404: สืบทอด
ดาวหางราชาวิญญาณนั้นไม่ใช่ดาวหางธรรมดาทั่วไป มันทิ้งหางยาวเป็นทางสีเขียวและยังมีระยะโคจรนานถึงหนึ่งพันปี มันเดินทางข้ามจักรวาลและยังโคจรผ่านดาวโลก
แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือ ทุกครั้งที่มันผ่านดาวโลกไปในประวัติศาสตร์ จะเกิดเหตุการณ์มากมายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฏตัวและการเพิ่มขึ้นของพลังแห่งฟ้าและพลังเหนือธรรมชาติ
ดังนั้น ฟางหยวนจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เพราะว่ามันน่าตกตะลึงและเหลือเชื่อเกินไป
“แน่นอนว่า… ตัวอย่างที่มีผมกาลังจะให้ดูนี้นั้นไม่ใช่การโต้แย้ง แต่เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานของผม!”
ฟางหยวนเปิดข้อมูลและสูตรการคานวณจานวนมากขึ้นมา “พวกเราลองดูที่กราฟนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิวัฒนาการของร่างกายของมนุษย์ ผมแบ่งมันออกเป็น 4 ระดับและแต่ละส่วนนั้นแทนระยะเวลาสิบปี นี่สอดคล้องกับระดับสูงสุดของการแผ่รังสีของดาวหางราชาวิญญาณ… มันขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งแรกในปี 994 ซึ่งเป็นปีที่สงครามโลกเริ่มต้นขึ้น ดังนั้น ผมจึงทานายว่าในปี 1004 และปี 1014 ร่างกายของมนุษย์ก็จะขึ้นสู่จุดสูงสุดครั้งใหม่ 20 ปีให้หลัง ในปี 1024 เมื่อดาวหางราชาวิญญาณมาถึงอาณาเขตของดาวโลกอย่างเป็นทางการ มันก็จะนามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…”
“โดยสรุปแล้ว แก่นของวิทยานิพนธ์ของผมนั้นก็คือร่างกายมนุษย์นั้นเป็นโลกเล็ก ๆ ใบหนึ่งซึ่งมีพลังหมุนเวียนอยู่ พลังในร่างกายสามารถสัมผัสและแลกเปลี่ยนกับพลังภายนอกร่างกายและร่างกายก็ยังได้รับผลกระทบจากพลังนั้น ระดับพลังสูงสุดนั้นมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับดาวหางราชาวิญญาณ ดังนั้น การมาเยือนครั้งต่อไปของดาวหางนั่นจะนามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของดาวโลก และย่อมทาให้มนุษย์ต้องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!”
“จากข้อเท็จจริงในวิทยานิพนธ์ของผมและตัวอย่างที่ผมแสดงให้ดู พวกเราลองดูที่ตัวอย่างผู้ป่วยสามคนในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนโบราณ”
“ลู่เวยนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าที่ถูกคาดการณ์เอาไว้ถึงสองเดือน มะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้ายของเจ้ากัวผิงนั้นควบคุมได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซุนเสี่ยวหงนั้นสามารถฟื้นฟูรีเฟล็กซ์การกระตุกของหัวเข่าได้แล้ว อาการของเธอนั้นเป็นไปในทางที่ดีมาก!”
“ผมขอยืนยันว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของการเริ่มต้นการวิวัฒนาการครั้งใหญ่ในมนุษย์จะปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนในปีหน้านี้!”
ฟางหยวนยิ้มประหลาดแล้วโค้งตัวลง
หลังจากการนาเสนอของเขา บรรยากาศก็เงียบกริบลง
ศาสตราจารย์อาวุโสและศาสตราจารย์ผู้ประเมินหลายคนมีสีหน้าอึ้งงันไป
“อันที่จริงแล้ว… การเปลี่ยนชื่อหยาดพลังไปเป็นพลัง มันน่าจะเป็นวิธีการง่ายที่สุดสาหรับเหล่านักวิจัยอาวุโสพวกนี้ที่จะเข้าใจสิ่งที่ข้ากาลังพูดใช่หรือไม่?” ฟางหยวนคิดขณะมองผู้ฟังแถวหน้าเงียบ ๆ
“ชี่กงนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียม! นักศึกษาฟางหยวน เธอพยายามที่จะพลิกคาตัดสินนั้นหรือ?”
