394: เหล่าผู้มีพรสวรรค์
หลังจากการสอบเลื่อนชั้น เพื่อนร่วมชั้นเดียวกันกับฟางหยวนล้วนได้รับอนุญาตให้ทาอะไรก็ได้ตามความชอบ
พวกที่มักจะได้ผลสอบดี ๆ นั้นก็ทบทวนด้วยตัวเอง ไล่ตามจุดมุ่งหมายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต
ส่วนใหญ่ที่มีผลสอบกลาง ๆ พวกเขาก็ยังคงกังวลและพยายามสร้างมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกเพื่อให้สามารถหางานหรือว่าดารงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง
สุดท้าย พวกที่มีผลการสอบเลวร้ายอยู่เป็นประจาล้วนแล้วแต่ยอมแพ้ และพร้อมที่จะเข้าสู่สังคมในสภาพใดก็ได้ที่เป็นอยู่ทันทีที่ได้รับผลสอบกลับมา
ในช่วงความวุ่นวายเหล่านี้ ฟางหยวนยังคงสงบนิ่งอยู่
นอกจากฝึกฝนตนเองอยู่ทุกวันแล้ว เขาก็อ่านหนังสือประวัติศาสตร์
ถึงตอนนี้ เขาอ่านนิยายแฟนตาซีกาลังภายใน ที่ตัวเอกต้องต่อสู้กับเหล่าผีและปิศาจ
ในประวัติศาสตร์ของประเทศจีน มีเรื่องราวของนักพรต นักดาบ และนักเวทย์ พวกเขาล้วนเก่งกาจและมีนิสัยประหลาด
แต่ว่า พวกเขากลับหายไปจากดาวโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม ‘จุดจบ’
“อืม… ดูเหมือนว่าจะมีร่องรอยของหยาดพลังอยู่ตั้งแต่ยุคก่อนหน้า แต่ว่า มันอ่อนแอลง และตอนนี้ มันก็กาลังจะกลับมา… นี่เป็นวัฏจักรตายตัวในอาณาจักรนี้ใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนเคาะหน้าผากตัวเองด้วยฝ่ามือ “ดูจากเรื่องราวแล้ว… มันก็ค่อนข้างชัดเจนว่าทุกประเทศล้วนมีมรดกลึกลับของตัวเอง จากที่นั่น ข้าน่าจะสามารถค้นหาร่องรอยของพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้…”
โชคร้าย มันไม่ได้มีไว้เพื่อเขา
ร่างกายที่ฟางหยวนครอบครองอยู่นั้นเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง ต่อให้เขาสามารถค้นหาตาราลับในการฝึกตนได้ เขาก็ยังคงไม่สามารถฝึกฝนอันใดได้
ตรงกันข้าม เจ้าต้าหนิวนั้นเป็นตัวอย่างอันดีของผู้ที่มีศักยภาพในการฝึกตน ถ้าเขาได้ฝึก เขาน่าจะสามารถฝึกทักษะพิเศษได้
“คาถาฝึกพลังธาตุของข้านั้นมีไว้เพื่อการนี้…”
ฟางหยวนคิดกับตัวเองเงียบ ๆ ‘หลังจากบรรลุระดับ 1 ร่างกายของข้าก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้กลายพันธุ์เหล่านั้นและข้าก็นับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง จากนั้นข้าก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากหยาดพลังได้และอาจจะเปลี่ยนแปลงร่างกายของข้าได้ หลังจากนั้นข้าก็จะเริ่มต้นค้นหาเคล็ดวิชาลับในการฝึกตนในอาณาจักรนี้และรีบพัฒนาตัวเอง…’
คาถาฝึกพลังธาตุของเขานั้นเป็นพื้นฐานที่จะเปลี่ยนศักยภาพของกายเนื้อของเขา ฟางหยวนนั้นให้ความสาคัญกับเคล็ดวิชานี้ที่สามารถควบคุมพลังของหยาดพลังได้โดยใช้เคล็ดวิชาการฝึกตนของอาณาจักรนี้
เพียงแค่สองอย่างนี้ฟางหยวนก็จะสามารถบรรลุและเพิ่มระดับการฝึกตนของตัวเองได้แล้ว
“ฟางหยวน!”
