403: วิทยานิพนธ์
“คุณหมอฉิน ได้โปรดอย่ารบกวนผมขณะที่เตรียมการวินิจฉัย!”
“คุณ…”
ฉินว่านชิงโมโหมากแต่ว่ายั้งตัวเองเอาไว้
“ให้ผมดูแผลของเธอหน่อย…”
ฟางหยวนนั้นไม่ได้คิดจะเผยทักษะพิเศษของเขาออกไปและทาเหมือนกาลังตรวจดูแผลบนต้นขาของเด็กหญิง
เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผิวเนื้อของผู้ป่วยได้ และดังนั้น ซุนเสี่ยวหงก็หน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่ว่า เธอก็คุ้นเคยกับมันได้อย่างรวดเร็วและสงบท่าทีลงได้
“คุณหมอฟาง เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
พ่อแม่ของซุนเสี่ยวหงเป็นกังวลมากและเข้ามาถามฟางหยวนทันทีที่เขาตรวจเสร็จ
“สถานการณ์ของเธอไม่ได้เลวร้าย ถ้าเธอยินดีให้ความร่วมมือกับการรักษา เธอก็มีความหวังที่จะยืนด้วยขาของตัวเองได้ภายในครึ่งปี!”
“เป็นไปไม่ได้! อย่าเชื่อเขา!”
ฉินว่านชิงมองผู้ปกครองทั้งสองที่แทบจะลงไปคุกเข่าตรงหน้าฟางหยวนแล้ว เธอโมโหจนระเบิดออกมา ”เสี่ยวหงไม่สามารถยืนได้อีกต่อไปแล้ว อย่าเชื่อเขา!”
ทันทีที่เธอพูดจบ เธอก็รู้สึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปแล้ว
“คุณหมอฉิน ขอบคุณสาหรับการดูแลหลายสัปดาห์มานี้ แต่ว่าตอนนี้ กรุณาออกไปเถอะค่ะ!”
ซุนเสี่ยวหงมีสีหน้าหมดหวังขณะที่พ่อและแม่ของเธอพูดโพล่งออกไปอย่างเกรี้ยวกราด
“แล้วพวกคุณทุกคนจะเสียใจ!”
ฉินว่านชิงกัดฟันแต่ไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองครอบครัวนี้ กลับกัน เธออยากจะกัดฟางหยวนให้จมเขี้ยวและวางแผนเปิดโปงคาโกหกของฟางหยวนไว้แล้ว
“รอเดี๋ยวสิ!”
ฟางหยวนตะโกนออกไป “คุณหมอฉิน ในเมื่อคุณเป็นห่วงเสี่ยวหง เอาอย่างนี้… คุณก็มารับหน้าที่ดูแลเธอประจาวัน อย่างไรเสียแต่ละครั้งผมก็จะแค่ฝังเข็มเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น คุณยังสามารถจับตามองผมได้ด้วย! เป็นอย่างไร?”
หมอสาวคนนี้นั้นมีจิตใจดีและยังค่อนข้างมีความสามารถในด้านการแพทย์แผนจีนโบราณ ด้วยหัวใจอันใส่ใจนี้ ฟางหยวนสามารถใช้เธอทางานพื้น ๆ แทนได้
“แค่ฝังเข็ม? ได้…”
ฉินว่านชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง เธอรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องปกป้องผู้ป่วยของเธอ แต่ว่า เธอก็อดไม่ได้ “อย่างไรก็ตาม
มันเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะรักษาภาวะอัมพาตของเธอได้ด้วยการแค่ฝังเข็ม และตามการแพทย์แผนจีนแล้ว… ไม่เคยมีบันทึกตัวอย่างของการประสบความสาเร็จมาก่อนเลย”
“ทฤษฎีนี้กาลังจะถูกตั้งขึ้น และคุณก็จะได้เห็นตัวอย่างที่ว่านั่นด้วยตัวเอง!”
ฟางหยวนกะพริบตา ”อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นโครงการจบการศึกษาของผม!”
