419: คนขับรถ
ถึงที่สุดแล้ว ต้นหลิวพันปีก็ยังเป็นเพียงต้นไม้ ถึงแม้ว่ามันจะพัฒนาไปมากจากการเกิดปรากฏการณ์และมีความคิดเป็นของตนเองจากการดูดซับหยาดพลัง มันก็ยังมีจิตใจอันเรียบง่าย ผ่านมายี่สิบปีอย่างมากมันก็เทียบได้กับสัตว์ฉลาด ๆ สักตัวเท่านั้น
ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังจิตอันแข็งแกร่ง มันก็ยังไม่นับเป็นอะไรเลยสาหรับฟางหยวน
ฟางหยวนยืนอยู่ที่เดิม หลับตาแล้วปล่อยให้พลังจิตของต้นหลิวโจมตีเขาก่อนที่จะโจมตีกลับด้วยพลังจิตของตัวเองแล้วก็รื่นรมย์ไปกับกระบวนการดูดซับพลังวิญญาณของต้นไม้
“แกร่ก!”
ในร่างของเขา คาถาฝึกพลังธาตุนั้นบรรลุระดับที่สองแล้ว
แถบสะสมประสบการณ์ยังถูกเติมจนถึงกึ่งหนึ่งในพริบตา
กระบวนการดูดซับนั้นใช้เวลาแค่ครู่เดียว ทันทีที่ฟางหยวนได้สติขึ้นมา ตอต้นหลิวที่เหลืออยู่ทั้งหมดก็กลายไปเป็นท่อนไม้แห้ง ๆ แล้วก็สลายกลายเป็นผงไปทันทีที่แตะถูก
ในมือของเขา ตอนนี้เขามีแก่นของต้นไม้สีเขียวมรกตซึ่งมีขนาดราวกับไข่ฟองหนึ่งอยู่ มันใสและยังส่องประกายที่ระยิบระยับยิ่งกว่าเพชรและยังดูเต็มไปด้วยชีวิต
“นี่เป็นแก่นพลังที่ต้นหลิวนั่นใช้ แต่ว่า สาหรับข้า มันก็เหมือนกับพลังแห่งลมของจาไน ทั้งหมดล้วนเป็นพลังจากภายนอก ถึงแม้ข้าจะสามารถดูดซับมันได้ มันก็มีข้อเสียมากกว่าข้อดี ข้าคงต้องเก็บมันเอาไว้เป็นสมบัติเผื่อมันจะช่วยในการฟื้นฟูเบื้องต้นได้ในอนาคต!”
เมื่อตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ฟางหยวนก็พบว่าพลังวิญญาณบริสุทธิ์ของต้นหลิวนั้นถูกเขาดูดซับไปแล้วเมื่อครู่ก่อนและนี่ก็คือสิ่งที่เหลืออยู่
แน่นอนว่า สาหรับคนทั่วไป นี่ย่อมนับเป็นของล้าค่าที่มีความสามารถในการคืนชีวิตให้กับคนตาย
ถึงตอนนี้ ฟางหยวนก็มองหน้าต่างสถานะของตัวเองและพบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 5.0
พลังลมปราณ: 20.0
พลังเวทย์: 20.0
สายวิชา: ???
การฝึกตน: ???
วิทยายุทธ์: [คาถาฝึกพลังธาตุ (ระดับ 5 (55 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิงสีทอง (ระดับ 1)]”
“คาถาฝึกพลังธาตุ: ระดับที่หนึ่ง สามารถสร้างร่างรองรับหยาดพลังและเพิ่มความสามารถในการสัมผัสพลัง! คาถาฝึกพลังธาตุระดับที่สอง นั้นเพิ่มความสามารถในการปลดปล่อยพลัง! คาถาฝึกพลังธาตุระดับที่สามสาเร็จแล้ว! ตอนนี้คุณมีความสามารถในการใช้พลังวิญญาณ!”
“ความสามารถในการใช้พลังวิญญาณ… ไม่ใช่ว่านี่เป็นทักษะในระดับอันตรายของข้าหรอกหรือ?”