ในตอนนี้เอง เว่ยเสี่ยวหงก็เดินเข้ามาหาเขา
“มีอะไร?”
ฟางหยวนวางหนังสือประวัติศาสตร์ลงข้างตัวแล้วถามกลับ
“ครูจางตามหานายอยู่!”
เว่ยเสี่ยวหงมีสีหน้าไม่ดีนัก จู่ ๆ เธอก็พ่นคาพูดออกมา “ฉันเตรียมตัวจะเป็นฝึกอาชีพเฉพาะทางแล้ว หลังจากนั้นฉันก็จะได้เข้าสู่โลกของการทางานโดยตรง!”
“อ้อ!”
ฟางหยวนตอบกลับอย่างไม่ยินดียินร้ายขณะมองไปที่เด็กสาวตรงหน้าที่มีสีหน้าซับซ้อน “ฟังดูดีนะ! แล้วเธอสนใจด้านไหนล่ะ?”
“อืม… พยาบาลน่ะ!”
เด็กสาวตอบกลับเบา ๆ ซึ่งทาให้ฟางหยวนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ทุกคนรู้ว่าในอนาคตฟางหยวนอยากเป็นหมอ แล้วเว่ยเสี่ยวหงบอกเขาเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน?
ตอนนี้เขาจึงให้ความสนใจกับเธอมากขึ้น ฟางหยวนพบว่าเว่ยเสี่ยวหงนั้นเติบโตเต็มที่แล้ว เธอมีผิวสีน้าตาล ดูกระตือรือร้นและยังเป็นสาวสวยคนหนึ่ง
“นะ… นายมองอะไร?”
เว่ยเสี่ยวหงอายจนจะเป็นลมแล้ว
“ไม่มีอะไร ไปเถอะ!”
ฟางหยวนลุกขึ้นยืน ตรงเข้าไปหาเธอก่อนจะกระซิบเข้าไปในหูเธอ “ฉันขอโทษที่ไม่ได้พูดเรื่องนี้ก่อนหน้านี้… ฉันสนใจในวิชาแพทย์แผนจีนโบราณมากกว่าน่ะ!”
เว่ยเสี่ยวหงอึ้งไป เมื่อพอใจกับเรื่องตลกเล็ก ๆ ของตัวเองแล้ว ฟางหยวนก็เดินไปที่ห้องทางาน
“ครูจาง สวัสดีครับ!”
ฟางหยวนทักทายครูจางอย่างสุภาพก่อนจะพบว่าในห้องยังมีครูคนอื่นอีกสองสามคน
ครูอีกคนหนึ่งสวมเสื้อสีเขียว เขาเป็นชายวัยกลางคนและสวมแว่น ทาให้เขาดูสุภาพและสง่างาม ครูอีกสองคนยืนอยู่ข้างครูจางมีท่าทีนิ่งขรึมและดูจริงจัง ทาให้บรรยากาศโดยรวมตึงเครียด
“อ้ะ ฟางหยวน เข้ามาสิ!”
เห็นนักเรียนตัวอย่างของตนเองแล้ว ครูจางไห่หมานก็ยิ้มกว้าง “อาจารย์เหอ เขาก็คือฟางหยวน!”
ในเวลาเดียวกัน เธอก็แนะนาฟางหยวนกับครูเหอ “นี่คืออาจารย์เหอเทียนหมิงจากเมืองหลวง! เขาเป็นศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดและมีหน้าที่คัดเลือกนักศึกษาจากทั่วประเทศ เขาเป็นหัวหน้าโครงการจัดตั้งชั้นเรียนพิเศษของเด็กผู้มีพรสวรรค์ในมหาวิทยาลัย!”
“สวัสดีครับศาสตราจารย์เหอ!”
