Novel-Kawaii - อ่านนิยาย อ่านนิยายออนไลน์ นิยายพากย์ไทย นิยายซับไทย

Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 397

เรื่อง Carefree Path of Dreams - ตอนที่ 397

397: เปิดร้าน
หลังการฝึกทหาร การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
ชีวิตของฟางหยวนในมหาวิทยาลัยซีจิงนั้นเริ่มต้นขึ้นแล้ว
คณะที่ฟางหยวนสังกัดนั้นก็ไม่ได้ประหลาดใจกับการมาของเขา พวกเขาอย่างมากก็สงสัยเรื่องอายุ แต่ก็เท่านั้น
ฟางหยวนนั้นได้ฟังเรื่องเล่ามานานเกี่ยวกับการได้เผชิญหน้ากับเด็กสาวงดงามหรือว่าคนจากตระกูลมั่งคั่ง แต่ว่า เขากลับไม่เจอเรื่องเหล่านี้เลยและก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“พอคิดดูแล้ว… คนพวกนี้ล้วนเป็นพวกที่ฉลาดที่สุดในเมืองของพวกเขาและย่อมต้องแข่งขันกับคนอื่น ๆ ในสถานศึกษา จะไปมัวคิดถึงเรื่องคนอื่นอยู่ได้อย่างไร… ส่วนที่ว่าพวกเขาจะจับกลุ่มกันเป็นก๊กเป็นเหล่า ก็ย่อมไม่มาหาข้า… ข้าอายุน้อยเกินไป…”
ฟางหยวนรู้สึกหดหู่เล้กน้อย ดังนั้นเขาจึงตั้งอกตั้งใจเรียนและยังจดบันทึกเอาไว้มากมาย… เขายังใช้เวลาศึกษาด้วยตนเองไปเข้าชั้นเรียนอื่น ๆ
ศาสตราจารย์เหอนั้นก็มีอิทธิพลมากพอที่จะตั้งชั้นเรียนพิเศษของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมาดังนั้นเขาจึงสามารถจัดเตรียมชั้นเรียนเสริมให้แก่พวกที่มีพื้นฐานไม่แข็งนัก
เพราะว่าฟางหยวนนั้นผ่านการวัดระดับความรู้ตามวิชาเรียนของระดับมัธยมปลายแล้ว ฟางหยวนจึงนับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ต้องเข้าเรียนชั้นเรียนเสริม ทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็กลอกตา
‘อืม… ห้องเรียนคืออย่างนี้นี่เอง… แต่อย่างไรก็น่าเบื่อเกินไปแล้ว…’
“เฮ้! หลินซิง!”
ฟางหยวนนั้นกาลังจะมาทาธุระของตนเองแล้ว เขาเข้าไปนั่งตรงข้ามหลินซิง มองชิ้นส่วนเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่หลินซิงพลิกไปมาอยู่ในมือแล้วฟางหยวนก็ถามขึ้น “นายคิดว่าวิชาประวัติศาสตร์กับภูมิศาสตร์ที่สอนในระดับมัธยมปลายยากไหม? นายต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม?”
ทันทีที่ฟางหยวนพูดถึง ใบหน้าของหลินซิงก็ทะมึนขึ้นทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสามารถหลายด้าน แต่เขาก็นับเป็นตัวอย่างอันดีของผู้ที่มีความฉลาดทางปัญญาสูงแต่ว่าความฉลาดทางอารมณ์ต่า ดังนั้น เขาจึงรับมือกับวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์ได้ไม่ดีนัก ไม่ต้องพูดถึงวิชาด้านวรรณกรรมบริสุทธิ์เลย
“ฮ่าฮ่า…”
เห็นอาการของหลินซิงแล้วฟางหยวนก็อารมณ์ดีขึ้น
มองไปที่ศาสตราจารย์เหอที่สอนอยู่ที่หน้าชั้นเรียน ฟางหยวนก็รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเล็กน้อย
เฮ่ย… เด็กที่มีพรสวรรค์ ถ้าเรียกกันทื่อ ๆ ก็คือเด็กมีปัญหานั่นแหละ มันยากที่เขาจะสามารถเอาเด็กมีปัญหาเหล่านี้มารวมกันแล้วดูแลให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม
“ศาสตราจารย์เหอ!”
