401: สมุนไพร
“ก็อก! ก็อก!”
เช้าวันต่อมา
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นและก็มีเสียงเคาะประตูแรง ๆ ดังมาจากประตูด้านนอก
“นั่นใครน่ะ?”
ฟางหยวนเปิดประตูอย่างง่วงงุนและเห็นตารวจสองคนสวมหมวกทรงสูง “เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณตารวจ?”
“คุณคือฟางหยวน?”
ตารวจคนที่ตัวสูงกว่าพลิกสมุดบันทึกและถามต่อ “เอ่อ เจ้าของร้านเวิ่นซินเจียที่เป่าเชินซื่อ? แล้วคุณก็ขายรูปสลักพระศรีอาริยเมตไตรยไปเมื่อวานนี้?”
“ครับ ผมบอกให้ผู้ช่วยของที่ร้านจัดการเรื่องจ่ายภาษีเรียบร้อยแล้วนะครับ!”
ฟางหยวนถามอย่างงุนงง “มีเรื่องอะไรอีกเหรอ?”
“เมื่อคืนนี้ ระหว่างเที่ยงคืนถึงตีสามคุณอยู่ที่ไหน?”
ตารวจอีกคนถามคาถามเขาอย่างเคร่งขรึม ตารวจนั้นเป็นตัวแทนของกฏหมายอันชอบธรรม จึงง่ายที่จะทาให้คนที่มีความผิดรู้สึกหวั่นหวาดและเผยความตื่นตระหนกออกมา
“อากาศหนาวขนาดนี้แล้วยังดึกมาก แน่นอนว่าผมต้องนอนอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว…” ฟางหยวนตอบอย่างเป็นธรรมชาติ
“มีพยานหรือผู้รู้เห็นหรือไม่? รูปสลักที่คุณโทมัสซื้อไปในราคาห้าแสนหยวนถูกขโมยไปจากโรงแรมเมื่อคืนนี้!” ตรวจถามฟางหยวนและคอยจับสังเกตปฏิกริยาของเขา
“ขโมย? อะ…”
แต่ว่า การแสดงของฟางหยวนนั้นก็เทียบได้กับนักแสดงมือรางวัล สีหน้าประหลาดใจและยังตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาและตารวจยังไม่สามารถสังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติใดออก
“เอาละ ถ้าคุณคิดอะไรออกก็ให้รีบแจ้งพวกเราทันที!”
หลังจากถามคาถามอยู่รอบหนึ่ง ตารวจทั้งสองคนก็โค้งตัวให้แล้วจากไป
“พวกเขาแค่ลองล่อหลอกข้าดูเท่านั้นเอง…” ฟางหยวนคิด
ฟางหยวนปิดประตูชั้นนอกลง จากนั้นเขาก็รดน้าพวกสมุนไพรที่ในสวนตามปกติมีรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าขณะคิด “น่าเสียดาย… ข้าเองก็มีพยานผู้รู้เห็นที่หายตัวไปแล้ว! และก็เป็นพวกเดียวกับพวกเจ้านั่นแหละ!”
ผู้สอดแนมเมื่อคืนนี้ย่อมต้องบอกว่าฟงหยวนนั้นอยู่ในบ้าน ไม่อย่างนั้นเขาก็ต้องยอมรับว่าตนเองนั้นละทิ้งหน้าที่
เมื่อมีเขาเป็นพยาน ฟางหยวนย่อมไม่มีสิ่งใดต้องกังวลทั้งนั้น
หลังจากเขาจัดการสวนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขี่จักรยานไปที่ร้านขายอาหารเช้า
มีคนที่ร้านขายอาหารเช้าไม่มากนัก ซาละเปานึ่งร้อน ๆ ในหม้อนึ่งไม้ไผ่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้าลาย
ฟางหยวนสั่งอาหารทันทีและเริ่มกินซาละเปาพร้อมกับน้าแกงเผ็ดช้า ๆ
ทันใดนั้น ฟางหยวนก็สังเกตเห็นกั๋วจิงกาลังเอร็ดอร่อยกับแป้งทอดและข้าวต้มอยู่ตรงข้ามเขา ฟางหยวนไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ กั๋วจิงสวมแว่นกันแดดที่ดูประหลาดเอาไว้อันหนึ่ง
หลังจากพวกเขากินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ปะปนเข้าไปกับคนกลุ่มใหญ่ไปออกกาลังกายตอนเช้าที่สวนสาธารณะ
“คุณชายน้อย… คุณต้องรับผิดชอบที่ทาผมบาดเจ็บนะ! ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมก็ไปทางานไม่ได้!”