ฟางหยวนทักทายเขาอย่างสุภาพและหันไปหาเขาตรง ๆ
“อืม… ผลสอบของเธอไม่เลวเลย แต่ว่า นักเรียนที่ฉันต้องการในชั้นเรียนของฉันต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในหมู่คนที่ฉลาดที่สุด นักเรียนเหล่านี้จะข้ามชั้นเรียนสามระดับแล้วเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยเลย ภาระการเรียนจะหนักมาก!”
ศาสตราจารย์เหอขยับแว่น “ผลสอบของเธอสูงที่สุดในเมืองชานไห่ แต่ว่ามันก็ยังไม่พอ!”
“ต่อให้ผมได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยโดยตรง ก็ยังมีเงื่อนไขต้องผ่านระดับมัธยมปลายอยู่ดี ผมก็เลยเริ่มการศึกษาด้วยตนเอง…”
ฟางหยวนยิ้ม
“โอ้?”
เหอเทียนหมิงตาเป็นประกาย “ตอนนี้เธอศึกษาด้วยตนเองถึงระดับชั้นไหนแล้ว?”
“ผมศึกษาด้วยตนเองครบทั้งสามระดับถัดไปแล้ว คุณลองทดสอบผมได้ทุกเรื่องที่อยู่ในรายชื่อวิชา นอกจากนี้ ผมยังเริ่มต้นเรียนแคลคูลัสและหัวข้ออื่น ๆ ที่มีสอนในมหาวิทยาลัยแล้วด้วย!”
ฟางหยวนพูดอย่างสงบ
เรียนตามปกตินั้นมันช้าเกินไป และบางครั้งก็ต้องลองเสี่ยงดูบ้าง
นอกจากนี้ ทาไมเขาถึงเอาแต่บอกคนอื่น ๆ เป็นประจาว่าต้องการเป็นหมอล่ะ? ก็เพราะว่านี่คือการเตรียมการสาหรับอนาคตให้ตัวเขาเองนั้นได้เข้าร่วมกับรัฐบาลในการทาวิจัยร่างกายของมนุษย์อย่างไรล่ะ!
มันช้าเกินไปสาหรับเขาแล้วที่จะทาการค้นคว้าด้วยตัวเอง มันจะเทียบกับการมีทั้งประเทศช่วยทาการค้นคว้าและวิจัยได้อย่างไร?
ในเมื่อเขาได้เข้ามาในอาณาจักรนี้ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ มันย่อมเป็นการฉลาดกว่าที่เขาจะใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นเดียวกับการสนับสนุนจากประเทศ
มันเป็นตัวเลือกที่ฉลาดในการเข้าร่วมรัฐบาล
“ศึกษาด้วยตนเอง? วิชาเรียนระดับมหาวิทยาลัย?”
จางไห่หมานอึ้งไปแต่ไม่ช้าเธอก็ยิ้มออก “ถึงฉันจะรู้ว่าเธอมีนิสัยชอบอ่านหนังสือที่คนอื่นละเลย ฉันก็ยังตกใจอยู่ดีที่เธอสามารถมาถึงระดับนี้ได้”
“พวกเราต้องพิสูจน์เรื่องนั้นก่อน เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมแบบทดสอบให้เธอเอง!”
เหอเทียนหมิงขยับแว่นแล้วพูดยิ้ม ๆ
คนที่รู้จักเขาย่อมรู้ว่านี่เป็นท่าทีของเขาเมื่อเขาสนใจในบางอย่าง
เพียงไม่นาน ในห้องทางาน ฟางหยวนก็เขียนคาตอบอย่างรวดเร็ว หูของเขากระดิกไปมาและบทสนทนาที่อีกห้องก็ดังเข้าหูของเขา เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ถึงแม้ว่าพวกครูจะอยู่ออกไปไกลและยังมีกาแพงกั้น ฟางหยวนก็ยังได้ยินทั้งหมดนั่น
…
“ผู้อานวยการ คุณคิดว่าอย่างไร?”