ฟางหยวนคิด
อันที่จริงแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ความสามารถของเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้วิวัฒน์ระดับอันตรายเลยเมื่อเทียบกันแล้ว แต่ว่า เพราะว่าเขาสามารถใช้ความสามารถของตนได้อย่างเต็มที่และยังมีวิชาที่คาดเดาไม่ได้มากมาย เขาจึงสร้างภาพลวงตาว่าตัวเองเป็นผู้วิวัฒน์ระดับหายนะ ทั้งหมดล้วนเป็นแค่ภาพมายาเท่านั้น
“คาถาฝึกพลังธาตุต่างระดับกันนั้นอันที่จริงก็คือระดับของผู้วิวัฒน์ อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาที่ข้าสร้างขึ้นมาตามกฎของอาณาจักรแห่งนี้…”
ความคิดต่าง ๆ วิ่งวนในใจฟางหยวน
ถ้าเขาเป็นคนธรรมดา การสาเร็จระดับที่หนึ่งย่อมทาให้เขาสามารถสร้างร่างรองรับหยาดพลังและเพิ่มสัมผัสพลังของตนเองขึ้น นี่ทาให้เขาได้เป็นผู้วิวัฒน์ระดับมนุษย์
การสาเร็จระดับที่สองทาให้เขามีความสามารถในการปลดปล่อยพลังวิญญาณและนี่ก็ทาให้เขาเทียบเท่ากับนักบวชเต๋าแซ่กั๋วและไนท์ก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่สอง เขาก็นับได้ว่าเป็นผู้วิวัฒน์ระดับภูติผีที่มีความสามารถในการร่ายคาถา
ตอนนี้ที่ระดับที่สาม พร้อมความสามารถในการใช้พลังวิญญาณ ฟางหยวนย่อมมีความสามารถที่จะรับมือกับทั้งกองทัพและพวกผู้วิวัฒน์อื่น ๆ ที่ร่วมมือกัน ทาให้ตอนนี้เขานับได้ว่าอยู่ที่ระดับอันตรายแล้ว
ฟางหยวนใช้เจตจานงเวทย์ส่งคาสั่งออกไป และแค่พริบตาเดียว เขาก็หายตัวไป
ไม่! เขาไม่ได้หายตัวไป ตรงที่เขาเคยยืนอยู่นั้นมีเงาเงาหนึ่ง
“ข้าอยู่ที่นี่ และในเวลาเดียวกันข้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่… พูดให้ง่ายขึ้นก็คือ ข้าสามารถกลายไปเป็นภาพมายาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ และอย่างนั้นก็จะสามารถหลบกระสุนและการโจมตีรุนแรงได้… มีแค่เคล็ดวิชานี้ที่ข้าจะสามารถรับมือกับกองทัพของทั้งประเทศและมีศักยภาพมากพอที่จะปกครองโลกนี้!”
ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ฝึกตนมาจนถึงระดับนี้ พวกเขาก็ย่อมสามารถรับมือกับผู้วิวัฒน์ที่เก่งกาจอย่างจาไนได้ซึ่งหน้า
ในเมื่อนี่เป็นฟางหยวน มันย่อมหมายความว่าพลังของเขานั้นเหนือกว่าหลายเท่าตัว และนี่ก็หมายถึงพลังในการทาลายล้างเช่นกัน
“ถ้าข้าฝึกฝนต่อไป คาถาฝึกพลังธาตุระดับที่สี่ย่อมเป็นพลังของผู้วิวัฒน์ระดับหายนะ… ข้ายังไม่รู้ว่าข้าจะไปได้ไกลแค่ไหนก่อนที่จะสามารถใช้พลังของที่นี่ได้…”
“แต่ว่า ข้าก็เป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดบนโลกนี้แล้วและสามารถขึ้นไปถึงระดับนั้นได้แน่นอน! เทียบกันแล้ว ไม่มีใครสามารถมีพลังมากกว่าข้าได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือผู้วิวัฒน์!”
ฟางหยวนกาหมัดแน่นแต่ก็ยังสงบท่าที “ขั้นต่อไป… ก็คือเก็บกวาด ถูกต้องใช่หรือไม่? เก็บกวาดทุกจุดชีพจรพลังที่บนโลกนี้และผลักดันขีดจากัดของข้าไปให้ถึงที่สุดก่อนและรอคอยการมาถึงของปรากฏการณ์ครั้งที่สามอย่างสงบ!”
ตามทฤษฎีของเขาแล้ว ความเข้มข้นของหยาดพลังจะเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าเทียบกับปัจจุบันนี้
เมื่อเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่สี่ ดาวหางราชาวิญญาณก็จะมาถึงและเข้าสู่วงโคจรของดาวโลก
ดังนั้น โอกาสสุดท้ายของเขาก็คือปรากฏการณ์ครั้งที่สาม!
“แต่ว่า… ในประเทศจีน ข้าได้ตรวจสอบทุกซอกมุมแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสิ่งใดที่ร้ายกาจยิ่งกว่าการกลายพันธุ์ของต้นหลิวโบราณนี้…”
ขีดจากัดของทุก ๆ ระดับย่อยของคาถาฝึกพลังเวทย์นั้นยากขึ้นกว่าระดับก่อนหน้าเป็นหลายเท่า
เหลืออีกแค่ 45 ส่วนใน 100 ส่วน แต่ฟางหยวนก็รู้ว่าต่อให้ดูดซับต้นหลิวพันปีอีกต้นได้ก็ตามมันก็ยังไม่เพียงพอ
เขาถอนหายใจ สายตามุ่งไปทางตะวันตก “หรือต่อจากนี้ไป… ข้าควรจะไปที่ต่างทวีป?”
