407: วิจัย
โชคดี ที่ไม่เกิดเหตุการณ์ที่ต้องทดสอบความจงรักภักดีของเธอขึ้น
กาลังเสริมมาถึงอย่างรวดเร็ว มีการระเบิดรุนแรงหลายครั้ง ปืนกลถล่มไปทั่วบริเวณ แล้วสถานการณ์ก็พลิกกลับ
กระทั่งสุนัขตัวใหญ่หน้าตาประหลาดยังกลายเป็นเลือดเนื้อกองหนึ่งภายใต้กระสุนที่สาดออกมาของปืนกล
ในชั่วครู่เดียว กองกาลังช่วยเหลือก็เข้ามาในป่าและระบุตาแหน่งของเยี่ยอิงจื่อได้
หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบ ๆ ปลอดภัยดี เยี่ยอิงจื่อก็นาฟางหยวนออกมาดูสภาพการสังหารโหด
แผลกระสุนนั้นไม่ใช่แค่รูเท่าหัวนิ้วแม่มือบนร่างกาย กลับกัน มันทาให้เลือดสาดกระจายออกมาและอวัยวะภายในถูกฉีกกระชาก ทั่วทั้งบริเวณราวกับลานประหารและกระทั่งทหารที่มีประสบการณ์ยังรู้สึกคลื่นไส้เพียงแค่มอง
“ไปกันเถิด!”
ดวงตาของเยี่ยอิงจื่อเหมือนจะมีน้าตาเอ่อขึ้นมา เธอนาฟางหยวนกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของกองกาลังใหม่ พวกเขาเดินทางอีกระยะใหญ่จนในที่สุดก็ถึงฐานที่มั่นพิเศษ
“ผมรับผิดชอบดูแลศูนย์วิจัยมนุษย์เหนือธรรมชาติ ซีเหมินเจียน ยินดีต้อนรับสหายฟางหยวน!”
ชายวัยกลางคนที่ดูอารมณ์ไม่นิ่งคนหนึ่งเดินออกมาต้อนรับฟางหยวนด้วยตนเองและยังตบบ่าเขาเบา ๆ อย่างเป็นมิตร ”ผมได้ยินเรื่องที่คุณเจอเข้ากับปัญหาเล็กน้อยระหว่างทางแล้ว ผมหวังว่าคุณจะไม่เป็นไร!”
“ไม่เป็นไร เพียงแค่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้… ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่าแล้วเหรอครับ? ยังไงผมก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง”
ฟางหยวนฝืนยิ้มออกมา
“แน่นอนว่ามันคุ้มค่า!”
สีหน้าของซีเหมินเจียนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น “คุณรู้ไหมว่าเพื่อปฏิบัติการครั้งนี้ ญี่ปุ่นสละสายลับส่วนใหญ่ที่พวกเขาวางเอาไว้ในเมืองหลวงออกมา ทาให้ความพยายามกว่าสิบปีสูญเปล่าไป… ถ้าพวกเราไปช้ากว่านี้แค่เล็กน้อย พวกเราก็คงสามารถจัดการประชุมสหประชาชาติได้ที่ที่พักของคุณเลยด้วยซ้า!”
ซีเหมินเจี้ยนกล่าวติดตลกและโบกมือ “เอาละ! พวกเราไม่มีเวลาพอจัดงานเลี้ยงต้องรับคุณ ส่งคาสั่งลงไป พวกเราจะเริ่มการประชุมเลย!”
…
ในฐานทัพใต้ดิน
ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมขนาดใหญ่มีสีหน้าจริงจังขณะดูวิดีโอสั้น ๆ
คนทั้งสองกลุ่มตรงนี้ต่างกันมาก กลุ่มหนึ่งนั้นเป็นนักวิจัยซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นนักวิทยาศาสตร์ อีกกลุ่มนั้นเป็นนายทหารนั่งตัวตรงสีหน้าเคร่งขรึม
“นี่คือรายงานสถานการณ์ที่พวกเราได้รับตอนหกโมงเช้าวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีปัญญาอื่น ๆ ที่กาลังจะเกิดขึ้นขณะที่พวกเรากาลังพูดคุยกันนี้… ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพียงแค่ยืนยันว่าทฤษฎีของสหายฟางหยวนเรื่องผลกระทบของพลังจากการมาเยือนของดาวหางราชาวิญญาณ ทฤษฎีการหมุนเวียนรอบใหญ่และการวิวัฒนาการของร่างกายมนุษย์ก็ล้วนเป็นจริง!”
