393: ตรวจสอบ
“ส่วนประกอบของร่างกายมนุษย์ในโลกนี้ต่างไปจากโลกอื่นจริง ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…”
ขณะที่ฟางหยวนใช้วิชาฝังเข็ม เขาก็พึมพากับตัวเอง
ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียระดับการฝึกตนทั้งหมดไป เขาก็ยังคงมีประสบการณ์จากโลกอื่น ร่วมกับทักษะการรักษาของเขา เขาจึงยังอยู่ในอาณาจักรนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่ว่า ก่อนที่เขาจะทาอันใดลงไป เขาก็ได้ตระหนักถึงความเป็นปฏิปักษ์ของอาณาจักรนี้
ถึงแม้ว่าวิชาฝังเข็มของเขาจะดี แต่ว่าจุดชีพจรของร่างกายกลับต่างกันออกไปทาให้ทักษะของเขาใช้การไม่ได้!
ดังนั้น ในช่วงหลายปีมานี้ เขาจึงได้แต่หาคนมาฝึกฝนในช่วงที่มีเวลาว่าง ในที่สุด เขาก็ได้พัฒนาทักษะของตัวเองและเรียนรู้ตาแหน่งที่แตกต่างกันไปของจุดชีพจรของร่างกายมนุษย์ในอาณาจักรนี้ และในกระบวนการนี้ ยังได้ทาความเข้าใจอาณาจักรนี้
เจ้าต้าหนิว เจ้าหนูตะเภาผู้โชคร้าย มีหลายครั้งมากที่เขาต้องเป็นอัมพาตไปครึ่งค่อนวัน ทาให้เขากลัวเข็มขึ้นมาทันทีที่เห็น
แน่นอนว่า เขาไม่ได้เสียสละร่างกายของตัวเองโดยไม่ได้อันใดตอบแทน
อย่างน้อยที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของฟางหยวน เขาก็รู้วิธีการควบคุมแรงของตนและดังนั้น จึงไม่มีใครตระหนักได้ว่าเขาค่อนข้างพิเศษ
“ในที่สุดข้าก็ฟื้นฟูทักษะพิเศษของข้าได้! แต่ว่า ข้าดูแลเขามาสามปีเต็มกว่าจะทาความเข้าใจด้านการแพทย์ในอาณาจักนี้ได้ เฮ่ย… ในฐานะผู้ข้ามฝัน ข้าล้มเหลวเสียจริง…”
ฟางหยวนแอบทาบางอย่างเพื่อให้เจ้าต้าหนิวหลับ
จากนั้นเขาจึงหลับตาลง ใช้เข็มและจิตวิญญาณ ในที่สุดก็สามารถตรวจจับร่องรอยของการดูดซับพลังของเจ้าต้าหนิวได้
ร่องรอยเหล่านี้นั้นเบาบางมาก กระทั่งด้วยเจตจานงเวทย์ของฟางหยวนตอนนี้เขาก็ยังพบว่ามันยากมากที่จะตรวจเจอและเขาก็ทาได้เพียงใช้ร่างสถิตของเขาพยายามสัมผัสถึงมัน
แต่ว่า ตราบใดที่มีร่องรอยอยู่ มันก็คล้ายกับการพบแหล่งน้ากลางทะเลทรายและย่อมนับเป็นข่าวดี
“ถึงแม้ว่าโลกนี้จะเหมือนทะเลทรายแล้งซึ่งแหล่งพลัง แต่ก็ยังพอมีหยดน้า… ถึงแม้ว่าจะหายากมาก จากวิถีการเติบโตของเจ้าต้าหนิว ข้าสามารถยืนยันการมีอยู่ของมันได้และความจริงที่มันแข็งแกร่งขึ้นทีละน้อย… อาจจะพูดได้ว่าตอนนี้มันยังอ่อนแอมากทีเดียว”
ในเมื่อไม่รู้จักมัน ฟางหยวนจึงเรียกแหล่งพลังนี้ว่า ‘หยาดพลัง’!
