381: ร่างสวรรค์แท้จริง
“ตูมมม!”
พื้นดินสั่น พื้นที่ว่างล้วนสะเทือน
ที่ตรงกลางนั้นเละเทะไปหมด ปิศาจสองตัวกาลังต่อสู้กันอยู่
ฟางหยวนและชางซวนเชิงล้วนมีการป้องกันตนที่แข็งแกร่งอย่างน่าตะลึง การโจมตีของพวกเขาทาอะไรอีกฝ่ายไม่ได้มากนัก ดังนั้น พวกเขาจึงจดจ่ออยู่กับการออกหมัดรุนแรงราวกับเป็นผู้ไร้ทักษะวิชา มีเพียงกล้ามเนื้อ ไม่มีสมอง
อันที่จริงแล้ว ท่าทางการลงมืออย่างไร้ทักษะนี้เป็นเพียงการปิดบังสติปัญญาของตนเอาไว้เท่านั้น แต่ละเคล็ดวิชาและการโจมตี ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยพลังรุนแรงที่เพียงพอถล่มภูเขา หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปหรือกระทั่งอู่จงชีพจรที่เจ็ดหรือแปดก็อาจจะกลายเป็นกองเนื้อบดไปแล้วหากกระทบถูกกระบวนท่าเหล่านี้
“ปัง!”
“โซ่สิบสามอินทรีสวรรค์ ไป!”
“ดาบข่มสุริยัน!”
หลังจากได้รับบาดเจ็บกันอีกรอบ พวกเขาทั้งสองก็ขยับออกห่างกันพยายามยืนอยู่ด้วยตนเอง
ชางซวนเชิงเช็ดเลือดที่มุมปาก มองฟางหยวนที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าแล้วส่ายหน้า “เจ้าแพ้แล้ว! ถึงแม้ว่าร่างกายของเจ้าจะแข็งแกร่งมาก แต่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ร่างสวรรค์แท้จริง เจ้าย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลังจากสู้กับข้า!”
“ถูกต้อง!”
ที่ตรงข้ามเขา เส้นผมของฟางหยวนยุ่งเหยิง เสื้อผ้าฉีกขาด และยังมีแผลนับไม่ถ้วนอยู่บนร่าง
ฟางหยวนนั้นรู้ขีดจากัดของร่างกายตนเองดี
ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง แต่บนใบหน้ากลับปรากฏแววบ้าคลั่งขณะตอบกลับไป “แต่ข้าก็ยังต้องขอบคุณท่าน! หากท่านไม่สู้กับข้า แล้วข้าจะเข้าสู่ชีพจรที่เก้าได้อย่างไร!”
ฟางหยวนมองค่าสถานะของตัวเอง
ที่ข้าง ๆ ‘เคล็ดวิเศษบรรลุเก้าชีพจร’ นั้นมีหมอกมาบังแล้วในที่สุดมันก็สลายไป คาว่า ‘ชีพจรที่ 9’ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน!
ที่ด้านหลังฟางหยวน ชีพจรศักดิ์สิทธิ์จุดหนึ่งเริ่มก่อตัวแล้วเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีชีพจรนี้เข้ามาช่วย ทุกอย่างก็นับว่าราบรื่นสาหรับฟางหยวน และยังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
“อู่จงชีพจรที่เก้า?”
ชางซวนเชิงขมวดคิ้วนิด ๆ สาหรับเขา ต่อให้ฟางหยวนจู่ ๆ จะบรรลุระดับได้ มันก็ยังไม่มีอันใดต้องหวาดเกรง
แต่ว่า ครู่ต่อมา ลูกนัยน์ตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาขณะมองไป
เขาเห็นเงาร่างพร่ามัวที่ด้านหลังฟางหยวนค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นแล้วแทรกซึมเข้าไปในร่างเขาจนหมด
ทันใดนั้น รัศมีพลังรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างของฟางหยวน ไม่เพียงเท่านั้น บาดแผลลึกบนร่างของเขาก็ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์
“วิ้ง! วิ้ง!”