ซีเหมินเจียนดึงดูดความสนใจของผู้ฟังที่อยู่ตรงนี้ได้อย่างรวดเร็วและฟางหยวนก็รู้สึกได้ทันทีว่าทุกคนในห้องนี้มองมาทางเขาและพยายามทาความเข้าใจความคิดของเขา
“เพราะเรื่องนี้ ประเทศจึงได้รับปากมอบทรัพยากรให้ศูนย์วิจัยของเรามากขึ้นเพื่อดาเนินการวิจัยในครั้งนี้ ผมถ่ายทอดคาสั่งทางทหารลงไปแทนหัวหน้าแล้ว พวกเราจะสรุปวิกฤตการณ์นี้ออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ความสาคัญกับการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน!”
หลังจากพูดด้วยน้าเสียงเข้มงวดแล้ว ซีเหมินเจียนก็มองไปทางฟางหยวน “สหายฟางหยวน คุณมีอะไรจะเสริมไหม?”
“อืม อันที่จริงก็มีบางอย่างที่ผมอยากจะพูด!”
ฟางหยวนพยักหน้าและรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้สวมแว่นไว้ให้ได้ทาท่าขยับแว่นอย่างเคร่งขรึม “การเพิ่มขึ้นของพลังนั้นไม่เพียงเป็นประโยชน์กับเหล่าผู้วิวัฒน์เท่านั้น พวกเราจาเป็นต้องให้ความสนใจกับคนที่ได้รับสืบทอดทักษะบางอย่างมาจากบรรพบุรุษด้วย… ตัวอย่างเช่น วิทยายุทธ์ วิชาเต๋า หรืออะไรพวกนี้ พวกเราต้องเข้าใจว่า กระทั่งคนธรรมดาก็มีศักยภาพพอที่จะกลายไปเป็นยอดมนุษย์ได้ในสภาวะเช่นนี้ พวกเราอาจจะรับมือกับคนพวกนี้ได้ยากกว่าเทียบกับพวกผู้วิวัฒน์”
การฟื้นคืนมาของอานาจเหนือธรรมชาติสมัยโบราณนั้นจะนามาซึ่งความเสียหายแก่สังคมปัจจุบัน
ซีเหมินเจียนยังคงสีหน้าเคร่งขรึมเอาไว้ “นั่นก็จริง พวกเราได้คิดถึงจุดนี้เอาไว้แล้วและเพราะอย่างนั้น… ผมจึงจะประกาศชื่อผู้รับผิดชอบแต่ละส่วนใหม่ดังนี้!”
“พรึ่บ!”
ทุกคนในห้องประชุมลุกขึ้นยืน
“…เพื่อรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน สานักศาสนามอบหมายให้สหายซีเหมินเจียนเป็นผู้อานวยการสานัก สหายโจวหมิงเป็นผู้ช่วยผู้อานวยการสานัก หน้าที่ของพวกเขาคือจัดการกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ รับผิดชอบหน่วยเคลื่อนที่เร็วและเป็นหัวหน้ากลุ่มสืบหาความจริง… นอกจากนี้ สหายฟางหยวนจะได้รับเชิญมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ!”
“แปะ! แปะ!”
มีเสียงปรบมือดังขึ้น
ฟางหยวนรู้สึกขัดแย้งขึ้นมาเล็กน้อย ’ไม่ใช่ว่านี่คือสานักสืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติหรอกหรือ? พวกเขาคิดไปไกลถึงขนาดจาแนกให้มันอยู่ภายใต้ศาสนา…’
“เอาละ เริ่มทาหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายได้ แยกย้าย!”