นี่น่าจะเป็นพลังลึกลับที่ผู้อาวุโสจี๋อินพูดถึง
แต่ว่า ตามที่ฟางหยวนได้เรียนรู้มา หยาดพลังนี้มีจากัด
อาวุธในอาณาจักรนี้นั้นมีการพัฒนาไปไกล ถึงแม้ว่าเจ้าต้าหนิวจะมีร่างกายแข็งแกร่งซึ่งได้รับการส่งเสริมโดยฟางหยวน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปืนกล เขาย่อมตายแน่นอน
ต่อให้เป็นผู้ที่มีวิทยายุทธ์ก็ยังต้องกลัวมีด หลังจากฝึกเป็นสิบปีก็ยังตายตกลงภายใต้กระสุนปืนนัดเดียวได้!
นี่คือความจริงของอาณาจักรนี้!
“ถึงอย่างนั้นก็เถิด หากข้าทาเกราะให้เขาและเพิ่มอาวุธให้ หลังจากฝึกซ้อมสักระยะ มันก็จะต่างออกไปแล้ว… อย่างน้อยที่สุดยามรักษาการทั่วไปย่อมไม่สามารถจัดการกับเขาได้…”
มือของฟางหยวนขยับรวดเร็วขณะที่เข็มพุ่งไปมา เพียงแค่ครู่เดียว ทั้งร่างของเจ้าต้าหนิวก็เต็มไปด้วยเข็มมากมาย
หากเจ้าต้าหนิวตื่นขึ้นมาตอนนี้ เขาก็คงได้พบว่าตัวเองกลายเป็น ‘มนุษย์เม่น’ ไปแล้วและคงได้ลงไม้ลงมือกับฟางหยวน– แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสู้ชนะฟางหยวนได้หรอกนะ
“ในที่สุดข้าก็ทาได้สาเร็จหลังจากผ่านมานานเพียงนี้และยังค้นพบวิธีการที่รวดเร็วขึ้นในการดูดซับหยาดพลัง!”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกาย
บนร่างของเจ้าต้าหนิว เขาได้ลองทาทุกอย่างที่สามารถทาได้แล้ว เขาไม่เพียงช่วยให้เจ้าต้าหนิวสามารถควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เขายังผลักดันเจ้าต้าหนิวให้สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้อย่างเด็ดขาดด้วย
หลังจากการล้มเหลวหลายครั้ง ดูเหมือนว่าในที่สุดก็ได้ผลแล้ว
พูดกันตามตรง ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะคิดค้นเคล็ดการฝังเข็มนี้ขึ้นมานานปีแล้ว เขาก็ยังคงไม่แน่ใจในผลการใช้งานอยู่ดี
จนถึงตอนนี้ ที่ทุกอย่างกระจ่างแล้ว
“อืม… หากไม่มีความช่วยเหลือจากข้า ความแข็งแกร่งของเจ้าต้าหนิวก็จะเทียบได้กับผู้ใหญ่สองคนเท่านั้น ถึงแม้ว่าข้าจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้ครึ่งส่วน แต่ว่ามันก็ยังมากกว่าที่เขาเคยเป็น ข้าสงสัยนักว่าข้าจะสามารถใช้เคล็ดวิชานี้กับมนุษย์ธรรมดาคนอื่นได้หรือไม่”
ฟางหยวนเก็บเข็มของเขาลงไป เขารู้ว่าเจ้าต้าหนิวจะตื่นขึ้นมาเองในอีกไม่กี่ชั่วยาม และดังนั้นจึงพาตัวเองออกไปอาบแสงจันทร์
“ถ้าใจบอกว่าที่นี่เป็นบ้าน มันก็เป็นบ้าน… น่าเสียดาย ตอนนี้ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด!”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งพับขาและแหงนหน้าขึ้นฟ้า
เขาดึงเข็มเงินของตัวเองออกมา แล้วเริ่มปักเข็มไปตามจุดชีพจรของตัวเอง เมื่อมีพลังจากภายนอกชักนา เขาก็เริ่มบังคับให้ร่างกายของตนเองตอบสนองต่อหยาดพลังที่อยู่ในอากาศ
“เป็นเรื่องดีที่ข้ามีประสบการณ์การฝึกตนจากอาณาจักรอื่น นี่หมายความว่าอย่างน้อยข้าก็สามารถบรรลุระดับต้นได้!”