ศาสตราจารย์โหจากคณะชีววิทยาขยับแว่นแล้วพูด “ศาสตราจารย์จาง คุณคิดว่ายังไง?”
“ระยะโคจรของดาวหางราชาวิญญาณนั้นยาวนานจริง ๆ นั่นแหละ นอกจากนี้ รอบ ๆ นั้นยังมักเกิดปรากฏการณ์ลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้จนถึงตอนนี้…”
ศาสตราจารย์จางลังเลเล็กน้อย
“แต่ว่าแค่ดูจากส่วนแรก วิชาแพทย์แผนจีนกับเคสผู้ป่วยจริงเป็นหลักฐาน ผมคิดว่าไม่เลวเลย!” ศาสตราจารย์เถียนสนับสนุนนักศึกษาของเขาทันที
“ผมไม่เห็นด้วย การให้เขาสอบผ่านการป้องกันวิทยานิพนธ์ในครั้งนี้นั้นเท่ากับการต่อต้านวิทยาศาสตร์! คุณจะยืนยันเรื่องนี้ด้วยการคาดเดาไม่กี่อย่างและปาฏิหาริย์ทางการแพทย์แค่นี้ได้อย่างไร…”
ศาสตราจารย์ของคณะชีววิทยาโบกมือไปมาวุ่นวายขณะวิจารณ์ฟางหยวน ทาให้ฟางหยวนรู้สึกสงสารเขาขึ้นเล็กน้อย
มุมมองโลกอันคับแคบ ปรัชญาและคุณค่าแห่งชีวิตของศาสตราจารย์ผู้นี้กาลังจะพังทลายลงแล้ว
“ผมให้เขาผ่าน… ศาสตราจารย์จาง คุณล่ะ?”
ฝ่ามือของศาสตราจารย์เถียนนั้นชุ่มเหงื่อขณะมองศาสตราจารย์จาง คนสุดท้ายที่จะเป็นผู้ตัดสิน
“โดยหลักการแล้ว ผมเห็นด้วย แต่ ผมขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกคืนสิทธิ์นี้หลังจากนี้ ก็เหมือนที่เขาพูด พวกเราต้องเข้มงวดในงานวิจัยและโครงการต่าง ๆ พวกเราคอยดูกันอีกทีในปีหน้า!”
ศาสตราจารย์จางลุกขึ้นแล้วออกจากที่นั่งไป
ขณะที่อาจารย์หลายคนเริ่มกลับออกไป พวกเขาก็ยังคงพูดคุยกันเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของฟางหยวน
ก่อนที่เหอเทียนหมิงจะออกไป เขาตบบ่าฟางหยวนเบา ๆ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ เหมือนพยายามปลอบฟางหยวน แต่ก็เหมือนมีความรู้สึกอื่นด้วย
“เฮ่ย… เธอนี่นะ!”
ศาสตราจารย์เถียนรอฟางหยวนลงจากเวลามาก่อนที่จะเข้าไปหาเขา “สุดท้ายแล้วเธอยังเอานาเสนอเรื่องนี้… ฉันบอกเธอก่อนหน้านี้แล้วไง ว่าแค่ส่วนแรกของเธอ เธอก็นับได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกในการแพทย์แผนจีนแล้ว และเธอยังสามารถข้ามไปเรียนระดับปริญญาโทได้เลย แต่เธอกลับเลือก
เพิ่มเนื้อหาเหนือธรรมชาติเข้าไป ก็เป็นส่วนด้านหลังนี้ไม่ใช่เหรอที่ทาให้มันดูแย่ลง…”
“เพราะว่าความจริง… มักคงอยู่ต่อไปได้เสมอ!”
ฟางหยวนยิ้มและมีท่าทางมั่นใจ
“พลัง… ดาวหางราชาวิญญาณ?”
คืนนั้น วิทยานิพนธ์ของฟางหยวนไปอยู่บนโต๊ะในห้องทางานแห่งหนึ่ง
“เขาไปถึงระดับนี้แล้วหรือ? อัจฉริยะมาก!”