ที่ด้านนอก พลังธาตุแห่งฟ้าปริมาณมากมารวมกันหมุนวนเป็นกระแสพลังมหาศาลรูปกรวยห้าสี แดง เหลือง เขียว ขาว และน้าเงิน ปลายหนึ่งของรูปกรวยนั้นพุ่งเข้าสู่ร่างของฟางหยวนอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายของฟางหยวนราวกับหลุมไร้ก้นที่สูบพลังธาตุลงไปอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
“นี่คือ… กระบวนการเกิดร่างสวรรค์แท้จริง?”
ชางซวนเชิงนิ่งไปและพึมพา “เจ้าสามารถบรรลุสองระดับได้ในคราวเดียว! หลังจากสร้างชีพจรที่เก้า เจ้าก็ทะลวงผ่านคอขวดและสร้างร่างสวรรค์ได้โดยตรง!”
ในฐานะที่ชางซวนเชิงก็เป็นร่างสวรรค์แท้จริงคนหนึ่งที่สร้างร่างสวรรค์สาเร็จเช่นกัน เขาย่อมต้องรู้ถึงความยากของการบรรลุระดับและต้องใช้ทรัพยากรมากมายเพียงใด
แต่ว่า โดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกถึงอันตรายก็ผุดขึ้นในใจของเขาทันที
สัญชาตญาณในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ทาให้ชางซวนเชิงรู้ว่าฟางหยวนนั้นจะประสบความสาเร็จในการทะลวงด่านครั้งนี้
“ข้าปล่อยให้เขาทาสาเร็จไม่ได้!”
ชางซวนเชิงคารามก้องและพระอาทิตย์สีแดงดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า แสงสีทองหลายเส้นหล่นลงจากฟ้าและรวมตัวกันอยู่บนมือของเขา “ดาบสุริยันสีทอง สังหาร!”
“ฝุบ!”
ดาบเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นและตวัดออกไป ดาบส่องแสงสว่างจ้าราวกับเป็นเปลวไฟจากพระอาทิตย์ของโลกใบนี้
ชางซวนเชิงใช้กาลังทั้งหมดที่มีไปกับดาบนี้!
เมื่อดาบสุริยันสีทองพุ่งออกไป รอบด้านก็สลัวลงขณะที่ใบดาบสว่างวาบและเปลี่ยนไปเป็นลาแสงเส้นบางพุ่งไปที่ตรงกลางของกระแสพลังที่ที่ฟางหยวนอยู่
“สายเกินไปแล้ว!”
ฟางหยวนแค่นเสียงและสูดลมหายใจลึก ๆ ขณะที่กระแสพลังสูบพลังธาตุทั้งห้าสีในสิ่งแวดล้อมทั้งหมดเข้าไป แสงสีทองเหลือบโลหะส่องประกายอยู่บนร่างของเขาและเปลี่ยนไปเป็นประกายดุจหยก ประกายบางอย่างส่องเรืองออกจากร่างของเขาก่อนที่มันจะผสานเข้าด้วยกัน เกิดเป็นสีม่วงอมเขียว
“ชี่!”
เขายื่นมือขวาออกไปคว้าลาแสงดาบเอาไว้โดยง่ายดาย ลาแสงนั่นราวกับเป็นไส้เดือนบิดตัวไปมา ประกายไฟปะทุออกมา แต่ว่าก็ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ในมือฟางหยวน
เพียงแค่ออกแรงไม่มาก ลาแสงดาบก็ถูกทาลายไปในทันที
ถึงแม้ว่าพลังของพระอาทิตย์จะระเบิดออก มันก็ไม่มีผลต่อร่างของฟางหยวนเลยสักนิด
“ร่างผู้ฝึกยุทธ์ของข้านี้สร้างขึ้นจากพื้นฐานร่างสุดยอดพ่อมดและยังรวมกับพลังของเคล็ดอินทรียักษ์กายาเหล็กและร่างทองคาร้อยพิษ! ข้าจะเรียกมันว่า ร่างอินทรีผานกู่!!!”