ซีเหมินเจียนนั้นเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดและปิดการประชุมอย่างรวดเร็ว “สหายฟางหยวนรบกวนอยู่ก่อน!”
“ผู้อานวยการ!”
ฟางหยวนคานับลง “คุณมีคาชี้แนะใดให้ผมหรือ?”
“อืม สหายเสี่ยวฟาง คุณกาลังจะได้เข้าร่วมสภาพแวดล้อมของการทางานใหม่ คุณมีความต้องการอะไรหรือไม่? แจ้งผมได้นะ!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าอัจฉริยะตัวจริง ซีเหมินเจียนก็ยังคงมีท่าทางน่านับถืออย่างยิ่ง “ผู้ช่วยผู้อานวยการโจวหมิงก็คือเจ้านายของเหอเทียนหมิง! เขาเป็นหนึ่งในคนที่ส่งคุณไปชั้นเรียนของผู้มีพรสวรรค์ ผู้อานวยการโจว!”
“โอ้ เขานั่นเอง!”
ฟางหยวนมีสีหน้าตกใจ
“อืม… อนาคตของโลกนี้กาลังเปลี่ยนไปและประเทศก็ต้องการผู้มีความสามารถมากขึ้น… บอกคุณอย่างนี้แล้วผมก็หวังว่าคุณจะไม่รู้สึกสับสนอีกต่อไป คุณต้องการอะไรเพิ่มอีกไหม?”
ซีเหมินเจียนถามด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“ถึงแม้ว่าผมจะต้องเก็บเรื่องงานของผมเป็นความลับ แต่ผมก็แน่ใจว่าผมยังมีเสรีภาพส่วนตัวอยู่ถูกต้องไหมครับ?”
ฟางหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม
“ความจาเพาะของหน้าที่ในฐานะนักวิจัยนั้นมีระดับความลับอยู่ แต่ว่า พวกเราไม่ได้จากัดเสรีภาพส่วนบุคคลของคุณ สิ่งเดียวที่คุณต้องทาคือรายงานตัวเมื่อจะออกหรือจะกลับเข้ามาที่ฐาน และทุกอย่างจะต้องได้รับการอนุมัติจากผม นี่ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่าฝ่ายรักษาความปลอดภัยจะสามารถดูแลความปลอดภัยให้คุณได้!”
ซีเหมินเจียนตอบ
“ได้ครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีคาถามอื่น ผมขอเริ่มงานทันทีครับ!”
ฟางหยวนพูดอย่างกระฉับกระเฉง
“ดี!”
ซีเหมินเจียนรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “ถ้าคุณต้องการอะไรอื่นอีกก็บอกผม ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับการทดลอง คุณก็แจ้งได้ตลอดเลย!”
เขาพูดอย่างจริงจัง และฟางหยวนก็รู้ว่าเขาหมายความอย่างนั้น
หลังจากกล่าวลากันแล้ว ฟางหยวนก็ออกจากห้องประชุมไปอย่างเงียบ ๆ
“ที่ปรึกษาฟาง!”
เยี่ยอิงจื่อยืนอยู่ข้างประตูเหมือนเธอมารออยู่สักพักหนึ่งแล้ว “ฉันจะเป็นทหารประจาตัวของคุณตั้งแต่นี้ไป! ให้ฉันพาคุณไปที่ห้องพักนะคะ!”
“ทหารประจาตัว?”
ฟางหยวนดูงุนงง
“ใช่ค่ะ! ถึงแม้ว่าคุณจะยังต้องผ่านพิธีการอย่างเป็นทางการก่อน แต่ว่าในฐานข้อมูล ตอนนี้คุณมีตาแหน่งเป็นนายพันตรีคนหนึ่งแล้วค่ะ!”
เยี่ยอิงจื่อทาวันทยาหัตถ์ให้ฟางหยวน
“อ้อ…”
ฟางหยวนเริ่มตรวจสอบรอบด้านที่ดูประหลาดตา “ที่นี่ไม่เลวเลย!”
ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องทดลองใต้ดิน แต่สิ่งอานวยความสะดวกที่นี่ก็เป็นระดับสุดยอดและเหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
แน่นอนว่า นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากนั้นอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีกันหมดแล้ว พวกรุ่นเยาว์จึงดูโดดเด่นมากในหมู่พวกเขา “คุณก็คือฟางหยวน? ผมหลี่จือหลง เป็นศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา ผมอ่านวิทยานิพนธ์ของคุณเกี่ยวกับเหล่าผู้วิวัฒน์อยู่หลายต่อหลายรอบ แต่มันก็ยังไม่น่าเชื่อเลย…”
ชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีผู้หนึ่งจับมือกับฟางหยวนอย่างยินดี “มีคุณเพิ่มเข้ามา พวกเราก็เก่งกาจขึ้นกว่าเดิม!”
“พวกคุณก็ยอดเยี่ยมอยู่แต่เดิมแล้ว…”
ฟางหยวนมีท่าทีถ่อมตัว
หลี่จือหลงนั้นมีภูมิหลังสูงส่ง และดวงตาอันกระตือรือร้นของเขาก็ทาให้ฟางหยวนคิดว่าคนผู้นี้อันตราย
เมื่อใช้เนตรเพลิงสีทอง ฟางหยวนก็มองเห็นได้ว่าพลังชีวิตของคนผู้นี้นั้นเข้มข้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสมอง เขาเป็นหนึ่งในผู้วิวัฒน์ที่มีสมองวิวัฒนาการไป หนึ่งในอัจฉริยะใหม่หมู่อัจฉริยะ
“ผมยังมีอีกเรื่อง ผมเป็นผู้วิวัฒน์คนหนึ่งที่มีการวิวัฒนาการของสมอง และการวิวัฒน์ของผมก็สมบูรณ์ไปยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว! ผมเพิ่งปลุกพลังจิตของตัวเองได้เมื่อวานนี้เอง!”
หลี่จือหลงขยับแว่นและมือที่จับกับฟางหยวนอยู่ก็เปี่ยมไปด้วยพลัง “แน่นอนว่า ความสามารถของผมนั้นเป็นแค่พื้นฐานและยังต้องได้รับการฝึก!”
“หืม?!”
ฟางหยวนประหลาดใจที่หลี่จือหลงเปิดเผยออกมาและเริ่มคิดถึงตัวเอง
ฟางหยวนนั้นตลอดมาทาตัวเหมือนเป็นอัจฉริยะที่มีสมองอันสุดยอดใช่ไหมเล่า?
ในเมื่อหลี่จือหลงนั้นไม่ได้คิดที่จะปิดบังอันใดไว้ เขาย่อมได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเบื้องบน
สาหรับทุกองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ยิ่งมีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
“ผมเองก็แค่ฉลาดกว่าคนทั่วไปเท่านั้น ว่าแต่ คุณวัดอัตราการพัฒนาของสมองได้อย่างไรเหรอ?”
ฟางหยวนสนใจ
“ก่อนหน้านี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทุกอย่างต่างออกไปแล้วตอนนี้!”
ดวงตาของหลี่จือหลงเต็มไปด้วยความชื่นชม “คุณสนใจจะเข้ารับการทดสอบเหรอ?”
“มันก็จะดูเป็นการไม่สุภาพเกินไปถ้าปฏิเสธข้อเสนอของคุณ!”
ฟางหยวนยิ้มแล้วตามหลี่จือหลงเข้าไปในห้องทดลอง
“ผมอยากรู้อย่างหนึ่ง พวกเราไปหาผู้เข้าร่วมวิจัยมาจากที่ไหนเหรอ?”
