งใส่ค่ายกล
“ครืน!”
ที่เชิงเขา หร่วนจวินเซียนเกือบจะเสียหลักล้มไป “ร่างสวรรค์แท้จริง?”
ในสายตาของเขา ยักษ์ตนนั้นที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นนั้นมีกล้ามเนื้อนูนเด่นราวกับเดินออกมาจากในตานาน
วิทยายุทธ์เช่นนี้ช่างน่ากลัว และกระทั่งผู้อาวุโสหลงหู่ยังอาจจะไม่ใช่คู่มือของมัน!
เห็นเช่นนี้ เขายังเริ่มประเมินดูอีกครั้งว่าการเลือกมาเป็นจ้าวแห่งฝันของเขานั้นถูกต้องแล้วหรือไม่
“ฮึ่ม ก็แค่เล่ห์กลเล็ก ๆ น้อย ๆ!”
ที่กลางอากาศ จ้าวแห่งฝันระดับสูงทั้งสามคนสบตากันและส่ายหน้า
ถ้าพวกเขาต้องการกาจัดยักษ์ตนนี้ พวกเขาอาจจะต้องกลัวมันอยู่บ้าง
แต่ว่า ตอนนี้ ยักษ์นั่นก็ถูกกักเอาไว้ในค่ายกลที่ปราชญ์มอบให้มา ความสามารถของมันย่อมสามารถกักยักษ์ตนนี้เอาไว้ภายในได้อย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหตุใดพวกเขาจะต้องหวาดเกรงการท้าทายของผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์ด้วย?
จ้าวแห่งฝันร่ายเคล็ดวิชาออกมา เปลวเพลิงล่องหนเริ่มรวมตัวกัน เกิดเป็นบางสิ่งที่ดูราวกับพระอาทิตย์ขนาดย่อม ทันทีที่พระอาทิตย์ดวงเล็กนี้ก่อตัวขึ้น มันก็เริ่มลอยลงมา
“อ๊าว! อ๊าว!”
ยักษ์ตนนั้นเริ่มทุบหน้าอกตนเองแล้วคาราม ร่างของมันถูกเปลวไฟเข้าล้อม กระทั่งร่างของร่างสวรรค์แท้จริงก็เริ่มหลอมละลาย
“อ๊า… บัดซบ! สายธารโลหิต!”
ร่างสวรรค์แท้จริงคารามออกมา ยักษ์ตนนั้นเริ่มแตกสลายไป ตรงตาแหน่งที่ควรเป็นหัวใจของมันเกิดโพรงขนาดใหญ่ ประกายสีเขียวมรกตเริ่มเข้มขึ้น และด้วยพลังปราณของร่างสวรรค์แท้จริง มันก็พุ่งเข้าใส่ค่ายกล
“เอ๋?”
“นี่คือ… ปราณโลหิตของผู้ฝึกยุทธ์? เขาเผยไพ่ตายแล้ว!”
“นับเป็นร่างสวรรค์แท้จริงที่เก่งกาจจริง ๆ จึงสามารถใช้ปราณโลหิตได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้!”
จ้าวแห่งฝันทั้งสามคนรีบปรึกษาถึงวิธีการจัดการกับเขา แต่ไม่มีใครกล้ารับมือกับกระบวนท่าสุดท้ายของร่างสวรรค์แท้จริงตรง ๆ สิ่งเดียวที่พวกเขาทาได้ก็คือคงความแข็งแกร่งของค่ายกลเอาไว้
“ฉัวะ!”
เมื่อประกายสีมรกตกระทบเข้ากับค่ายกล มันก็ส่งเสียงฉี่ฉ่าและระเบิดออกราวกับน้ามันร้อน ๆ สัมผัสถูกน้า ผู้อาวุโสทั้งสามนั้นโอนเอนไปมาขณะเลือดเริ่มไหลออกจากจมูกของพวกเขา
กระทั่งค่ายกลของปราชญ์ยังต้องชะงักไปเมื่อรับมือกับพลังมหาศาลนี้ บนผิวค่ายกลเริ่มปรากฏรูขนาดใหญ่ขึ้น
“ตอนนี้แหละ ท่านเจ้าสานัก ไป!”
