390: ข้อจากัด
TL note: ผู้แปลขออนุญาตแจ้งว่าตั้งแต่บทนี้ไปเป็นการข้ามฝันสู่โลกใหม่ของตัวเอก สานวนการแปลจึงจะต่างออกไปตามบริบทเรื่อง
ความรู้สึกของการข้ามฝันนั้นช่างลึกลับ
ฟางหยวนนั้นเคยข้ามฝันสู่สามโลกและยังเรียกได้ว่าค่อนข้างมีประสบการณ์
แต่ว่า กระทั่งการเดินทางข้ามฝันสู่อาณาจักรโบราณยังไม่รู้สึกว่ายาวนานเท่าครั้งนี้
การโยกย้ายจิตวิญญาณแท้จริงของคนผู้หนึ่งควรจะเกิดขึ้นในพริบตา
แต่ว่า เพราะอาณาจักรใหม่นี้อยู่ไกลเกินไป ระยะเวลาที่ใช้ในการโยกย้ายจิตวิญญาณแท้จริงจึงยาวนานเป็นพิเศษ
จิตวิญญาณแท้จริงของเขาล่องลอยอยู่ในมิติดามืด ไม่สามารถติดต่อกับรอบด้านได้และกระทั่งเวลายังดูเหมือนถูกหยุดไป ความรู้สึกนี้นั้นทรมานกว่าเป็นร้อยเท่าเมื่อเทียบกับการถูกขังเอาไว้ในห้องมืด ๆ เล็ก ๆ และมันก็เป็นความรู้สึกที่สามารถเปลี่ยนคนให้บ้าคลั่งไปได้
การเดินทางยาวนานนั้นยังทาให้จิตวิญญาณแท้จริงของฟางหยวนหมดแรงลงด้วย
เมื่อจิตวิญญาณแท้จริงของเขาหมดแรงลงโดยสิ้นเชิง ฟางหยวนก็รู้สึกราวกับเขากาลังจะต้องกลับไปโดยไม่มีรางวัลตอบแทนใดจากการเดินทางครั้งนี้
“ครืน!”
มิติที่รอบตัวเขาสั่นและสายฟ้าเส้นหนึ่งก็ฉีกกระชากมิติสีดาออกจากกันปล่อยให้แสงสว่างส่องกราดเข้ามา
“ซู่!”
ฟางหยวนเหงื่อไหลโทรม เขารู้สึกเหมือนตัวเองจมน้าลงไปและได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมา พอลุกขึ้นยืนเขาก็สูดลมหายใจลึก
บนฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องแผ่คลื่นความร้อน่ไปทั่วผืนดิน
โดยไม่รู้ตัว ฟางหยวนเหยียดมือขวาของตัวเองออกไปป้องแสงแดด เมื่อนั้น เขาจึงสังเกตเห็นมือเล็ก ๆ สกปรกของตัวเอง เขาเป็นเด็กชายร่างผอมที่ดูจะอายุราวสิบสองปี
“ตอนนี้ข้าเป็นเด็กงั้นรึ?”
ฟางหยวนยิ้มฝืน ๆ ออกมาและสังเกตที่รอบตัว
บนต้นไป่ฮวามีนกเกาะอยู่มากมาย
ร่างกายเล็ก ๆ ของเขานั้นสวมเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวสีเขียว เสื้อผ้าพวกนี้คุณภาพดีแต่ว่าซีดจากการซักหลายต่อหลายครั้ง และรองเท้ายังขาดเป็นรูโหว่
ตรงหน้าเขา เขามองเห็นตึกสร้างจากปูน มันเป็นตึกเตี้ย ๆ และยังสูงอย่างมากก็แค่สองชั้น
สนามหญ้านี้มีกาแพงปูนทาสีแดงล้อมเอาไว้ และยังมีถ้อยคาแปลก ๆ เขียนเอาไว้บนกาแพง มีเสาอากาศอยู่ข้างสนาม มีลาโพงขนาดใหญ่ติดเอาไว้มีเสียงเพลงดังลั่นออกมา บางครั้งมันก็เป็นเสียงอันร่าเริงของผู้ประกาศข่าว
“โทรทัศน์ การกระจายเสียง?”
ฟางหยวนรู้สึกว่าทุกอย่างค่อนข้างประหลาด “ไม่ใช่ว่านางบอกว่าที่นี่เป็นช่วงยุคอุตสาหกรรมไอน้าหรอกหรือ?”