ผู้อานวยการโจวที่เดินทางไปเมืองชานไห่ด้วยตนเองเพื่อเชิญฟางหยวนเมื่อครั้งนั้นกาลังอ่านวิทยานิพนธ์แบบคาต่อคา เขารู้สึกขัดแย้งนิดหน่อยขณะคิด “แต่ว่าน่าเสียดาย… พวกเราไม่สามารถยืนยันได้ทันทีว่าทฤษฎีของเขาถูกต้องหรือไม่ แต่แค่จากเคสทางการแพทย์สองสามเคสนี้มันก็มีค่าเพียงพอแล้ว…”
ที่ระดับผู้อานวยการโจว เขาย่อมดึงข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาลออกมาได้อย่างง่ายดาย เขารู้ดีเลยว่าสิ่งที่ฟางหยวนพูดนั้นล้วนถูกต้อง
นี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้ากัวผิง เขากระทั่งควบคุมอาการของเจ้ากัวผิงได้และยังเปลี่ยนมะเร็งกลับมาเป็นเนื้องอกธรรมดา แล้วซุนเสี่ยวหงนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เช่นกัน
“น่าเสียดาย… วิชาสิบสามเข็มของฟางหยวนนั่นทั้งคณะแพทย์แผนจีนโบราณตอนนี้มีคนใช้ได้เพียงคนครึ่งเท่านั้น”
คนหนึ่งนั้นย่อมเป็นฟางหยวน ขณะที่อีกครึ่งคนก็คือศาสตราจารย์เถียน
ไม่มีทางเลือกอื่น ต่อให้ต่อไปฟางหยวนปรับกระบวนการใช้เข็มชี้นาและกระบวนการถ่ายทอดพลังให้ง่ายขึ้น แต่หากไม่เข้าใจเคล็ดวิชาแล้ว ก็ยังใช้ออกไม่ได้อยู่ดีแม้ว่ามันจะถูกปรับให้ง่ายขึ้นก็ตาม
เหมือนกับที่ฉินว่านชิงนั้นไม่ได้มีความก้าวหน้าเลยหลังจากที่เรียนรู้มาเป็นเวลานาน
ผู้อานวยการโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งและวางเล่มวิทยานิพนธ์ลง เขาปั๊มคาว่า ‘ความลับ’ ลงที่หน้าปกแล้วเรียกเลขานุการของเขาเข้ามา “ส่งนี่ไปที่ตู้ไปรษณีย์หมายเลข 27 คอปเปอร์เบย์โดยด่วน!”
“ครับ!”
เลขานุการโค้งตัวลงแล้วออกไปจากห้องทางานทันที
อันที่จริงแล้ว ที่อยู่นั่นก็เป็นแค่การปลอมแปลงชั้นหนึ่งเท่านั้น หลังจากเอกสารนี้ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดและส่งไปรอบ ๆ หลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายแล้วมันก็ไปถึงชั้นใต้ดินที่ฐานทัพ
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เพิ่งจับตาดูการทดลองเสร็จกลับมาที่ห้องทางานแล้วเริ่มอ่านวิทยานิพนธ์เล่นนี้อย่างจริงจัง จากนั้นเขาก็พึมพากับตัวเอง “ฟางหยวน? น่าสนใจ…”
…
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปแล้วและตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูหนาว
ถึงแม้ว่าการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์จะผ่านไปได้ไม่ราบรื่นนัก สุดท้ายแล้วฟางหยวนก็ยังคงสอบผ่าน ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่มหาวิทยาลัยจะมอบใบรับรองปริญญาและจัดหางานแก่นักศึกษาที่จบการศึกษาแต่ว่า มันก็ราวกับทั้งมหาวิทยาลัยซีจิงนั้นลืมเรื่องฟางหยวนไปแล้ว ขณะที่นักศึกษาปีที่สี่นั้นได้รับโอกาสงานเรียบร้อยหมดแล้ว แต่สาหรับฟางหยวนกลับไม่มีข่าวคราวใดเลย
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องผิวเผินเท่านั้น
ฟางหยวนเองก็รู้สึกได้ว่าระดับการรักษาความปลอดภัยที่จับตาเขาอยู่นั้นเพิ่มขึ้นอย่างลับ ๆ มีแม้กระทั่งร่องรอยการเก็บตัวอย่างสมุนไพรที่เขาปลูกไว้ในสวนไปวิเคราะห์
น่าเสียดายที่ฟางหยวนนั้นระมัดระวังตัวเป็นที่สุดและไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย ไม่ว่าพวกเขาจะตรวจสอบกี่ครั้ง ก็ได้ข้อสรุปแบบเดิม ๆ ว่าสมุนไพรพวกนี้นั้นเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาเท่านั้น
ฟางหยวนนั้นคร้านเกินกว่าจะไปวุ่นวายเรื่องนี้และก็ทากิจธุระประจาวันทั้งการฝึกตนและการไปที่โรงพยาบาลไปตามปกติ
หลังจากครึ่งปีผ่านมา ฟางหยวนก็รู้สึกว่าคาถาฝึกพลังธาตุของเขานั้นใกล้จะสาเร็จสมบูรณ์แล้ว เขาแค่ต้องการโอกาสสาคัญที่จะบรรลุผ่านได้เท่านั้น
“หมอฟาง!”