ตรงหน้าฟางหยวน ค่าสถานะของเขาส่องแสงสว่างจ้าขณะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 100
พลังลมปราณ: 100
พลังเวทย์: 61
สายวิชา: ผู้ป้องฝัน
การฝึกตน: สวรรค์มายา (ขั้นที่ 4), ร่างสวรรค์แท้จริง
วิทยายุทธ์: [ร่างอินทรีผานกู่ (???)], [ค่ายกลดาบแปดประตู (ดาบที่ 5)(10 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิงสีทอง (ระดับ 1)]”
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
ฟางหยวนกามัดและรู้สึกได้ถึงพลังธาตุที่พลุ่งพล่านในร่าง และร่างกายของเขายังมีความแข็งแกร่งอันประเมินมิได้ เขาตระหนักได้ในทันที “เหล่าผู้ทรงพลังได้รับการเรียกขานเช่นนั้นเพราะว่าพวกเขามี พลังกาย พลังลมปราณ หรือไม่ก็พลังเวทย์ อย่างใดอย่างหนึ่งถึง 100 หรือเหนือกว่า บางที มันอาจจะเป็นความพิเศษของจ้าวแห่งฝันที่มีความสามารถในในด้านพลังเวทย์สูงส่ง…”
“พลังกายและพลังลมปราณของข้าทั้งคู่ถึง 100 นั่นหมายความว่าข้าเป็นร่างสวรรค์แท้จริงผู้หนึ่งแล้ว! ส่วนจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์สูงสุด พลังเวทย์ของพวกเขาคงจะถึง 100 หรือเหนือกว่านั้น!”
แน่นอนว่า การบรรลุระดับของฟางหยวนนั้นเป็นการบรรลุระดับทั้งพลังกายและพลังลมปราณ เขาย่อมเหนือกว่าชางซวนเชิงที่บรรลุระดับของพลังลมปราณเพียงอย่างเดียว
“ร่างอินทรีผานกู่?!”
ชางซวนเชิงสีหน้าเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมลงอย่างมากขณะมองไปที่ประกายฟุุ้งบนร่างของฟางหยวน “ข้าหลงใหลในวิทยายุทธ์และรู้จักทุก ๆ เคล็ดวิชาบนโลกใบนี้ ในอันดับผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แห่งต้าเฉียน ไม่มีร่างสวรรค์เช่นนี้! ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถสร้างเคล็ดวิชาเช่นนี้ขึ้นมาและยังทะลวงสู่ร่างสวรรค์แท้จริงได้! เจ้าบ้าไปแล้ว!”
แน่นอนว่า หากคนผู้หนึ่งเกิดวิกลจริตขึ้นมาระหว่างการฝึกฝนและไม่ตายตกไป ก็กลายเป็นบ้าไปอยู่ดี
แต่ตอนนี้ ในเมื่อฟางหยวนทาได้สาเร็จ เขาก็คือปรมาจารย์ผู้หนึ่งที่สร้างเส้นทางการฝึกยุทธ์ของตนขึ้นมา!
ชนะเป็นจ้าวแพ้เป็นโจร นี่เป็นเรื่องธรรมดา!
“ถ้าพูดไปแล้ว… ที่ข้าสามารถบรรลุระดับได้ในคราวนี้ล้วนต้องขอบคุณการลงมือของเจ้า!”
ฟางหยวนรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดบนร่างของเขานั้นฟื้นฟูแล้วและพลังของเขาก็เหนือระดับพลังสูงสุดที่เขาเคยมี เขาส่งยิ้มให้ชางซวนเชิง เผยฟันขาวเป็นประกาย “เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะให้เจ้าตายตกลงใต้วิชายุทธ์ใหม่ที่ข้าเพิ่งได้รับมา!”
“หน้าไม่อาย!”
ชางซวนเชิงรู้สึกได้ถึงลางบอกเหตุอันตรายแต่กลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
สาหรับชางซวนเชิง ถึงแม้ว่าเขาจะด้อยกว่าฟางหยวนแต่ถ้าจะหนีก็ไม่ได้ยาก
แต่ว่า ครู่ต่อมา สีหน้าของชางซวนเชิงก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
นี่เป็นเพราะว่าฟางหยวนนั้นเหวี่ยงหมัดเข้าใส่หน้าเขาเรียบร้อยแล้ว
“ปัง!”