“ฉันรู้…”
ฉินว่านชิงกลอกตาและรู้สึกเหมือนโลกนี้ไร้ซึ่งความหวังแล้ว
“ให้ความจริงพูดก็แล้วกัน!”
ฟางหยวนพยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง ดึงตะเกียงดวงหนึ่งออกมาฆ่าเชื้อเข็มเงินของตัวเอง
“เธอสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดของขาไปแล้วใช่ไหม? ถ้าหลังจากนี้เธอรู้สึกอะไรขึ้นมา จาไว้ว่าให้บอกผมนะ!”
เขาเตือนซุนเสี่ยวหงก่อนจะฝังเข็มลงตามจุดฝังเข็มของเธอเบา ๆ ตามเคล็ดวิชาของชิงหนางจิงแล้ว กาลังภายในของเขาจะไหลผ่านเข็มเงินเข้าสู่ร่างกายของซุนเสี่ยวหง
ร่างกายของมนุษย์นั้นก็นับเป็นโลกใบหนึ่งอยู่แล้วและยังมีระบบหมุนเวียนของตัวเอง นี่เป็นทฤษฎีที่เขียนเอาไว้ในชิงหนางจิง
เมื่อพลังไหลเข้าไปแล้ว ฟางหยวนก็สามารถรู้สึกถึงการอุดตันได้ทันทีที่กาลังภายในของเขาโคจรไปถึงแผลที่ต้นขา
เมื่อเผชิญกับสภาพเช่นนี้แล้ว ใคร ๆ ก็คงสรุปว่าไม่สามารถทาอะไรเพื่อรักษาขาข้างนี้ได้แล้ว
‘อืม… ต่อให้มีทักษะการรักษาของข้าเอง ถ้าผู้ป่วยเป็นคนธรรมดา ข้าก็คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดก็หลายปีที่จะกระตุ้นการเจริญของเส้นประสาทที่เสียหายไปแล้ว…’
นี่ยังเป็นหลังจากที่ระดับการฝึกตนของฟางหยวนนั้นขึ้นมาถึงระดับนี้แล้วด้วย
‘แต่ว่า ซุนเสี่ยวหงนั้นต่างออกไป เธอมีการวิวัฒน์ไปแล้วเล็กน้อยและแหล่งพลังของเธอก็เทียบได้กับผู้ใหญ่คนหนึ่ง ตราบใดที่มีการกระตุ้นเสริมและมีการชี้นาการใช้พลังพิเศษของเธอเพื่อการฟื้นฟูตัวเอง เธอย่อมสามารถฟื้นฟูได้โดยสมบูรณ์ภายในครึ่งปี แล้วก็จะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่สนับสนุนวิทยานิพนธ์ของข้า…’
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายอย่างตื่นเต้น
‘แน่นอนว่า หัวข้อการชี้นาพลังพิเศษของคนผู้หนึ่งไปกระตุ้นหยาดพลังให้กลายเป็นพลังพิเศษอื่นก็เป็นเรื่องน่าสนใจเหมือนกัน!’
ไม่ว่าพลังพิเศษดั้งเดิมของซุนเสี่ยวหงจะเป็นอะไร ฟางหยวนก็เตรียมตัวเปลี่ยนมันและบังคับให้มันกลายไปเป็นความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง? เธอรู้สึกยังไง?”
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ฟางหยวนก็เก็บเข็มของเขาและเช็ดเหงื่อที่หน้าผากตัวเอง
“ฉัน… ฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันอุ่นขึ้นเหมือนมีพลังงานหมุนเวียนไปที่ต้นขาของฉัน…”
ซุนเสี่ยวหงหน้าแดงอย่างเขินอายน้าตาคลอดวงตา “ตอนนี้… ฉันรู้สึกคันที่ต้นขาค่ะ!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ฉินว่านชิงส่ายหน้า “เสี่ยวหง เธออาจจะหลอนไปเอง ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ ๆ! มันเป็นไปไม่ได้… ก็แค่ฝังเข็ม มันจะให้ผลการรักษาน่าพึงพอใจได้อย่างไร?”