ในห้องทางานที่ปิดหน้าต่างเอาไว้ เหอเทียนหมิงถือเอกสารหลายแผ่นเอาไว้ในมือและขมวดคิ้ว “ฟางหยวนคนนี้… ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นตัวปัญหาในศูนย์เลี้ยงเด็กกาพร้า ตอนนี้ จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นขยันขันแข็งและยังได้เป็นนักเรียนยอดเยี่ยม นี่มันดูไม่ปกติ…”
“จากการทดสอบร่างกาย พวกเราพบว่านอกจากสมองของเขาที่พวกเราไม่สามารถทดสอบและประเมินได้โดยตรง ทุกอย่างของเขาก็ปกติดี!”
ฝ่ายบริหารคนหนึ่งที่ติดตามผู้อานวยการมาพลิกเอกสารหลายแผ่นนั้นแล้วแย้งขึ้น
ด้วยการที่ประเทศปกครองเหนือคนของตัวเอง ทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นฟางหยวน รัฐบาลก็สามารถดึงข้อมูลและเอกสารเกี่ยวกับอดีตของฟางหยวนทั้งหมดออกมาได้
“เขาอาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดา หรือว่าอาจจะเป็นผู้กลายพันธ์ุุที่สมองมีการพัฒนาไปอย่างมาก แต่เรื่องพวกนี้จะสาคัญยังไง? สิ่งที่เราต้องการก็คือให้เขาทางานให้ประเทศ! อย่างไรเขาก็ยังต้องผ่านการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและพวกเราก็จะได้รู้เกี่ยวกับตัวเขามากขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า ถ้าเขามีพรสวรรค์จริง ๆ อย่างนั้นพวกเราก็สามารถให้เขาเข้าร่วมรัฐบาล ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ยังให้เขาทางานเป็นนักวิจัยทั่วไปเพื่อสร้างรากฐานแก่ประเทศของเราก็ยังได้!”
ผู้อานวยการโจวตัดสินใจ
“อืม อย่างนั้นก็ค่อยตัดสินใจหลังจากเห็นผลการทดสอบครั้งนี้แล้วกัน!”
เหอเทียนหมิงนั้นพูดประโยคนี้ด้วยความคาดหวังมากขึ้นกว่าเดิม “หลังจากเดินทางมาเป็นสิบเมือง จานวนผู้มีพรสวรรค์นับได้ด้วยแค่นิ้วมือของผม หวังว่าคนนี้จะไม่ทาให้ผมต้องผิดหวัง…”
“ผู้อานวยการโจว ศาสตราจารย์เหอ!”
ครูคนหนึ่งเคาะประตู “ฟางหยวนทาข้อสอบเสร็จแล้วและต้องการส่งคาตอบครับ!”
“อะไรนะ?”
เหอเทียนหมิงส่ายหน้า “เป็นไปได้อย่างไร? ฉันให้เวลาเขาสองชั่วโมงแต่นี่มันเพิ่งผ่านไปแค่สิบนาทีเอง!”
“เขาอาจจะทาข้อสอบไม่ได้และก็เว้นว่างคาถามเอาไว้?”
ผู้อานวยการโจวจับสังเกตท่าทีของเหอเทียนหมิงตอนที่เขาออกข้อสอบและรู้ว่าต่อให้เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถตอบคาถามบางข้อได้
เหอเทียนหมิงหัวเราะ “หลายเมืองก่อน นักเรียนผู้มีพรสวรรค์หลายคนก็เป็นพวกขี้โอ่ พวกเขาก็มักจะเป็นแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ?”
“ไปลองดูก่อน!”
เหอเทียนหมิงถอนหายใจแล้วก็เดินเข้าไปในห้องทางาน
“ศาสตราจารย์เหอ!”