ร่างสวรรค์แท้จริงรวมกับร่างกายอันแข็งแกร่งอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วของฟางหยวนทาให้เกิดการบรรลุระดับทั้งพลังกายและพลังลมปราณย่อมไม่ได้มีพลังเทียบเท่ากับหนึ่งบวกหนึ่ง
“ตูม!!!”
เพียงแค่หมัดเดียว ทั้งร่างของชางซวนเชิงก็ปลิวถอยหลังไปพร้อมกับเสียงกระดูกหักดังลั่นมา
“เป็นไปไม่ได้… เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” ชางซวนเชิงคิด
จิตใจของชางซวนเชิงเปลี่ยนเป็นวุ่นวาย ในใจเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น “เหตุใดร่างสวรรค์ซวนอู่ของข้าจึงอ่อนแอถึงเพียงนี้…”
เป็นหมัดที่ทรงพลังถึงขนาดทาให้เลือดไหลขึ้นมากบดวงตาของเขาก่อนจะไหลลงอาบแก้ม
หากเขาสามารถมองเห็นได้จากดวงตาคู่นี้ เขาก็คงจะเห็นร่างยักษ์ผานกู่สีม่วงสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อปรากฏขึ้นที่ด้านหลังฟางหยวน ยักนี้อย่างน้อยก็มีขนาดใหญ่กว่าร่างซวนอู่ของชางซวนเชิงสิบเท่า เมื่อยักษ์นี่มองลงมาจากด้านบน มันก็นาเอาพลังที่ราวกับถือกาเนิดจากฟ้าสร้างจากผืนดินลงมาด้วย พลังของมันนั้นเกินจะประมาณได้
ต่อหน้าฟางหยวน ร่างของชางซวนเชิงนั้นก็ไม่ต่างไปจากเด็กทารกสักคนหนึ่ง
“ช่างเถิด… อย่างไรข้าก็ได้สังหารจ้าวแห่งฝันผู้มีพรสวรรค์ไปได้มากมายแล้ว นั่นก็เพียงพอแล้ว…”
ภายใต้ความเจ็บปวดล้าลึก เลือดทะลักออกจากปากและจมูกของชางซวนเชิง แต่ว่า ริมฝีปากของเขากลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะขณะคิด “ข้าไม่มีอันใดให้เสียใจแล้วในชีวิตนี้เมื่อได้เห็นผู้ฝึกยุทธ์เก่งกาจถึงระดับนี้ก่อนตายตกไป! ในโลกนี้ ผู้ฝึกยุทธ์กาลังจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นแล้ว!”
ครู่ถัดมา เขาก็เห็นร่างสวรรค์แท้จริงของฟางหยวนพุ่งตรงมาหาเขา เขาร้องโหยหวนออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะตายจากไป…
“ร่างสวรรค์แท้จริงถูกข้าทุบตีตายไปอย่างนั้นหรือ?”
ฟางหยวนเก็บหมัดอาบเลือดของตนลงและสูดลมหายใจช้า ๆ เพื่อสงบเลือดและพลังธาตุที่พลุ่งพล่าน
“ในที่สุดข้าก็เข้าสู่ระดับผู้ทรงพลัง! ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนด้อยที่สุด…”
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แท้จริง นักรบศักดิ์สิทธิ์ระดับใช้พลังธาตุแท้จริง และจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นที่เจ็ดขึ้นไปล้วนเป็นผู้ที่มีอานาจปกครองเหนืออาณาจักรต้าเฉียนเพราะว่ามีพลังมากมายเป็นอย่างยิ่ง
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีแต่กลับย่างเท้าเข้าสู่ระดับผู้ปกครองนี้ได้!
ฟางหยวนถอนหายใจและโบกมือ ดินจากสองด้านขยับมารวมกันก่อตัวเป็นหลุมศพหลุมหนึ่ง
“ถึงแม้ว่าท่านจะมองข้าเป็นศัตรู แต่ท่านก็เป็นร่างสวรรค์แท้จริงผู้หนึ่ง ข้าจะสร้างหลุมศพให้ท่าน!”