ฟางหยวนรู้เรื่องหนึ่งกระจ่าง
ตามวิธีการฝึกตนของเหล่าผู้ฝึกตนอมตะ เจ้าต้าหนิวนั้นมีร่างกายที่ดีอยู่ตั้งแต่แรกซึ่งสามารถดูดซับหยาดพลังได้ด้วยตนเอง แต่ว่า ฟางหยวนนั้นเข้ามาสถิตร่างธรรมดาและย่อมเป็นการยากสาหรับเขาที่จะบรรลุระดับเพื่อเริ่มต้นดูดซับหยางพลังได้
แต่ว่า ด้วยจิตใจอันแข็งแกร่งของเขา เขาก็กัดฟันและฝังเข็มอีกเล่มลงที่จุดชีพจรไป่ฮุยของตัวเอง
ภายในไม่กี่วินาที เลือดก็เริ่มมารวมกันอยู่ที่หน้าผากของเขา เกิดเป็นสีแดงระเรื่อที่ตรงนั้น
“ฮู่… ข้ารู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกเผา!”
ฟางหยวนใช้ทักษะการรักษาของตัวเองปล่อยให้เลือดมารวมกัน เขาเพ่งสมาธิ ฝืนเพิ่มระดับพลังกายและพลังลมปราณของตัวเอง หากเขาล้มเหลว เขาก็จะกลายเป็นคนพิการแล้ว!
ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ทุกนาทีราวกับนิรันดร์ หลังจากผ่านไปเป็นนาน ในที่สุด…
“ฉัวะ!”
ฟางหยวนได้ยินเสียงลั่นดังมาจากที่หน้าผากของตัวเอง
“ฮ่าฮ่า…”
ถึงแม้ว่าจานวนของหยาดพลังจะเล็กน้อยมาก แต่ฟางหยวนก็ยังยิ้มออก “ในที่สุด… ก็ทาสาเร็จแล้ว!”
ด้วยความก้าวหน้าก้าวนี้ ฟางหยวนก็เข้าสู่โลกของการฝึกตนในอาณาจักรนี้อย่างเป็นทางการ ถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ห่างไกลจากพวกที่มีร่างกายอันเหมาะสมเหล่านั้น แต่ต่อไปในอนาคตเขาก็ยังสามารถไล่ตามทันได้ด้วยการฝึกตนของเขา
เส้นทางสู่การเป็นยอดมนุษย์ของเขาเริ่มต้นขึ้นที่นี่แล้ว!
…
“นี่คือ… สัมผัสแห่งพลัง!”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก เมื่อเขาเพ่งสมาธิมองเข้าไปร่างกายของตนเอง เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสพลังอันอบอุ่นที่ไหลเวียนอยู่
พลังนี้ เทียบได้กับพลังธาตุของต้าเฉียน แต่มีขนาดเพียงเท่าหิ่งห้อยและดูไร้ความสาคัญ
แต่ว่า ในโลกนี้ ที่ร่างกายถูกควบคุมโดยกฏแห่งความจริง มันก็ยากมากพอแล้วที่จะฝึกฝนพลังนี้
“ในเมื่อข้าเริ่มต้นเส้นทางของการฝึกตนแล้ว ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในค่าสถานะของข้า!”
ฟางหยวนมองหน้าต่างสถานะอย่างเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 0.8
พลังลมปราณ: 0.2
พลังเวทย์: 1.0
สายวิชา: ???
การฝึกตน: ???