ฟางหยวนถามอย่างไม่รู้เรื่องราว
“นี่… ส่วนมากแล้วเป็นอาสาสมัครจากกองทัพ ผมเองบางครั้งก็อาสาเข้าร่วมด้วยเหมือนกัน…”
หลี่จือหลงตอบโดยไม่ลังเล ”แน่นอนว่า… ก็มีพวกนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ด้วยเหมือนกัน… แต่ว่า พวกเราไม่ได้ทาการทดลองที่เป็นอันตราย ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น…”
‘ใครจะไปคิดว่า… หลี่จือหงจะตลกฝืดขนาดนี้…’
ฟางหยวนนั่งลงที่โซฟาและไม่ได้พูดอะไรออกไป ลวดหลายเส้นถูกนามาติดกับศีรษะของเขา
“นี่คืออุปกรณ์ล่าสุดที่ผมพัฒนาขึ้น เครื่องวัดคลื่นสมอง มันจะสามารถรับข้อมูลจากสมองของมนุษย์และจากนั้นก็คาดเดาระดับการพัฒนาของสมอง… แต่ว่า น่าเสียดายที่ยังมีเครื่องนี้แค่เครื่องเดียว!”
หลี่จือหงเริ่มแตะหน้าจอที่ข้าง ๆ อุปกรณ์ ปลายนิ้วของเขาขยับรวดเร็วและไม่ช้ารูปก็ปรากฏขึ้น
เครื่องพิมพ์ที่ด้านข้างหน้าจอเริ่มมีชีวิตขึ้น ขีดเส้นหยัก ๆ ออกมาบนกระดาษชิ้นหนึ่ง
สิบนาทีต่อมาหลี่จือหงก็ขยับแว่นและอ่านผล
“อย่างที่ผมคิดเลย! สมองของคุณมีการพัฒนาไปถึงสิบห้าเปอร์เซ็นต์! คุณยังฉลาดกว่านักวิทยาศาสตร์ระดับสูงในโลกด้วยซ้า!”
“แค่สิบห้าเปอร์เซ็นต์เหรอ?”
ฟางหยวนขยับนั่งตัวตรงอย่างสงบ สวมเสื้อผ้าและไม่ได้ดูไม่พึงพอใจแต่อย่างใด
“อืม คนทั่วไปจะมีระดับการพัฒนาแค่ประมาณหนึ่งถึงห้าเปอร์เซ็นต์ และนักวิทยาศาสตร์ที่ฉลาดที่สุดก็มีการพัฒนาอย่างมากก็สิบเปอร์เซ็นต์…”
มีเปลวไฟลุกโชนในดวงตาของหลี่จือหลง “คุณเหมือนผมเลย! คุณปลุกความสามารถพิเศษอะไรขึ้นมาได้หรือเปล่าเมื่อคืนนี้?”
“วิชาฝังเข็มของผมนี่นับไหม?”
ฟางหยวนเอียงคอและใช้ข้ออ้างที่เขาเตรียมเอาไว้นานแล้ว “ผมสามารถรู้สึกได้ว่า ‘พลัง’ ในร่างกายกาลังเพิ่มขึ้น ถ้าผมทาการฝังเข็มตอนนี้ ผมแน่ใจว่าผมจะทาสิ่งที่ก่อนหน้านี้ทาไม่ได้ได้!”
“พวกเรารู้เรื่องวิชาฝังเข็มของคุณอยู่ก่อนแล้ว พันตรีฟางหยวน! ไม่ต้องพูดถึงว่า ในด้านการรักษา คุณน่ะเหนือกว่าระดับมาตรฐานของโลกนี้แล้ว…”
หลี่จือหลงพูดต่อ ”ฟางหยวน คุณจะมุ่งทาการวิจัยในกับพวกผู้วิวัฒน์ใช่ไหม?”
“อันที่จริงแล้ว ผมมีความคิดหนึ่งอยู่ในใจมาตลอด…”
ฟางหยวนพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังทาลายของผู้วิวัฒน์นั้นรุนแรงเกินไป ต่อให้พวกเราสามารถหาทางแก้ไขให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมได้ชั่วคราว พวกเราก็ยังอาจจะไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ในอนาคต ดังนั้น ผมจึงมีความคิดหนึ่งที่อาจจะสามารถแก้ไขสถานการณ์นี้ได้…”