จากนั้นพวกเขาก็ตรงไปหาที่เงียบ ๆ ในป่า หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามพวกเขามา กั๋วจิงก็ถอดแว่นกันแดดพร้อมรอยยิ้มประหลาด เผยให้เห็นขอบตาดาช้าเป็นวงซึ่งดูดีกว่าเมื่อคืนนี้เล็กน้อย
“เหล่ากั๋ว คุณเองก็เป็นยามคนหนึ่ง มันก็ไม่แปลกไหมที่คุณจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการทะเลาะทุ่มเถียงสักครั้ง!”
หลังจากฟางหยวนได้คุยกับเขาเมื่อคืนนี้ ฟางหยวนก็รู้เกี่ยวกับเขามากขึ้น ถึงกั๋วจิงจะเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เขาก็ไม่นับว่าเป็นนักพรตเต๋าอย่างเป็น
ทางการ กลับกัน เขาทางานเป็นยามอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่ง นี่เป็นตัวอย่างอันดีของการปิดบังตัวตนให้ดูธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
“ผมเป็นชายชราแสนดีและยังเป็นคณะกรรมการของหมู่บ้านด้วย! ถ้าพวกผู้หญิงพวกนั้นเห็นว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะเบาะแว้งพวกเธอต้องมาวุ่นวายกับผมแน่ ๆ…” กั๋วจิงตอบ
“เฮ่อ ไม่ต้องห่วง! นั่งสิ!”
ฟางหยวนใช้เข็มเงินปักลงที่หว่างคิ้วของกั๋วจิงและใช้เคล็ดวิชาของตนออกมา พลังเวทย์สายหนึ่งถูกส่งเข้าไปในตัวกั๋วจิงทันที
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง รอยช้าที่เหลืออยู่บนร่างของกั๋วจิงก็หายไป เขาดูไม่ต่างไปจากปกติแล้ว
“อ๋า… สุดยอดไปเลย!”
กั๋วจิงดึงกระจกบานเล็ก ๆ ออกมาส่องดูตัวเอง เขาพอใจมากและพยักหน้า “คุณชายน้อย ทักษะฝังเข็มของคุณยอดเยี่ยมมากจริง ๆ มันทาให้ผมนึกถึงเข็มวิเศษแซ่เซว่…”
“ผมแค่เรียนมาจากตาราโบราณน่ะ แล้วก็แค่โชคดีที่ฝึกฝนได้จนถึงระดับนี้…”
ฟางหยวนโบกมือแล้วนั่งลงบนหินก้อนหนึ่ง “เหล่ากั๋ว… คุณว่ามีคนแบบพวกเราอีกเยอะไหม?”
“เกรงว่าจะไม่นะ”
กั๋วจิงยิ้มฝืน “ผมอยู่มานานป่านนี้แล้วยังเจอแค่คนเดียว ก็คือคุณ… แต่ว่าระยะหลังมานี้มีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย! ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครในสานักของอาจารย์ของผมสามารถฝึกวิชาเวทย์ที่ผมได้รับสืบทอดมาจากอาจารย์ของอาจารย์อีกทีได้ หลังจากงมกับมันอยู่หลายปี ในที่สุดผมก็ประสบความสาเร็จบางอย่างได้! ตอนนี้ผมสามารถเปิดดวงเนตรวิญญาณและยังวาดยันต์ที่ใช้กับผู้อื่นได้!”
“เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าคนอื่น ๆ ที่มีสายเลือดเช่นนี้ก็รู้สึกตัวและเริ่มฝึกฝนเป็นการลับแล้วหรือ?”
ฟางหยวนลูบคางและยิ้มกว้างออกมา “เหล่ากั๋ว คุณดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว… ยันต์ผูกปฐพีเมื่อคืนนี้ของคุณยอดเยี่ยมมากนะ แล้วก็เคล็ดดวงเนตรวิญญาณด้วย ครั้งหน้า คุณสามารถหาชุดนักพรตเต๋ามาสวมแล้วก็กลายเป็นหมอผีไง!”
“ถึงยันต์ผูกปฐพีจะเป็นวิชาที่ทรงพลัง แต่มันก็ใช้พลังธาตุเยอะเกินไป ถ้าผมไม่เจอคุณเมื่อคืนนี้และคุณไม่ได้ปกป้องพลังธาตุของผมเอาไว้ด้วยเข็มเงิน กระดูกแก่ ๆ อย่างผมคงไม่สามารถลุกจากเตียงได้วันนี้หรอก! ผมคงต้องใช้เวลาพักฟื้นอยู่บนเตียงอีกเจ็ดวันเจ็ดคืนได้…”
กั๋วจิงส่ายหน้าแล้วดึงถุงผ้าใบหนึ่งออกมา “ของวิเศษชิ้นนี้… ผมควรจะคืนมันให้แก่เจ้าของของมัน!”
“ไม่จาเป็น!”
ฟางหยวนส่ายหน้า “ผมขายของวิเศษชิ้นนี้ออกไปแล้ว ถ้าคุณต้องการคืนมันให้เจ้าของของมัน คุณก็ควรไปคืนให้แก่คุณโทมัส หรือไม่คุณก็เก็บเอาไว้เอง ยังไงผมก็ไม่มีอะไรต้องใช้มันแล้วตอนนี้”
“เฮ่ย… ถึงแม้ว่านี่จะเป็นของวิเศษ หลังจากเรื่องเมื่อคืนนี้แล้ว มันกลายเป็นปัญหาชิ้นหนึ่งไปแล้ว!”
กั๋วจิงยังมีรอยยิ้มฝืนอยู่บนใบหน้า “ผมว่าบรรดาหัวขโมยในเมืองคงจะซวยสุด ๆ ไปเลยในช่วงหลายวันนี้…”
“พวกหัวขโมยพวกนี้สมควรถูกกาจัด!”
จากนั้นฟางหยวนก็ถามอย่างสนใจ “แล้วอันที่จริงแล้วของวิเศษคืออะไรเหรอ? คุณรู้ไหม?”
“นี่… ผมก็เพิ่งรู้จักมันเมื่อวานนี้ตอนที่ผมเข้าไปดูความวุ่นวายพวกนั้น!”
กั๋วจิงพูดต่ออย่างกระอักกระอ่วน “แต่นี่เป็นของวิเศษจริง ๆ นะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเกี่ยวกับมรรคาแห่งปรมะ… ของวิเศษของปรมะส่วนใหญ่แล้วสามารถสงบจิตใจและชาระล้างกาแพงทางจิตในใจ ของชิ้นนี้ก็น่าจะมีผลคล้ายกัน… ส่วนผลลัพธ์อื่น ๆ ผมเองก็ไม่แน่ใจจริง ๆ…”
“ไม่เป็นไร คุณก็เก็บมันไว้แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์มันก็ได้ ถ้าคุณเจออะไรใหม่ ๆ ก็แค่บอกผมบ้าง…”
ฟางหยวนลุกขึ้นและพูด “ผมต้องไปมหาวิทยาลัยแล้ว! ผมยังต้องทาวิทยานิพนธ์อยู่!”
อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ฟางหยวนมีอยู่ในช่วงเวลานี้นั้นไม่นับว่าเลวร้ายเลย ไม่เพียงแค่เขามีตาราของผู้ใช้หยินหยาง เขายังได้พบผู้ฝึกตนคนอื่นด้วย
เอาละ… ถึงผู้ฝึกตนคนนี้จะดูไม่เป็นมืออาชีพ พื้นเพของเขาก็เป็นของจริง เขากระทั่งยอมให้ฟางหยวนทาการทดลองกับเขาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าของฟางหยวนในการเขียนวิทยานิพนธ์ให้สมบูรณ์มากขึ้น
…
“เขียนวิทยานิพนธ์! เขียนวิทยานิพนธ์! คราวนี้… ข้าจะต้องทาให้!”
ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยซีจิง ฟางหยวนนั่งอยู่ตรงหน้าหนังสือกองใหญ่ขณะกัดปลายปากกาและคิด ”ดูเหมือนว่าข้าจะต้องเพิ่มบางอย่างที่พิสูจน์ได้…”
ปากกาของฟางหยวนขยับไม่หยุดและอักขระลื่นไหลราวมังกรหงส์ลอยเลื่อนปรากฏขึ้น ทันใดนั้น มันก็ราวกับรอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด เสียง ความเคลื่อนไหว ความอึกทึกและวุ่นวายทั้งหมดล้วนเป็นเป็นเงียบงันและว่างเปล่าภายใต้ปลายปากกาของเขา
หลังจากฟางหยวนเขียนได้หลายบรรทัด เขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าทั้งห้องสมุดก็เป็นปกติดี แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องผ่านหน้าต่าง ฝุ่นละเอียดในอากาศสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบ ใต้หนังสือกองสูงมีหนอนหนังสือเฉกเช่นฟางหยวนสวมแว่นตากลมและกาลังคร่าเคร่งกับหนังสือทั้งหมดนี่
“อย่างไรอาณาจักรนี้ก็มีกฏอันเข้มงวดและในอาณาจักรยังมีรากฐานบนศาสตร์แห่งฟิสิกส์ ที่ว่าด้วยพลังงาน การเคลื่อนไหว และแรง ถ้าข้าต้องการสัมผัสถึงสวรรค์ ทางที่ดีก็คือรีบไปนอน!” ฟางหยวนคิด
ฟางหยวนเป่ากระดาษให้แห้งแล้วมองไปที่วิทยานิพนธ์ที่วางเรียงเอาไว้ของเขา
“ก็ถือว่าไม่เลวแล้วแหละหากพวกศาสตราจารย์ไม่คิดว่าข้าเป็นไอ้โง่หลังจากได้เห็นชื่อวิทยานิพนธ์นี่! แต่ว่าความจริงก็คือความจริง!”
ฟางหยวนมองหนังสือประวัติศาสตร์เล่มใหญ่ตรงหน้าตัวเองแล้วก็ยิ้ม “ดาวเคราะห์ราชาแห่งวิญญาณ? น่าสนใจนี่!”
“แน่นอนว่า… หลักฐานไม่กี่ชิ้นพวกนี้ย่อมไม่เพียงพอ ข้ายังต้องมีข้อมูลของมนุษย์ด้วย ไม่อย่างนั้นศาสตราจารย์พวกนั้นก็คงจะโยนวิทยานิพนธ์ของข้าลงถังขยะ… ในประเทศจีนนี้ ถ้าสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ไม่ผ่านจะเป็นเรื่องน่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง…”
ฟางหยวนจดจาข้อมูลที่เขาได้มาอย่างจริงจัง หลังจากลงชื่อยืมหนังสือพวกนี้แล้วฟางหยวนก็ออกจากห้องสมุดแล้วไปที่คณะแพทย์แผนจีนโบราณ
“ฟางหยวน เธอมาแล้ว!”
ศาสตราจารย์เถียนของคณะดวงตาเป็นประกายขึ้นทันทีเมื่อเห็นฟางหยวน “เธอทาการทดลองผสมพันธุ์เรียบร้อยแล้วใช่ไหม? เธอเอาสมุนไพรดี ๆ มาให้ฉันด้วยใช่ไหม…”
“ไม่ครับ ผมแค่มาเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์เท่านั้น… ผมยังต้องติดต่อกับคลินิกแพทย์แผนจีนเพื่อเก็บเคสรักษาบางเคส!”