วิทยายุทธ์: [คาถาฝึกพลังธาตุ (ระดับ 1 (1 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิงสีทอง (ระดับ 1)]”
“คาถาฝึกพลังธาตุ– ใช้ทักษะชี้นาเป็นพื้นฐาน ร่วมกับเคล็ดฝึกลมปราณและการฝังเข็ม เจ้าจะสามารถเปลี่ยนร่างกายของเจ้าได้และเพิ่มอัตราการดูดซับหยาดพลัง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1!”
เป็นคาอธิบายที่ธรรมดาและทั่วไปมาก
อันที่จริง กระทั่งชื่อ ‘หยาดพลัง’ ยังเป็นฟางหยวนตั้งขึ้นเองด้วยซ้า
โดยพื้นฐานแล้ว มันหมายความว่าฟางหยวนสามารถใช้วิธีการอันซับซ้อนบางอย่างเพื่อชดเชยจุดอ่อนของตนด้วยการดูดซับพลังจากหยาดพลัง หลังจากผ่านระยะแรกไปได้ เขาก็จะสามารถฝึกวิชาบางอย่างได้
“ในตอนนี้ ระดับหนึ่งก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แล้ว อย่างไรข้าก็สามารถฟื้นฟูทักษะการรักษาของข้าได้กว่าครึ่งแล้วถูกต้องหรือไม่?”
ฟางหยวนคิดกับตัวเองก่อนที่จะปลุกเจ้าต้าหนิวขึ้นมา
“อ๋า…”
เจ้าต้าหนิวพยุงตนเองขึ้นมา เหงื่อชุ่มตัวไปหมด “ฉันฝันร้าย ฝันร้ายว่าฉันอยู่ในห้องทดลองแล้วก็มีเข็มมากมายแทงเข้ามาในตัวฉัน!”
“นายหลอนไปเองแล้ว! ฝันเฟื่อง!”
ฟางหยวนไม่กระทั่งกะพริบตา “แล้ว… ทาไมนายถึงยังกังวลว่าผู้อื่นจะรู้ว่านายมีความสามารถพิเศษอยู่อีก? ไม่ใช่ว่าฉันก็รู้อยู่ก่อนแล้วเหรอ? ต่อให้นายถูกรัฐบาลพาตัวไป นายก็ไม่เป็นไรเสียหน่อย ดูอย่างหลิงเฟย ดูชีวิตหรูหราของเขาสิ!”
เมื่อยกเด็กกาพร้าผู้นั้นมาเป็นตัวอย่าง ในหนึ่งพันคน มีแค่พวกเขาสองคนที่ปลุกความสามารถพิเศษของตัวเองขึ้นมาได้ มันเป็นโอกาสเพียงหนึ่งในห้าร้อยเท่านั้น! นี่หมายความว่าอะไร?
มันอาจจะเป็นการประเมินสูงเกินไปและความเป็นไปได้แท้จริงอาจจะแค่หนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่นเท่านั้น… ดูจากจานวนประชากรของประเทศจีนแล้ว ผลลัพธ์ก็ยังเป็นจานวนผู้กลายพันธุ์มากมายอย่างน่าหวาดกลัว
พวกกลายพันธุ์เหล่านี้นั้นคือรากฐานของสังคม แต่ว่า ไม่มีใครอยากลองเสี่ยงรับมือกับพวกเขานอกเสียจากว่าจะรู้สึกว่าพลังนี้อยู่เหนือการควบคุม
ดังนั้น ฟางหยวนจึงคาดเดาว่าต่อไปในอนาคต มันต้องมีใครสักคนพยายามสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และจัดการกับพวกที่คิดจะสร้างปัญหา
ถึงแม้ว่าจะมีการทดลองกับคนเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น แต่ว่ามันก็ไม่ได้ทาให้พวกเขาสูญเสียอิสรภาพเหมือนการนาพวกเขาเข้าไปอยู่ในห้องทดลองโดยตรง
คนพวกนี้จะมีความสามารถพิเศษแบบไหนกันบ้างนะ?