ทันทีที่ฟางหยวนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล หมอคนอื่น ๆ ก็เดินมาหาเขาดวงตาเป็นประกายทันที เหมือนเห็นเทพเจ้า
“หมอเทวดาเสี่ยวฟาง!”
“อาจารย์ฟาง!”
ผู้ป่วยและหมอแถว ๆ นั้นต่างผุดลุกแล้วพุ่งตรงมาหาฟางหยวนราวกับไล่ตามนักแสดงที่ชื่นชอบอย่างนั้น
ตั้งแต่มะเร็งระยะสุดท้ายของเจ้ากัวผิงกลายไปเป็นเนื้องอกธรรมดา และเขายังสามารถออกจากโรงพยาบาลไปทางานได้แล้ว ฉายา ‘หมอเทวดา’ ก็ตกเป็นของฟางหยวน
มีคนมากมายมาที่นี่เพราะต้องการสังเกต สร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้จากฟางหยวน แน่นอนว่า ยังมีผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น ๆ ที่ขอร้องฟางหยวน สายสัมพันธ์ของบางคนนั้นกระทั่งผู้อานวยการหวังก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
เมื่อเห็นอย่างนั้น ฟางหยวนก็ทาได้เพียงย้าว่าการรักษาของเขานั้นยังเป็นเพียงการทดลอง และอาจจะมีผลที่ตามมาและยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง ฟางหยวนนั้นทาได้เพียงพยายามถ่อมตัวและด้วยบางอย่างที่ปกป้องเขาอยู่ เขาก็ยังได้รับความสงบอยู่บ้าง
แน่นอนว่า ก็ยังเกิดเหตุอย่างนี้อยู่ทุกสองหรือสามวัน จากความคลั่งไคล้เรื่องชี่กงเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลายคนก็ต้องการฝึกตนบ้างและยังมาขอร้อง
ฟางหยวนให้รับพวกเขาเป็นศิษย์ มีกระทั่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าโรงพยาบาลถึงสามวันซึ่งทาให้ฟางหยวนถึงกับอยากกลอกตา
ยินดีด้วยพ่อหนุ่ม นายเกือบจะทาสาเร็จแล้ว!
“ศาสตราจารย์เถียน ผู้อานวยการหวัง!”
ในโรงพยาบาล ศาสตราจารย์เถียนและผู้อานวยการหวังนานักวิจัยกลุ่มหนึ่งซึ่งกาลังจ้องมองมาที่ฟางหยวน
“เฮ่ย… เหล่าลู่ที่อยู่มาได้จนถึงตอนนี้ เมื่อเช้านี้เขามีอาการกาเริบรุนแรงหลายครั้งแล้ว…” หมอคนหนึ่งพูดขึ้นดวงตาแดง ๆ
“วันเวลาของเขาถึงที่สุดแล้ว พวกเราจะทาอะไรได้…”
ฟางหยวนส่ายหน้า “ผมจะไปดูเขาเสียหน่อย!”
โดยธรรมชาติแล้ว พลังของมนุษย์นั้นไม่ได้ไร้จากัด เมื่อถึงระยะที่อวัยวะหลายอย่างล้มเหลว มันก็แน่นอนว่าวันเวลาของเขานั้นกาลังจะหมดลงแล้ว และก็ทาได้เพียงดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่านั้น
ทั้งกลุ่มไปถึงห้องรักษาพยาบาลผู้ป่วยหนัก มีอุปกรณ์และเครื่องมือมากมายอยู่รอบตัวลู่เวยที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพไม่รู้สึกตัว
“เขาอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัวระดับลึก พวกเราพยายามทุกวิธีการเพื่อปลุกเขาขึ้นมาแต่ว่าไม่ได้ผล…” ผู้อานวยการหวังพูดเบา ๆ
“ขอเข็มให้ผม!”