ท่ามกลางความยินดีของพ่อและแม่ของเสี่ยวหง เธอกลับมึนงงและโดดเดี่ยว
ฟางหยวนมีสีหน้าสงสารเมื่อมองหมอผู้หญิงคนนั้น
ทาไมเธอถึงไม่ยอมรับความจริงกันนะ? ถ้าเธอได้เห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นในอนาคตล่ะ? เธอจะไม่คิดว่าทั้งโลกนี้ผิดปกติไปและเป็นบ้าไปเหรอ?
“เอาละ คุณหมอฉิน ผมจะปล่อยให้เธออยู่ในมืออันสามารถของคุณแล้วนะ!”
มันไม่ใช่กงการอะไรของฟางหยวนว่าคนอื่น ๆ จะมองเขาอย่างไร เขาดึงกระเป๋าขึ้นมาสะพายด้วยท่าทางง่าย ๆ แล้วก็เดินออกไปอย่างมีมาด ”ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะเตรียมการฝังเข็มให้เธอทุกสัปดาห์ อย่างอื่นที่เหลือของเธอให้เป็นเหมือนเดิม”
“ได้ หมอฟาง!”
ฉินว่านชิงนิ่งขึงอยู่ตอนที่ตอบกลับไป สีหน้าซับซ้อน
…
ฤดูกาลผ่านพ้นไป มีความวุ่นวายอยู่ในมหาวิทยาลัยซีจิง
นักศึกษาที่เรียนจบแล้วสาเร็จการศึกษาออกไป เปิดที่ว่างให้แก่นักศึกษาใหม่
สาหรับนักศึกษาทุกคนในมหาวิทยาลัย วิทยานิพนธ์นั้นเป็นเรื่องยาก พวกเขาส่วนมากใช้เวลาเตรียมตัวอยู่หลายเดือน และหลังจากได้รับความคิดเห็นมากมายตอบกลับจากพวกอาจารย์ พวกเขาก็ต้องแก้ไขมันนับครั้งไม่ถ้วน มันเหมือนพวกเขาปีนขึ้นจากนรกแล้วก็หล่นกลับลงไปซ้า ๆ
น่าสนใจที่ ถึงแม้ว่าอาจารย์เหล่านี้จะวิจารณ์งานของพวกเขาอย่างไร้หัวใจและให้ความเห็นอย่างเข้มงวด พวกเขาสุดท้ายแล้วก็ยังให้คะแนนวิทยานิพนธ์เหล่านี้อย่างใจกว้าง ทาให้นักศึกษาส่วนใหญ่จบการศึกษามาได้
แน่นอนว่า ฟางหยวนเองก็เคยมีประสบการณ์นี้ในชีวิตก่อน ๆ และยังเตรียมตัวเพื่อไม่ให้ต้องดาเนินเส้นทางนั้นอีกครั้ง
วันอาทิตย์
พระอาทิตย์ส่องแสงสว่างสดใสและยังมีสายลมเย็น ๆ พัดโชย
อาจารย์อู่จากคณะสังคมศาสตร์ถือเอกสารปึกใหญ่มุ่งหน้ามาที่ห้องเรียน ตอนที่เขาเปิดประตู ห้องที่เต็มไปด้วยศาสตราจารย์คนอื่น ๆ มองมาทางเขาก็ทาให้เขารู้สึกอาย
เขาเข้าห้องผิด
“คุณอู่ คุณก็มาฟังด้วยเหมือนกันหรือ?”
ก่อนที่เขาจะทันได้หันกลับ ใบหน้าคุ้นเคยก็ทักทายเขาและยังเอื้อเฟื้อที่นั่งให้
“ครับ… ฮ่าฮ่า…”
อาจารย์อู่หัวเราะและเข้าไปนั่งอย่างกระอักกระอ่วนขณะเตรียมหาข้ออ้างเพื่อกลับออกไป
‘รูปแบบนี่มันเหมือน… สอบป้องกันวิทยานิพนธ์ แต่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…’
อาจารย์อู่สงสัยขึ้นมา “นักศึกษาคนนี้มาจากคณะไหนเหรอครับ?”