“ฟางหยวน! มีอะไรหรือ?”
เหอเทียนหมิงนั้นเริ่มมีผมขาวบ้างแล้ว แต่ว่า เมื่อเขามองมาทางฟางหยวน เขาก็ยังยิ้มออก
เทียบกับเด็กผู้มีพรสวรรค์คนอื่น ๆ ที่เป็นตัวปัญหาแล้ว ฟางหยวนกลับนาปัญหามาให้เขาน้อยที่สุดแล้ว
“ผมรู้สึกว่าเนื้อหาที่ผมได้เรียนอยู่ตอนนี้มันทั่วไปเกินไป ผมอยากจะเข้าเรียนคณะอื่น ๆ อีกหลายคณะเลย… จะดีที่สุดเลยถ้าผมสามารถเข้าใช้ห้องทดลองแล้วเริ่มการทดลองเลย!”
ฟางหยวนบอกความต้องการออกไป
“แค่ก!”
เหอเทียนหมิงที่กาลังดื่มชาเกือบจะพ่นน้าชาออกมา “เนื้อหาที่สอนในมหาวิทยาลัยธรรมดาเกินไป? ที่เธอคิดจะขึ้นเป็นศาสตราจารย์เลยหรือไง?”
“ถ้าเป็นไปได้ละก็นะ…”
ฟางหยวนพยักหน้า
“… ฉันจัดการเรื่องนั้นให้เธอยังไม่ได้หรอกตอนนี้ มันยังเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เธอได้เข้าไปสังเกตการทดลองของศาสตราจารย์คนอื่น ๆ ในห้องทดลอง แต่ว่า ฉันอนุญาตให้เธอเข้าร่วมคณะอื่น ๆ ได้ ฉันยังสามารถมอบบัตรประจาตัวพิเศษซึ่งทาให้เธอยืมหนังสือและทรัพยากรอื่น ๆ จากห้องสมุดได้ โดยที่ไม่มีกาหนดระยะเวลาและจานวนการยืมด้วย!”
หลังจากคิดดูแล้ว เหอเทียนหมิงก็ตอบฟางหยวน
“ดีมากเลย ขอบคุณครับอาจารย์!”
ฟางหยวนรู้ว่าตัวเขาเองนั้นยังไม่มีสิทธิ์เข้าเป็นผู้ช่วยในห้องทดลองและข้อเสนอที่เขาได้รับนี้ก็ดีพอแล้ว เขาโค้งตัวลงขอบคุณ
“เด็กนี่…”
พอเขากลับออกไป เหอเทียนหมิงก็จ้องถ้วยชาของตัวเองก่อนจะดึงแว่นออกมาไอน้าออกด้วยผ้าเช็ดหน้า
ท่ามกลางเหล่าเด็กผู้มีพรสวรรค์ ฟางหยวนนั้นฉลาดที่สุดและยังเป็นคนที่เขาต้องเป็นห่วงน้อยที่สุดแล้ว
นอกจากนี้ พวกเขายังได้ทาการทดสอบทางกายหลายอย่างทันทีที่พวกเขาเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่พบอะไรเป็นพิเศษ
นี่น่าจะเป็นเพราะสมองของเขาถูกเร่งการพัฒนา ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้เป็นปกติของพวกนักวิทยาศาสตร์

หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ฟางหยวนก็ไม่สนใจจะไปเข้าชั้นเรียนระดับมัธยมปลายกับเหล่าเด็กพวกนั้นและออกจากห้องมา
สายลมสดชื่นแฝงความเย็นเอาไว้ พระอาทิตย์ขึ้นแล้วแต่ก็ยังมีหมอกบาง ๆ และยังให้ความรู้สึกสงบ
ที่ริมทะเลสาบในเขตมหาวิทยาลัย มีหลายคนกาลังฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกายและเดินไปมา ส่วนใหญ่แล้วเป็นเด็กนักศึกษาแต่ก็มีศาสตราจารย์ผมขาวโพลนหรือกระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ นี่ด้วยเหมือนกัน
หญิงชายชราหลายคนกาลังฝึกวิทยายุทธ์อยูในชุดสีขาว พวกเขาตวัดดาบกลางอากาศช้า ๆ คนเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวของดาบเกิดเป็นภาพงดงามราวภาพวาด
‘น่าเสียดาย… วันเวลาอย่างนี้จะคงอยู่ไปเท่าไหร่เชียว?’