“ศิษย์น้อง?!”
ดวงตาของผู้อาวุโสจินติ่งแดงก่า เขารีบเปลี่ยนร่างไปเป็นลาแสงเส้นหนึ่งพาศิษย์หลายคนทะลุผ่านค่ายกลออกไป ภายในไม่กี่วินาที เขาก็ราวกับจะหายลับไปที่ขอบฟ้า
“ฮ่าฮ่า… สานักของข้าจะคงอยู่ต่อไป!”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนหัวเราะและเริ่มมีเลือดไหลออกจากดวงตา จมูก หูและกระทั่งปากของเขา เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสและไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตไปแล้ว
คนผู้นี้เพิ่งเสียสละตัวเองชิงโอกาสรอดชีวิตให้เจ้าสานักและศิษย์หลายคน
“นี่ช่างน่าสมเพช… และน่าขานัก!”
เห็นเช่นนี้แล้ว จ้าวแห่งฝันทั้งสามคนก็ยังคงอยู่ในท่านั่งเช่นเดิมและไม่ได้ดูพ่ายแพ้แต่อย่างใด
ลาแสงสีทองนั้นรวดเร็วมาก เมื่อมันไปถึงที่ขอบฟ้า มันก็มองกลับมาด้วยสายตาไม่ยินยอมก่อนจะหายลับไป
“ครืน!”
ตอนนี้เอง ที่กลางอากาศก็แตกออกขณะมือยักษ์ข้างหนึ่งยืนออกมาคว้าประกายสีทองนั่นเอาไว้
มีเสียงเบา ๆ ของผู้อาวุโสจินติ่งดังมาให้ได้ยิน
“นี่คือ… ฝ่ามือแห่งปราชญ์?”
ที่บนเขา เมื่อผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนเห็นเจ้าสานักของตนถูกจับตัวได้อีกครั้ง น้าตาก็เอ่อคลอนัยน์ตาเขา “น่าชัง! น่าชังนัก!”
“ฮึ่ม พวกเราลงแรงไปตั้งมากใช้พวกเจ้าเป็นเหยื่อ หารู้ไม่ว่าราชสานักกลับหดหัวอยู่แต่ในกระดอง พวกเราก็ทาได้เพียงลงมือกับพวกเจ้าเพื่อปลอบใจตนเองแล้ว!”
หนึ่งในผู้อาวุโสหัวเราะขณะออกคาสั่งเปลวเพลิงล่องหนให้เผาร่างสวรรค์แท้จริงผู้นั้นให้เป็นเถ้า
“เผา! เผาทุกสิ่งให้ราบ!”
“ครืน!”
เปลวเพลิงลุกโหมไปจนวันถัดไป ศิษย์กว่าพันคนของสานักจินติ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน กระทั่งภูเขาเองก็กลายเป็นพื้นดินราบเรียบ
“นี่… คือพลังของผู้มีพลังงั้นหรือ? เผาที่นั่นให้กลายเป็นนรกได้โดยง่าย…”
ที่เชิงเขา หร่วนจวินเซียนนิ่งงันไป
ในฐานะทหารตัวเล็ก ๆ ที่รับผิดชอบควบคุมคน เขามีโอกาสได้เห็นกระบวนการทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ความต้องการเป็นจ้าวแห่งฝันของเขาก็เพิ่มมากขึ้นอีก
ในวันต่อมา ข่าวการทาลายล้างสานักจินติ่งก็แพร่ออกไป และทั้งเก้าสิบเก้ารัฐของต้าเฉียนก็ยังคงนิ่งสงบ
สานักต่าง ๆ ในอาณาจักรตอนนี้ล้วนหวาดกลัวจ้าวแห่งฝันและเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้มีพลังอานาจให้มาเป็นผู้หนุนหลัง
ตอนนี้ ราชสานักตัดสินใจเตรียมทัพและสงครามกาลังจะเกิดขึ้นแล้ว!