“คุณไม่รู้เหรอ? เขามาจากชั้นเรียนผู้มีพรสวรรค์ เด็กของเหล่าเหอน่ะ!”
อาจารย์อู่ตอบรับคาตอบของเพื่อนเขา
“โอ้ อย่างนั้นเขาก็อายุแค่สิบหกหรือสิบเจ็ดเท่านั้นเอง? ไม่แปลกใจเลยว่าทาไมถึงมีคนมาฟังเยอะเชียว!”
อาจารย์อู่ดูจะเข้าใจความกระตือรือร้นนี่แล้ว แต่ว่า เขาก็ค่อย ๆ สังเกตเห็นอาจารย์แต่ละคนที่เข้ามาในห้องแล้วก็ต้องเบิกตากว้างขึ้น “นั่น… ศาสตราจารย์เถียนจากคณะแพทย์แผนจีนโบราณกับศาสตราจารย์เหอจากคณะชีววิทยา… โอ้ ทาไมศาสตราจารย์จากคณะดาราศาสตร์ถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ? แล้วยังผู้ประเมินอีก วิทยานิพนธ์นี่มันซับซ้อนขนาดนี้เลยหรือ? คาบเกี่ยวหลายคณะเลย?”
“อ่านนี่แล้วนายจะรู้…”
เพื่อนของเขาส่งสาเนาวิทยานิพนธ์มาให้ด้วยสีหน้าซับซ้อน
“โอ้? ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์แผนจีนโบราณและร่างกายของมนุษย์กับการเคลื่อนไหวของดวงดาว? เป็นหัวข้อที่กว้างมากจริง ๆ…”
อาจารย์อู่นั้นทาวิจัยเกี่ยวกับชีววิทยามาก่อน หลังจากพลิกไปหลายหน้าและอ่านการทดลองบางตัวอย่าง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยน “นี่น่าสนใจ…”
“เอาละ เริ่มการป้องกันวิทยานิพนธ์ได้!”
ตอนที่อาจารย์อู่กาลังจมลงไปกับวิทยานิพนธ์นั้น ก็มีเสียงเข้มงวดดังมา
เขาเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจและพบว่ารองผู้อานวยการนั้นอยู่ที่นี่และนั่งอยู่ที่ด้านหน้า ‘ดูเหมือนจะมีศาสตราจารย์หลายคนมาเข้าฟังการป้องกันวิทยานิพนธ์ครั้งนี้ เด็กนั่นจะเครียดไหมเนี่ย?’
“สวัสดีอาจารย์ทุกท่าน! ผมฟางหยวน!”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาที่บนเวที เขาตัวสูงและมีรอยยิ้มกว้าง
“อืม… เด็กที่มีพรสวรรค์นี่เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมาก ถ้ามีคนบอกว่าเขาอายุยี่สิบแล้วฉันก็คงเชื่อนะ!”
ขณะที่พวกอาจารย์พูดคุยกัน ฟางหยวนก็ไม่สนใจที่พวกเขาซุบซิบกันแล้วพูดด้วยน้าเสียงมั่นใจ “หัวข้อวิทยานิพนธ์ของผมคือ… ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์แผนจีนโบราณ การวิวัฒนาการของมนุษย์ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุท้องฟ้า!”
“อย่างที่ทุกคนทราบดี แพทย์แผนจีนโบราณนั้นมีพื้นฐานอยู่บน หยิน หยาง และธาตุทั้งห้า เลือดและหลอดเลือดล้วนรู้จักกันในนามชีพจร ปราณ พลังกาย และวิญญาณเป็นโครงกระดูกของร่าง… แต่ว่า ความจริงก็คือทุกอย่างทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวพันกันผ่านพลัง! ร่างกายของมนุษย์เองนั้นนับเป็นโลกใบหนึ่งและยังมีระบบการหมุนเวียนโดยธรรมชาติเป็นของตนเอง พลังไหลเวียนอยู่ในระบบนี้ และการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในระบบการหมุนเวียนก็สามารถทาให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงแก่ร่างกายได้ นี่คือพื้นฐานของทฤษฎีการไหลเวียนรอบใหญ่ของผม!”