“เธอยังต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ป่วยแล้วก็ครอบครัวของผู้ป่วย! แล้วก็ นี่มันก็เสี่ยงเกินไปนิดนึงนะ!”
ศาสตราจารย์เถียนนั้นไม่ชอบใจนักกับวิทยานิพนธ์ของฟางหยวน “ฟางหยวน อย่าทะเยอทะยานเกินไป ฉันไม่ได้จะตาหนิอะไรเธอนะ แต่ว่าตราบใดที่เธอบันทึกประสบการณ์ในการปลูกสมุนไพรของเธอลงในวิทยานิพนธ์อย่างเป็นระบบและเป็นวิทยาศาสตร์ ต่อให้ศาสตราจารย์คนอื่น ๆ ไม่ให้เธอผ่าน พวกเราก็ยังสามารถเก็บที่นั่งในระดับปริญญาโทไว้ให้เธอได้นะ!”
“ลองคิดดูนะ การปลูกสมุนไพรเทียมที่มีคุณสมบัติทางยาเทียบเท่ากับสมุนไพรป่า! มันมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก ลองคิดถึงสิ่งที่เธอจะสามารถนามาสู่ประเทศแม่ของพวกเราได้สิ…”
ขณะศาสตราจารย์เถียนพยายามโน้มน้าวฟางหยวน เห็นฟางหยวนยิ้มอย่างไม่หวั่นไหวเขาก็รู้สึกหมดหวังเล็ก ๆ
ตารับยาในแพทย์แผนจีนโบราณนั้นมีสองแบบ คือตารับตามอาการ และตารับตามคุณค่าทางยาของตัวสมุนไพร แน่นอนว่า หลังจากผ่านมาหลายต่อหลายปี สมุนไพรป่าบางชนิดก็กลายเป็นหายากเป็นอย่างยิ่งและทาได้เพียงทดแทนด้วยสมุนไพรที่ปลูกขึ้นกันเองเท่านั้น
แต่ว่า สมุนไพรที่ปลุกขึ้นทดแทนเหล่านี้นั้นคุณภาพต่ากว่าที่พวกเขาเคยพบได้ที่ในป่า ต่อให้มีอายุเท่า ๆ กันก็ตาม
นอกจากนี้ ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยเหล่านี้นั้นไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยอุปกรณ์ใด ศาสตราจารย์เถียนนั้นตกใจมากตอนที่พบว่าสมุนไพรที่ฟางหยวนปลูกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าสมุนไพรป่าเลยสักนิดเดียว
อย่างไรก็ตาม ฟางหยวนก็ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมการวิจัย พวกเขายังทาการทดลองควบคุมโดยใช้สมุนไพรสองชนิดที่เหมือนกันและมีอายุเท่ากัน ถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะไม่สามารถตรวจพบความแตกต่างใด ๆ แต่ผลการใช้สมุนไพรของฟางหยวนนั้นดีกว่าถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งทาให้ศาสตราจารย์เถียนนั้นงุนงง
“ผมยังสนใจในการรักษาผู้ป่วยและช่วยชีวิตพวกเขามากกว่าครับ!” ฟางหยวนตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
อันที่จริงแล้ว ผลที่ได้นี้ยังเป็นหลังจากฟางหยวนจากัดพลังพิเศษของเขาเอาไว้แล้วด้วยซ้า
คุณสมบัติทางยาที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อยนั้นอาจจะเกิดจากทักษะและเคล็ดลับในการเพาะปลูกได้ แต่ถ้าระยะการเติบโตที่สั้นลงหรือการกลายพันธุ์ถูกตรวจพบ สมุนไพรพวกนี้อาจจะถูกนับว่าเป็นสิ่งผิดธรรมชาติและย่อมต้องเข้ารับการตรวจสอบ
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะไม่ได้หวาดเกรงที่จะต้องเปิดเผยมากขึ้น แต่ไม่เปิดเผยย่อมดีกว่านี่นา?