ฟางหยวนยืนคิดเงียบ ๆ ก่อนที่จะหมุนตัวกลับแล้วจากไป
เมื่อระดับการฝึกตนของฟางหยวนทะลุขีดจากัดแล้ว ก็มีหลายสิ่งที่เขาสามารถทาได้
แก่นของมรดกของปราชญ์ฉางหลีก็สามารถวิเคราะห์ได้แล้ว
เขาสามารถเริ่มตามแก้แค้นให้แก่อาจารย์ของเขา อาจารย์เจว๋ซิน
นอกจากนี้ เขายังปกป้องตนเองจากกรงเล็บของผู้อื่นในสงครามที่กาลังจะมาถึงได้แล้ว!
“แน่นอนว่า… สิ่งที่ข้าต้องทาในตอนนี้ก็คือพักผ่อนให้ดี ๆ สักระยะ…”
ฟางหยวนหัวเราะอย่างไม่รู้สึกขาก่อนที่จะหายตัวไป
บนพื้นที่ต่อสู้ก็หลงเหลืออยู่เพียงความเงียบงัน
ครู่ต่อมา ก็ปรากฏคนสองคนขึ้น เป็นบัณฑิตผู้หนึ่งและสตรีงามอีกผู้หนึ่ง
“พลังเวทย์ของเมิ่งเหลียนอยู่ในบริเวณนี้!”
สีหน้าของบัณฑิตวัยกลางคนดูย่าแย่มาก เขารีบกวาดตามองรอบด้านและพบบริเวณต่อสู้ที่ชางซวนเชิงลงมือและยังพบศพของบุตรสาวตน
“บ้าชะมัด… ชางซวนเชิง ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เมื่อเขาเห็นหลุมเลือดที่หน้าผากของเมิ่งเหลียน ชายวัยกลางคนก็เดือดดาลขึ้นมาทันที
“เฮ่ย… ข้าคิดว่าจ้าวแห่งฝันทั้งหมดล้วนถูกสังหารแล้ว!”
สตรีที่มาด้วยกันนั้นอายุราวสามสิบปีซึ่งเป็นอายุที่เสน่ห์ของความเยาว์วัยและผู้ใหญ่หลอมรวมเข้าด้วยกัน เมื่อสายตาของนางกวาดมองไปก็สามารถเข้าใจภาพรวมได้ “เป้าหมายของชางซวนเชิงผู้นั้นน่าจะเป็นฟางหยวนจากสมาพันธ์แห่งอาณาจักร ข้าได้ยินมาว่าชายหนุ่มผู้นี้นั้นมีพรสวรรค์มากและยังบรรลุระดับสวรรค์มายาหลายขั้นได้ต่อเนื่อง! เขาต่างไปจากผู้อื่นที่เหลือจริง ๆ!”
“ฮึ! ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เพียงใด หลังจากตายไปแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเหลือ…”
บัณฑิตวัยกลางคนแค่นเสียงและสีหน้าก็เปลี่ยนไป “แต่ ข้าได้ยินมาว่าเขาไม่ธรรมดา ต่อให้เขาสู้กับชางซวนเชิงเขาก็ยังน่าจะรับมือได้… เขาน่าจะอยู่แถวนี้ ไปหาเขากัน…”
ในไม่ช้า เมื่อพวกเขาตามร่องรอยที่เหลืออยู่จากการต่อสู้ไป พวกเขาก็มองเห็นหลุมมากมายที่บนพื้นและยังหลุมศพหลุมหนึ่ง
“ชางซวนเชิง… ตาย?”
ขณะที่ชายกลางคนเพ่งมองไปที่หลุมศพ เขาก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้อย่างไร? ใครสังหารเขา?”
“ข้าดูจากการต่อสู้แล้ว น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แท้จริงประมือกันและไม่ใช่คนของพวกเรา…”
สีหน้ามึดครึ้มปรากฏบนใบหน้าของนางขณะนางพูดต่อ “ข้าเกรงว่าจะเป็นฟางหยวนแห่งสมาพันธ์แห่งอาณาจักรผู้นั้น!”
“เขา… สามารถสังหารร่างสวรรค์แท้จริงได้หรือ?”
บัณฑิตวัยกลางคนพูดซ้ากับตนเอง “ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่า เขาเองก็…”
“เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับร่างสวรรค์แท้จริง!!!”
นางถอนหายใจยาวและสายตาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น