ทั้งหมดนี้ทาให้รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาด มันเหมือนกับภาพจาง ๆ ในชีวิตก่อนของเขากลายเป็นจริงในโลกนี้
สมองของเขาหมุนเร็วจี๋ ในที่สุดเขาก็เรียกความทรงจาบางอย่างขึ้นมาได้
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง เขาก็ยังได้รับการศึกษาและฟางหยวนก็สามารถดึงรายละเอียดของโลกนี้ขึ้นมาจากความทรงจาอันไม่ครบถ้วนนักของเขา
โลกนี้นั้นเป็นโลกทรงกลมและเป็นที่รู้จักในนามดาวโลก ที่นอกโลกนั้นมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวอื่น ๆ เรียกเป็นระบบสุริยะ แต่ว่า มีเพียงแค่ดาวดวงนี้เท่านั้นที่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้มนุษย์อาศัยอยู่
กว่าเจ็ดส่วนของผิวโลกใบนี้นั้นปกคลุมไปด้วยมหาสมุทร และมีทั้งหมดสามทวีป กว่าหนึ่งร้อยประเทศกระจายกันไปตามแต่ละทวีปเหล่านี้ มีเผ่าพันธุ์กว่าหนึ่งพันและเผ่าพันธุ์เหล่านี้ล้วนขัดแย้งกันเป็นประจา อันที่จริง สงครามโลกก็เพิ่งจบลงไป
ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปนั้นทาให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาเช่นกัน
หลังจากสงครามโลก กว่าสิบประเทศถูกกวาดล้างไปจากพื้นพิภพนี้ ผู้คนถูกสังหารไปเป็นพันล้านคน แต่ว่า ในเวลาเดียวกัน ก็มีประเทศที่ได้ประโยชน์จากสงครามนี้และเติบโตแข็งแกร่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ประเทศที่เขาอยู่ในตอนนี้– ประเทศจีน ประเทศที่ประสบความสาเร็จในการใช้โอกาสนี้รวมสองสามประเทศใกล้ ๆ เข้าด้วยกันและสร้างพันธมิตรข้ามทวีป ประเทศนี้ในตอนนี้มีชายฝั่งเหยียดยาวไปกว่าหมื่นไมล์ เพราะว่าผู้คนในประเทศที่เป็นปึกแผ่นเหล่านี้ล้วนคล้ายกันและยังผูกพันแน่นหนา วัฒนธรรมของพวกเขาประสานเข้าด้วยกันอย่างราบรื่นและเมื่อรวมพลังกันก็นับได้ว่ายิ่งใหญ่ หลังจากสงคราม ประเทศเหล่านี้ก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศมหาอานาจที่มีอิทธิพลบนโลกนี้
อืม อาณาจักรนี้นั้นมีเพียงสามทวีปเท่านั้น แบ่งออกเป็นตะวันออก กลาง และตะวันตก ผู้คนที่ทวีปตะวันตกนั้นมีผิวขาว ผมสีอ่อนและดวงตาสีเขียว ผู้คนที่ทวีปตะวันออกนั้นเป็นเลือดผสม ขณะที่ผู้คนที่ทวีปกลางนั้นเป็นคนผิวเหลือง
ฟางหยวนตอนนี้นั้นอยู่ในศูนย์เลี้ยงเด็กกาพร้าในประเทศจีน
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นปีที่ 999 เพียงแค่ห้าปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ดังนั้น เด็กมากมายล้วนกลายเป็นกาพร้าและได้รับการเลี้ยงดูโดยประเทศ ร่างที่เขาเข้ามาครอบครองอยู่นั้นก็เป็นหนึ่งในเด็กโชคร้ายเหล่านั้น
“โชคดี… ข้ายังคงมีชื่อว่าฟางหยวน ข้าไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนชื่อตัวเอง!”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก หลับตาลงแล้วตั้งสมาธิ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็เผยสีหน้าจนใจออกมา “มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ! อาณาจักรนี้นั้นไม่ต้อนรับพลังเหนือธรรมชาติ! กฏแห่งความจริงเข้มงวดเกินไป”
แค่เมื่อครู่นี้ เขาได้พยายามตรวจหาพลังธาตุธรรมชาติ แต่ว่า เขากลับไม่ได้อะไรเลย ราวกับอาณาจักรนี้เป็นทะเลทรายไร้แล้วซึ่งพลังธรรมชาติ
ฟางหยวนรู้ว่าแห่งพลังของอาณาจักรนี้นั้นล้นเหลือและนี่ก็ยังไม่ใช่จุดจบ คาอธิบายเดียวก็คือระบบของเขานั้นไม่เข้ากันกับโลกนี้
“ฝึกตนด้วยเคล็ดวิชาอื่นจะยากเพียงใดกันนะ? ตอนนี้ลืมความคิดนั้นไปก่อน… ในด้านวิทยายุทธ์ ทันทีที่มันมีพลังธาตุเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ย่อมใช้การไม่ได้ ข้าทาได้เพียงใช้วิทยายุทธ์ขั้นพื้นฐานที่สุดเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายของข้า”
เขาส่ายหน้าและคารามออกมา “หน้าต่างสถานะ!”