“ในร่างกายมนุษย์นั้นมีสิ่งล้าค่ามากมาย และร่างกายเองยังนับเป็นโลกใบหนึ่ง การไหลเวียนรอบใหญ่ทาให้พลังถูกส่งไปที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กระตุ้นกระบวนการทดแทนเซลล์เก่าด้วยเซลล์ใหม่เช่นเดียวกับกระบวนการฟื้นฟูร่างกาย ถ้าอย่างไร… กรุณาดูที่ภาคผนวกของตัวอย่างการรักษาที่ตระเตรียมตามทฤษฏีนี้ เช่นกันเดียวกับการใช้สิบสามเข็มของผม…”
“ร่างกายมนุษย์นั้นเป็นโลกใบเล็ก และจักรวาลคือโลกใบใหญ่ ทั้งสองโลกสามารถแลกเปลี่ยนพลังกันได้ และนี่เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างธรรมชาติและร่างกายของมนุษย์! สภาพแวดล้อมของโลกที่ด้านนอกนั้นได้รับผลกระทบจากพลังและส่งผลต่อโลกใบเล็กคือร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นที่รู้จักกันในนามของ ‘วิวัฒน์’ ผมเชื่อว่าพวกเรานั้นอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด พลังในจักรวาลนั้นเข้มข้นมากขึ้น มนุษย์นั้นเข้าใกล้การวิวัฒน์ไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว!”
“ไร้สาระ!”
ในตอนนี้เอง อาจารย์คนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้ประเมินก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป “ไร้สาระ! เธอกาลังจะพูดบ้าอะไรกันแน่?”
“กรุณาเข้าใจด้วยว่าทั้งหมดที่ผมพูดคือข้อเท็จจริง ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ผมได้ประเมินทั้งหมดนี้โดยมีหลักฐานเพียงพอ…”
ฟางหยวนยังมีท่าทางสงบ “คุณไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่ของมันได้เพียงเพราะว่าคุณไม่เคยเห็นมันด้วยตนเองมาก่อน!”
“เอาละ ไหนหลักฐานของเธอ?”
“หลักฐานของผมก็คือจานวนประชากรของประเทศของเราและยังสถิติใหม่ ๆ ในโอลิมปิก…”
ฟางหยวนถือเอกสารหนึ่งเอาไว้ในมือ “พวกเราเองก็เห็นแล้วว่าก่อนสงครามโลกนั้น สถิติไม่เคยถูกทาลายได้เลย แต่ว่า เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แค่สิบปี พวกเราก็ทาลายสถิติเดิมไปนับครั้งไม่ถ้วน คุณภาพชีวิตนั้นสูงขึ้นกว่าคุณภาพชีวิตเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน…”
“นี่เป็นเพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์จากพวกมัน…”
“แต่ว่า ก็มีตัวอย่างตั้งมากจากสมัยโบราณเช่นกัน กรุณาดูเอกสารแนบที่เกี่ยวกับดาวหางราชาวิญญาณ!”
ฟางหยวนยิ้ม “ในประวัติศาสตร์ มีการค้นพบดาวหางราชาวิญญาณหลายครั้ง พวกเราได้สังเกตแนวโน้มและทานายได้ว่ามันจะโคจรมาเยือนพวกเราทุก ๆ หนึ่งร้อยปีเพื่อนาความเปลี่ยนแปลงมาให้!”
“บันทึกในประวัติศาสตร์บอกเอาไว้ว่า หลังจากการปรากฏของดาวหางราชาวิญญาณ มนุษย์หลายคนก็มองเห็นผีและเทพเจ้า และดังนั้น พวกเราจึงสามารถสรุปบางอย่างออกมาได้… ตัวอย่างเช่น เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นในทุกประเทศ นามาซึ่งยุคสมัยของการสารวจทางทะเล…”