ฟางหยวนกาหมัด
ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ว่าการฝึกตนของเขานั้นเร็วขึ้น
“หลังจากความขาดแคลนนับหลายร้อยปี ในที่สุดหยาดพลังก็เริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ว?”
ตอนที่เขาคิดกับตัวเอง ฟางหยวนก็เจอที่ว่าง ๆ และเริ่มร่ายเคล็ดชี้นาของตัวเอง
ด้วยวิชาหมัดห้าอสูรร้ายของเฉินป๋อและชิงหนางจิงที่เขาจดจาได้แล้ว ฟางหยวนก็รู้สึกเข้าใจกระจ่างแจ้ง เขายิ่งมายิ่งคุ้นเคยกับเคล็ดชี้นาของเขา และบางครั้งยังสะบัดปีกกระเรียนและวางท่วงท่าอย่างสิงโต
‘ข้าน่าจะสามารถเปลี่ยนเคล็ดชี้นานี้ได้และเรียกเป็นเคล็ดชี้นาห้าอสูรร้าย… เมื่อฝึกวิชานี้ ข้าจะสามารถยืดอายุขัยของข้าและยังดีกว่าการฝึกฝนร่างกายวิธีอื่น…’
ฟางหยวนเพ่งสมาธิไปที่จุดตันเถียน ขณะที่เขาร่ายเคล็ดชี้นาเสร็จแล้ว เขาก็พบว่ามีศาสตราจารย์ชราผู้หนึ่งจ้องมองเขามาสักพักแล้ว
“นักเรียน… เคล็ดชี้นาของเธอช่างน่าสนใจ!”
เห็นฟางหยวนมองมา ศาสตราจารย์ชราก็หัวเราะ “เป็นวิทยายุทธ์ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเธอหรือ?”
“ฮ่าฮ่า… ศาสตราจารย์เถียน นี่เป็นเคล็ดชี้นาธรรมดาที่ผมเรียนรู้มาจากในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้นเองครับ ตอนนี้ผมก็แค่ใช้มันออกมาเฉย ๆ…”
“โอ้? เธอรู้จักฉัน?”
ศาสตราจารย์เถียนอายุราวหกสิบปีและมีผมหงอกขาวไปทั้งศีรษะ เขายังดูกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา ตอนนี้เมื่อเขามองพิจารณาฟางหยวน เขาก็รู้สึกว่าฟางหยวนนั้นคุ้นตามาก
“อื้ม ผมเคยเข้าเรียนวิชาแพทย์แผนจีนโบราณของคุณและได้เรียนรู้อะไรมากทีเดียวครับ!”
ฟางหยวนยิ้ม
“โอ้ อย่างนั้นนั่นเอง!”
ศาสตราจารย์เถียนพยักหน้า “ทุกวันนี้ มีนักเรียนแค่หยิบมือเดียวที่ยังสนใจการแพทย์แผนจีนโบราณ เธอมาจากชั้นเรียนเด็กผู้มีพรสวรรค์ของเหอเทียนหมิงใช่หรือไม่? ถึงความตั้งใจของเขาจะดีก็เถอะนะ แต่เขาคิดเกินตัวที่จะให้นักเรียนแบบนั้นมาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยเน่ยนะ? เฮ่ย… นี่มันเกินไปหน่อยแล้ว…”
การเรียนแพทย์แผนจีนโบราณนั้นเลื่อนไหลไปตามธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ดังนั้น ศาสตราจารย์เถียนจึงไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เหอเทียนหมิงทา
แต่ว่า ศาสตราจารย์เถียนก็ยังคงประทับใจในตัวฟางหยวนต่างออกไปและรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจกันได้ดีหลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน “ฟางหยวน ตระกูลของเธอเชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนโบราณงั้นรึ?”