จากนั้นหน้าต่างก็ปรากฏขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะอ่านได้ยาก แต่ฟางหยวนก็ยังอ่านออกได้โดยคร่าว
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 0.5
พลังลมปราณ: 0.1
พลังเวทย์: 0.9
สายวิชา: ???
การฝึกตน: ???
วิทยายุทธ์: ???
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิงสีทอง (ระดับ 1)]”
“ทุกอย่างถูกเอาออกไปจนหมดจริง ๆ ด้วย! นี่ยังน่ากลัวกว่าอาณาจักรวารีเสียอีก!”
ฟางหยวนนั้นรู้ล่างหน้าแล้วว่าถึงแม้เขาจะมีความสามารถพิเศษค่าสถานะถาวร มันก็ยังยากมากที่เขาจะฟื้นฟูการฝึกตนของเขาในอาณาจักรนี้
“แต่ว่า มันก็น่าประหลาดใจที่ทักษะของข้ายังคงอยู่! บางที… ในระยะยาว ข้าอาจจะต้องพึ่งพาทักษะเหล่านี้ของข้า”
ด้วยความสามารถของค่าสถานะถาวร ฟางหยวนสามารถวางใจได้ว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับสูงสุดของการฝึกตนของเขาได้หลังจากข้ามฝันมา
นี่ก็คล้ายกับขวดน้า ไม่ว่าเขาจะอยู่ในอาณาจักรไหน ขวดน้าก็ยังคงมีปริมาตรเท่าเดิมและไม่ลดลงไป
แต่ว่า การมีค่าสถานะถาวรก็เป็นเรื่องหนึ่ง และระดับการฝึกตนจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงต้องเติมขวดน้าด้วยน้า
ในสามอาณาจักรก่อนหน้านี้ มีพลังธาตุธรรมชาติให้ฟางหยวนใช้เติมขวดได้โดยง่าย
แต่ว่าในอาณาจักรนี้ แทบจะไม่มีพลังธาตุเลย น่าจะมีพลังในรูปแบบอื่นแต่ว่ามันก็คงไม่สามารถดูดซับได้โดยง่าย ดังนั้น มันน่าจะยากเย็นยิ่งนักที่จะฟื้นฟูการฝึกตนของเขาให้ถึงระดับสูงสุด
“ในเมื่อนี่มันยากสาหรับข้า เช่นนั้นจะไม่ยิ่งยากกว่าสาหรับผู้อาวุโสจี๋อินหรือ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดนางจึงยอมปล่อยมือจากอาณาจักรนี้… ด้วยความยากระดับนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย…”
ฟางหยวนลุกขึ้นยืน มองไปที่บ่อน้า ตรวจดูเงาสะท้อนของตัวเองแล้วหัวเราะ
ในเงาสะท้อน มีเด็กชายอายุราวสิบสองปีคนหนึ่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ผิวสีเหลือง เขาผอมและดูขาดสารอาหาร
เด็กชายผู้นี้คงจะเสียชีวิตได้เลยเพียงแค่ล้มป่วยเข้า!
“นี่ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ยากเย็น… เรื่องดีเดียวเกี่ยวกับที่นี่ก็คือการไหลของเวลาที่นี่เร็วกว่าเดิมและข้าก็มีเวลาราว ๆ ห้าสิบปีในการสารวจอาณาจักรนี้…”
ฟางหยวนลูบท้องที่ร้องโครกคราวขณะคิดถึงบางอย่างได้ จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปที่โรงอาหาร
นี่เป็นช่วงพักกลางวันของเขา หากเขาไม่ไปรับอาหารตอนนี้ เขาก็จะต้องทนหิวแล้ว
ตอนที่เขาวิ่งไปที่โรงอาหาร เขาก็พบแถวของเด็กชายและเด็กหญิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ ชามกระเบื้องใบใหญ่วางเอาไว้เบื้องหน้าพวกเขา
“ฟางหยวน ทาไมเธอถึงมาช้า?”