พวกเขาจะวิ่งได้เร็วขึ้น? ยกน้าหนักได้มากขึ้น? ถึงแม้ว่ามันยากที่จะเชื่อได้เพราะคนธรรมดาจะไปเข้าใจขีดจากัดของร่างกายมนุษย์ได้อย่างไร? แต่พวกเขาก็จะถูกโน้มน้าวด้วยคาอธิบายง่าย ๆ ที่นักวิทยาศาสตร์จะปรุงแต่งขึ้นมา
ดูจากแนวโน้มของโลกแล้ว ฟางหยวนก็สามารถเดาได้คร่าว ๆ ว่าเหล่าคนที่มีพลังจะถูกจัดการอย่างไร
“ในยุคใหม่นี้ มนุษย์มีการวิวัฒนาการ… เป็นสถานการณ์ในอุดมคติ! ตราบใดที่เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ยังคงอยู่และอยู่ในแบบทุกวันนี้และไม่มีการกลายพันธุ์แบบใดโดดเด่นขึ้นมา… พวกเขาย่อมจะแทรกซึมอยู่กับคนธรรมดาได้โดยไม่ถูกตรวจเจอและดังนั้น ปลดปล่อยศักยภาพของร่างกายออกมา”
ท่าทางตกใจของเจ้าต้าหนิวนั้นเป็นเพียงตัวอย่างและไม่สามารถนับรวมเข้ามาเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบของฟางหยวนต่อตัวเขาได้
“แต่ว่า…”
พอถึงตอนนี้ ฟางหยวนก็ยิ้ม “การกลายพันธุ์… หรือฉันควรจะเรียกว่าวิวัฒนาการ… จะหยุดอยู่ตรงนี้หรือ?”
ตามทฤษฎีของฟางหยวนแล้ว ถึงแม้ว่าหยาดพลังในอาณาจักรนี้จะขาดแคลนเป็นอย่างมาก แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีแนวโน้มจะไปในทางที่หยาดพลังจะเข้มข้นมากขึ้น
…
บนเขาไม่ไกลจากเมืองชานไห่
ในป่าลึกที่เชิงเขา มีตึกรามสร้างอยู่ในบริเวณนี้หนาแน่นเหมือนเป็นฐานทัพสักแห่ง
ในห้องทางานแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีขาวเปล่งรัศมีของนายทหารระดับสูงออกมา เขาอ่านรายงานอย่างละเอียด “… สรุปแล้ว ข้าเชื่อว่า เหล่า ‘ผู้กลายพันธุ์’ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมมากนัก ดังนั้น การลงมือของพวกเราจึงไม่จาเป็นต้องรุนแรงเกินไป และพวกเราก็แค่ต้องจับตามองให้มากเท่าที่จะทาได้”
“การเปลี่ยนแปลงของยีนของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้… ตัวอย่างเช่น แม่มดไร้พ่ายในช่วงสงครามนั่น…”
ชายชราขยับแว่น
ชายวัยกลางคนนิ่งไป
บันทึกเกี่ยวกับแม่มดผู้นั้นเป็นความลับสูงสุดในทุกประเทศ มีเพียงผู้มีอานาจที่จะสามารถเข้าถึงบันทึกเหล่านั้นได้
“นี่เป็นจุดสาคัญของการสอบสวนของพวกเรา… นอกจากนี้ ผมยังไม่สามารถยืนยันได้ถึงความคงตัวของผู้กลายพันธุ์เหล่านี้เพราะว่าการศึกษาพวกเขาหนึ่งร้อยคนมานานสามปี มันดูเหมือนพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ…”
ผู้ตรวจสอบวัยกลางคนเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ดังนั้น ผมหวังว่าแผนการนี้จะได้รับการรับรอง!”
เขาก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่งแล้ววางเอกสารลงบนโต๊ะอย่างระมีดระวัง
ภายใต้แสงไฟบนโต๊ะ อักษรตัวใหญ่ดูราวกับเปล่งประกายออกมาได้ ให้ความรู้สึกลึกลับ