ฟางหยวนส่งกระดาษคาตอบที่เขาเขียนเอาไว้เต็มหน้ากระดาษให้ ตัวอักษรทั้งหมดทั้งเป็นระเบียบและเรียบร้อย และเมื่อเหอเทียนหมิงอ่านดูแล้ว เขาก็พยักหน้า
ต่อให้คาตอบจะไม่ถูก แต่ลายมือเป็นระเบียบก็ทิ้งความประทับใจดี ๆ ให้เหอเทียนหมิงแล้ว
เขาอ่านคาตอบแล้วเริ่มทาสัญลักษณ์ สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไป “ตรรกะของเธอชัดเจนและวิธีการถูกต้อง… คะแนนเต็ม… ฟางหยวน เธอทาทั้งหมดนี่เองเหรอ?”
“ผมเชื่อว่าครูผู้คุมสอบจะเป็นพยานให้ผมได้!”
ฟางหยวนตอบโดยไม่ลังเล
เมื่อผู้ร่วมงานของเขายืนยัน ใบหน้าของเหอเทียนหมิงก็เต็มไปด้วยความยินดี “ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันหมายความว่าเธอเพิ่งอายุสิบห้าเท่านั้นใช่ไหม? เมื่อคิดถึงอายุของเธอแล้ว นี่แทบไม่น่าเชื่อ!”
“ส่วนมากแล้วเป็นเนื้อหาจากในตารา มีเพียงไม่กี่คาถามที่ต้องการให้ผมตีความเพิ่ม แต่ก็แค่นั้นเอง!”
ฟางหยวนสอดมือเข้ากระเป๋า “เป็นไงบ้างครับ? ผมผ่านไหม?”
“ผ่านสิ… ฉันเชื่อว่ามหาวิทยาลัยซีจิงคงจะดีใจที่มีเธอเป็นนักศึกษาผู้มีพรสวรรค์ของพวกเขา!”
เหอเทียนหมิงสบตากับผู้อานวยการโจวและก็ดีใจ “แล้วเธอล่ะ? มีข้อเรียกร้องอะไรหรือเปล่า? พวกเราจะลองพิจารณาดู…”
“ผมอยากเรียนแพทย์ โดยเฉพาะการผสานความรู้โบราณกับการศึกษาในปัจจุบันเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์…”
ฟางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วก็ ผมอยากจะแนะนาเพื่อนของผมให้ได้งานที่เขาอยากได้!”
“การแพทย์?”
เหอเทียนหมิงดึงสมุดโน้ตเล่มหนึ่งออกมาแล้วบันทึกลงไปด้วยปากกาลูกลื่น “แล้วก็ ช่วยหางานให้เพื่อนของเธอ… นั่นไม่มีปัญหา พวกเราตกลง”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมจะไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยซีจิงได้เมื่อไหร่ครับ?”
ฟางหยวนตรงเข้าเรื่อง
“เดือนกันยายนปี 02 นั่นเป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนเปิดเทอมใหม่พอดี! โทรหาพวกเราก่อนที่เธอจะขึ้นรถไฟ พวกเราจะส่งคนมารับเธอที่สถานี ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักกับของใช้ต่าง ๆ!”
ผู้อานวยการโจวในที่สุดก็พูดขึ้นและดูเป็นมิตร
นอกจากนั้น เขายังประทับใจฟางหยวนที่ยังนึกถึงเพื่อนของตัวเอง
ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกสบายใจเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนที่นิสัยดี
“เอาละ ฟางหยวน แล้วพบกันที่มหาวิทยาลัย!”
เหอเทียนหมิงลุกขึ้นยืน จับมือกับฟางหยวนแล้วกลับออกไป
“ยอดเยี่ยม!”
ที่ด้านหลัง ครูจางไห่หมานเข้าไปหาฟางหยวนน้าตาเอ่อคลอตา “มหาวิทยาลัยซีจิ่งเลยนะ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในประเทศจีน ฟางหยวน เธอเป็นความภูมิใจของศูนย์ของพวกเรา! ฉันจะจัดงานฉลองตอนบ่ายนี้ และเธอก็ควรเตรียมสุนทรพจน์สักหน่อย… จะได้เป็นแบบอย่างแก่รุ่นน้องของเธอ!”
ฟางหยวนพูดไม่ออก