หญิงชราผู้หนึ่งสวมแว่นตากรอบดามีท่าทางไม่พอใจ
เห็นได้ชัดเจนว่านางกาลังโมโห
“ผม… ผมปวดท้อง!”
ฟางหยวนคิดข้ออ้างขึ้นมา
“รายงานค่ะ!”
ในตอนนี้เอง เด็กหญิงผมเปียสวมกระโปรงสีชมพูคนหนึ่งยกมือขึ้น เธอตะโกนออกมาเสียงดังฟังชัด “รายงานคุณครูค่ะ! หนูเห็นฟางหยวนนอนขี้เกียจอยู่ที่สนามไม่ทางานค่ะ!”
“อืม เว่ยเสี่ยวหง ดีมาก!”
หญิงชราแผ่กลิ่นอายร้ายกาจออกมา “ฟางหยวน หลังมื้อกลางวันไปพบฉันที่ห้องทางาน รายงานพฤติกรรมของเธอ! ตอนนี้ไปนั่งได้แล้ว”
“ครับ!”
ฟางหยวนหาที่นั่งอย่างลาบากขณะจ้องไปที่เด็กหญิงคนนั้น เขาเกลียดคนที่หักหลังเพื่อนตัวเอง
“หึ!”
เด็กหญิงดูไม่กลัวขณะจ้องกลับอย่างเย่อหยิ่งสีหน้าภูมิใจ
ฟางหยวนพูดไม่ออกแล้วไม่สนใจเรื่องนี้ต่อ
ที่สาคัญไปกว่านั้น พ่อครัวของโรงอาหารมาถึงแล้วแล้วเทข้าวต้มให้พวกเขา
มันเป็นข้าวต้มจริง ๆ และน้าแกงยังใสถึงขนาดที่ฟางหยวนมองเห็นก้นชามได้ด้วยซ้า
เขาเกาหัวขณะนึกบางอย่างได้
ตั้งแต่ประเทศจีนประกาศอิสระภาพ ต้องมีการจัดการในหลายด้าน เมื่อเกิดภัยแล้งขึ้น ทรัพยากรจึงขาดแคลนและดังนั้นการปันส่วนอาหารของประชาชนจึงจากัดขึ้น
กระทั่งบนถนน ผู้ใหญ่คนหนึ่งยังได้รับข้าวเพียงไม่กี่ช้อนต่อวัน ดังนั้น เด็กกาพร้าอย่างพวกเขาจึงไม่สามารถคาดหวังอันใดได้นัก
นับว่าโชคดีพอแล้วที่เด็กกาพร้าเหล่านี้ยังไม่อดตาย
“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้!”
ฟางหยวนกินข้าวต้มทั้งหมดลงไปอย่างรวดเร็วแต่ความหิวโหยของเขาก็ไม่ได้ถูกเติมเต็ม กลับกัน มันทาให้เขาหิวมากขึ้นแทน
“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ หากข้ายังหิวโหยอยู่เช่นนี้ทุกวันแล้วข้าจะยังทาอันใดได้?”
ฟางหยวนคิดกับตัวเอง
“หลังมื้อกลางวัน พวกเธอทุกคนจะมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็กลับไปเข้าชั้นเรียนของพวกเธอ!”
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกาพร้าที่นี่นั้นใหญ่และยังมีเด็กกาพร้าอยู่ที่นี่กว่าหนึ่งพันคน พวกเขาถูกแบ่งออกตามอายุและเพศและยังมีหน้าที่ประจาในแต่ละวัน
ครูผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเจ้าระเบียบแตะแว่นตาของเธอ “แล้วก็… พวกเราจะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายวันพรุ่งนี้ ทุกคนต้องเข้าร่วม ห้ามไม่ให้ใครขาด! นี่เป็นงานที่ทางจังหวัดสั่งมา!”
ครูคนนั้นจ้องพวกเด็กตัวปัญหาหลายคนนั้นผ่านแว่นเป็นการเตือน
ฟางหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ทาไมพวกเราต้องทดสอบร่างกายด้วย? ไม่ใช่ว่าพวกเราทาไปแล้วเหรอปีนี้?”
เด็กกาพร้าที่ข้างเขาคนหนึ่งถามขึ้น
“อืม นั่นสิ!”
เกาเจียนจวินเสริม
ฟางหยวนตัวสั่นเมื่อเข้าใจบางอย่างได้ขึ้นมา “ใช่แล้ว พวกเราทดสอบของปีนี้ไปแล้วและมันดูไม่ปกติแล้ว… หรือว่ามันจะเกี่ยวกับพลังลึกลับที่ผู้อาวุโสจี๋อินพูดถึง?”