“เหอเหอ… ผมมาจากศูนย์เลี้ยงเด็กกาพร้าชางไห่ครับ ผมเรียนรู้ทั้งหมดนี้จากการอ่านหนังสือและฝึกฝนด้วยตนเอง!”
ฟางหยวนลูบจมูก
“โอ้ เข้าใจแล้ว… ฉันเสียใจด้วยนะ… นั่นฟังดูน่าเสียดาย เมื่อคิดถึงความสามารถของเธอแล้ว เธอน่าจะเป็นนักวิจัยได้ แต่ว่า บนเส้นทางของแพทย์แผนจีนโบราณ เธอยังต้องเผชิญหน้ากับความลาบากในช่วงสิบปีแรก และยังยากที่จะฝึกฝนทักษะ…”
การเรียนแพทย์แผนจีนโบราณนั้นเป็นวิชาหนึ่งที่ต้องใช้ประสบการณ์เป็นอย่างมาก หมอที่มีประสบการณ์ก็มักจะเก่งกว่าหมอที่ไม่มีประสบการณ์ และยังไม่มีหนทางที่สองให้เลือกเดินด้วย
ศาสตราจารย์เถียนเดินขึ้นหน้ามาอีกหลายก้าวและมีสีหน้าเสียดาย “น่าเสียดาย… ตอนนี้ผมไม่มีหัวข้อวิจัยอยู่ในมือเลย ไม่อยากนั้นก็คงให้เธอมาเป็นผู้ช่วยได้”
ในยุคนี้นั้น เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่อาจารย์จะทาการวิจัยและจ้างผู้ช่วย จ่ายเงินเดือนให้พวกเขา
เมื่อได้ยิน ฟางหยวนก็คิดกับตัวเอง ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร
เห็นฟางหยวนที่ดูนอบน้อมแล้ว ดวงตาของศาสตราจารย์เถียนก็เป็นประกายขึ้น พวกเขาคุยกันอีกครู่หนึ่งก่อนที่จะแยกกันไป เขาตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะลองลงมือลงแรงในตัวเด็กคนนี้ดู
“ผมก็ขอตัวครับ!”
ฟางหยวนเดินไปรอบสระ เขาบังเอิญเจอเฉินป๋อที่ดวงตาฉ่าน้าตาเข้า
ตั้งแต่ที่ฟางหยวนแนะแนวให้เขาไป วิทยายุทธ์ของเฉินป๋อก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ในเวลาแค่ไม่กี่วัน ก็แน่ใจได้ว่าเขาสามารถบรรลุระดับเปิดพลังได้
แน่นอนว่า ในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขายังกล้ากลืนความหยิ่งยโสไม่ลง รวมกับการที่วิทยายุทธ์อันเป็นความลับของตระกูลดูจะรั่วไหลออกไป
เฉินป๋อก็แน่ใจว่าคนผู้นั้นที่โจมตีเขานั้นอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย และดังนั้นเขาจึงหมั่นมาที่นี่เพื่อตามหาคนผู้นั้น
กระทั่งต่อให้ฟางหยวนเดินเข้าไปใต้จมูกเขา เฉินป๋อที่น้าตาคลอตาผู้นี้ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นเขา ความพยายามของเฉินป๋อนั้นเสียเปล่าแล้ว

“รุ่นน้อง ร้านนี่ ต่อไปก็เป็นของนายแล้ว…”
ในเป่าเชินซื่อ ซุนเจี้ยนกับฟางหยวนเดินเข้าไปในร้าน และน้าเสียงของซุนเจี้ยนยังแฝงแววอิจฉา “ตอนนี้ประเทศจีนกาลังพัฒนาและการค้าขายก็กาลังรุ่งเรืองขึ้น ต่อให้พวกเราแค่เก็บค่าเช่าจากร้านนี้พวกเราก็ยังมีรายรับมากทีเดียว…”
“มันจะเสียประโยชน์ไปเปล่า ๆ ถ้าแค่เก็บค่าเช่า พวกเราเปิดร้านขายอะไรสักอย่างกันเป็นอย่างไร!”