ฟางหยวนขมวดคิ้วขณะตรวจดู
ศาสตราจารย์เถียนนาห่อเข็มมาให้ด้วยตัวเอง
ฟางหยวนหยิบเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาและหรี่ตาลงเล็กน้อย
หมอที่รอบ ๆ ยืนนิ่งและเงียบกันทันที หนึ่งในนั้นกระทั่งหยิบกล้องออกมาเริ่มการบันทึก
“ฝุบ!”
ฟางหยวนไม่สนใจว่าที่ด้านหลังเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่เขาหยิบเข็มขึ้นมาเขาก็เข้าสู่ภาวะสงบของจิตใจ ทันใดนั้น ฟางหยวนก็ลงมือ มือขวาของเขาขยับพลิ้วไหวราวสายลม
“ควับ! ควับ!”
แค่พริบตา เหล่าลู่ก็ถูกฝังเข็มทั้งสิบสามเล่มใส่และเขาก็สะดุ้งเบา ๆ
เมื่อฟางหยวนดึงเข็มเล่มที่สองออก เปลือกตาของเหล่าลู่ก็กระตุกก่อนที่เขาจะตื่นขึ้น
“มหัศจรรย์!”
ผู้อานวยการหวังเล่นวิดีโอกลับและส่ายหน้าอย่างจนใจไปด้วยพร้อมกัน “เคล็ดสิบสามเข็มของฟางหยวนนี่ต้องแทงเข็มเข้าสิบสามจุดตามลาดับภายในสามวินาที มีขอบเขตผิดพลาดเพียงศูนย์จุดหนึ่งวินาทีในแต่ระหว่างแต่ละเข็มเท่านั้น! ทั้งคณะแพทย์แผนจีน มีเพียงศาสตราจารย์เถียนที่พอจะฝืนนับได้ว่าทาสาเร็จ… แต่ว่า…”
ผู้อานวยการหวังนั้นได้เห็นประสิทธิภาพของเคล็ดฝังเข็มแต่เพราะเงื่อนไขและความจากัด เคล็ดวิชานี้จึงไม่เป็นที่นิยมนัก ดังนั้น ผู้อานวยการหวังจึงย่อมต้องไม่พอใจ
“หมอฟาง… ผมคิดว่าผมคงไม่รอดไปถึงพรุ่งนี้แล้ว!”
ลู่เวยเปิดปากพูดและยิ้มโดยไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว “แล้วก็ ขอบคุณมาก… ผมมีบ้านอยู่ที่หวังฝูจิง ผมจะมอบบ้านหลังนั้นให้คุณ! แค่ก แค่ก… นี่เป็นความขอบคุณจากผมมอบให้คุณ!”
“อะไรนะ? ตาแก่นี่ยังมีบ้านอีกหลังอยู่เหรอ?”
ที่นอกห้อง ลูก ๆ ของเหล่าลู่โมโหขึ้นมาทันที “พ่อ! พ่อจะลาเอียงแบบนี้ไม่ได้…”
“ทาไมพ่อถึงจะยกของดี ๆ ให้คนนอกล่ะ!”
“อันที่จริง…”
กลุ่มของชายหญิงวัยกลางคนจ้องไปที่ผู้ช่วยชีวิตพ่อของพวกเขา ฟางหยวน อย่างไม่พอใจ ราวกับจู่ ๆ ก็เห็นเขาเป็นศัตรู
“แค่ก แค่ก… พวกแกทั้งหมดมันอกตัญญู พอฉันป่วยและพวกแกก็ไม่มีใครอยากจ่ายค่ารักษา… ฉัน… ฉันไม่มีลูกอย่างพวกแก! หมอฟาง คุณต้องรับไว้นะ!”
ใบหน้าของเหล่าลู่แดงก่า
“คุณลู่ ผมไม่ได้ต้องการของเช่นนี้ แต่ถ้าคุณไม่อยากทิ้งเอาไว้ให้ลูก ๆ คุณก็มอบให้กับประเทศได้นะ!”
ฟางหยวนมีสีหน้าเต็มไปด้วยคุณธรรมขณะพูดต่อ “การรักษาคุณเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางด้านการแพทย์ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ อย่างแน่นอน”