ฟางหยวนลูบตู้กระจกแล้วยิ้ม “พูดกันตามตรง… ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าหยกมันแพะชิ้นนั้นจะมีราคาถึงเพียงนี้…”
นอกจากรูปสลักพระศรีอาริยเมตไตรยแล้ว ฟางหยวนยังขายของมีค่าทั้งหมดที่เขาได้จากตุ๊กตากระเบื้องออกไป
เหรียญเงินและก้อนทองนั้นเป็นของธรรมดาและฟางหยวนก็ใช้มันเป็นทิปแก่พนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหาร ส่วนหยกมันแพะ มันคือหยกใสก้อนหนึ่งซึ่งมีราคาสูงเพราะว่าเป็นของเก่าโบราณ
ในช่วงเวลาสุขสบาย ของเก่าพวกนี้ล้วนมีราคาพุ่งสูงขึ้น แต่เมื่อเป็นช่วงเวลาลาปาก ผู้คนย่อมชื่นชอบมูลค่าอันคงตัวของทองคามากกว่า ในเวลานี้ ราคาของของเก่าจึงพุ่งสูงมาก และถึงแม้ฟางหยวนจะขายมันออกไปโดยแลกกับร้านนี้ เขาก็ยังรู้สึกว่ามันน่าจะมีคุณค่ามากกว่านี้
แต่สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนธรรมดาและเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
อย่างไรเสีย เขาก็ยังมีรูปสลักพระศรีอาริยเมตไตรยที่ล้าค่าอยู่กับตัว
“เปิดร้าน? ร้านขายของเก่า? มีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้อีกเยอะเลยนะ!”
ซุนเจี้ยนรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจรุ่นน้องคนนี้อีกต่อไปแล้ว
“ผมเข้าเรียนชั้นเรียนประวัติศาสตร์หลายครั้งและเชื่อว่าผมรสนิยมดีพอ… นอกจากนี้ พวกเรายังมีของที่ล้าค่าที่สุดอยู่ ถูกไหม?”
ในร้านขายของเก่าใด ๆ ก็ตาม ต้องมีของเก่าจริง ๆ หนึ่งหรือสองชิ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า สาหรับฟางหยวน รูปสลักนั่นก็ดูจะเหมาะสม
นอกจากนี้ เขายังรู้สึกว่ารูปสลักไม้ชิ้นนี้ยังมีรัศมีพลังลึกลับ เขาอาจจะใช้มันเป็นเหยื่อตกเหยื่อที่ตัวใหญ่กว่านี้ได้
“รุ่นพี่ ผมอยากจะจ้างคนมาดูแลร้านสักหนึ่งหรือสองคน พี่คิดออกไหมว่าผมจะต้องทายังไงบ้าง?”
พอคิดแล้วฟางหยวนก็หัวเราะ
“โอ้ งั้นทาไมไม่เอานักศึกษาที่มหาวิทยาลัยล่ะ? ในเมืองก็มีนักศึกษาที่ทางานพาร์ทไทม์เพื่อเลี้ยงดูตัวเองอยู่เยอะอยู่นะ”
ซุนเจี้ยนตอบ
“อืม ผมจะจ่ายเดือนละสามสิบเหรียญ และพวกเขาก็ได้วันหยุดช่วงสุดสัปดาห์ ในวันธรรมดาก็ทางานแค่ครึ่งวัน… ผมอยากได้สักสองคน!”
ฟางหยวนโบกมือราวกับเป็นเจ้านายผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง
“เหอเหอ… ช่างเป็นข้อเสนอที่ดีนัก! กระทั่งฉันยังอยากจะมาช่วยนายเองเลย ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะหาผู้ช่วยที่ซื่อสัตย์ที่สุดสองคนให้นายเอง”
ซุนเจี้ยนพยักหน้า กระทั่งเงินเดือนของช่างฝีมือยังเทียบกับข้อเสนอนี้ไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงตกลงรับปากช่วยหาคนให้เพื่อตัวเองจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย

อ่านตอนอื่นๆของ Carefree Path of Dreams คลิกเลย

แฟนเพจ