เมื่อคิดถึงตัวตนของฟางหยวนแล้ว ซีเหมินเจียนไม่มีทางปล่อยให้ฟางหยวนออกจากประเทศไปได้ และฟางหยวนก็วู่วามไม่ได้
เขาเข้าร่วมกับศูนย์วิจัยเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์และสัมผัส เพื่อให้ตัวเขาเองได้ตั้งสมมติฐานอันสมบูรณ์แบบเกี่ยวกับกฎของโลกใบนี้รวมทั้งการฝึกตนของเขา
ตอนนี้ เขาก็จะจากไปด้วยเหตุผลเดียวกัน เพื่อให้บรรลุระดับการฝึกตนที่สูงขึ้น
เส้นทางของการฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับว่าคนผู้นั้นสามารถทาตามความต้องการได้หรือไม่!
ในเมื่อเขาได้ทิ้งบางอย่างเอาไว้ให้ประเทศแล้ว จะยังมีอะไรรั้งเขาเอาไว้ได้อีก?
…
หลังจากนั้นหลายวัน
สหพันธ์อินทรีทอง เมืองกระจิบม่วง
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสและบางครั้งก็มีปุยเมฆสีขาวลอยผ่าน
ที่ด้านนอกเมือง มีพื้นที่ว่างเปล่าแปลงใหญ่ที่มีเรือเหาะลาใหญ่ลงจอด
ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างเครื่องบินขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังนับว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดและค่าใช้จ่ายในการขึ้นเครื่องบินก็ยังคงแพงมากเมื่อเทียบกับเรือเหาะ
ดังนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารีบร้อน วิธีการขนส่งทั้งคนและสินค้าหลัก ๆ ก็ยังคงเป็นการใช้เรือเหาะ
สนามบินที่เมืองกระจิบม่วงนั้นเป็นหนึ่งในสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในสหพันธ์อินทรีทองและยังมีผู้โดยสารกว่าหมื่นคนและสินค้ากว่าหมื่นตันผ่านเข้าออกสนามบินนี้ทุกวัน
ตอนนี้ เรือเหาะร่อนลงและผู้คนทุกสัญชาติก็เริ่มลงมาก่อนที่จะมองไปที่สถาปัตยกรรมของประเทศนี้
ในฐานะบ้านเกิดของการปฏิวัติเทคโนโลยี ถึงแม้ว่ามันจะย่าแย่ลงหลังจากสงครามโลก สหพันธ์อินทรีทองก็ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งและสมกับที่ได้รับการขนานนามเป็น ‘ประภาคารแห่งฝั่งตะวันตก’ ในด้านวัฒนธรรม นี่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาสารวจและเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศนี้หรือกระทั่งอพยพมาที่นี่เพื่อความเป็นอยู่ดีขึ้น
“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่เมืองกระจิบม่วง กรุณาเดินออกไปตามทางออกของสนามบินอย่างเป็นระเบียบและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและรถบริการนั้นอยู่ที่…”
จากลาโพง มีเสียงผู้หญิงพูดด้วยภาษาของสหพันธ์ดังมา
ฟางหยวนลดแว่นกันแดดลงและมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ
เขาต้องยอมรับว่าสหพันธ์อินทรีทองนั้นพัฒนาไปได้ดีและยังเต็มไปด้วยบรรยากาศสมัยใหม่ แต่ว่า ก็เท่านั้นแหละ
“หวังว่า ข้าจะสามารถตามหาสิ่งที่ต้องการเจอ!”
ฟางหยวนพึมพากับตัวเองขณะเดินตรงไปที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง
“กรุณาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด้วยครับ!”
เมื่อคนผิวขาวสองคนเห็นสีผิวของฟางหยวน พวกเขาก็มีสีหน้าไม่พอใจนักและเริ่มดูหมิ่นเขา “แล้วก็… แสดงเอกสารการเดินทางของคุณด้วย!”
“ได้!”
ฟางหยวนตอบด้วยภาษาของสหพันธ์อย่างเชี่ยวชาญก่อนจะดึงหนังสือเดินทางออกมา
แน่นอนว่า หนังสือเดินทางนี้เป็นของปลอม ถึงแม้ว่าสหพันธ์อินทรีทองต้องเต็มใจต้อนรับศาสตราจารย์ฟางอย่างเต็มที่และฟางหยวนก็คงไม่ต้องใช้หนังสือเดินทางเลยด้วยซ้าและยังอาจจะได้รับการรับรองเป็นพลเมือง เขารู้ว่าตัวตนของเขานั้นพิเศษ ถ้าเขาเผยตัวตนแท้จริงออกไป เขาก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากประเทศอีกเป็นแน่
ดังนั้น เขาจึงทาหนังสือเดินทางปลอมขึ้นมา
แต่ว่า หลังจากชาเลืองมองที่หนังสือเดินทางแล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็คืนหนังสือเดินทางให้ฟางหยวนด้วยกริยาหยาบคายก่อนจะให้สัญญาณเขาผ่านออกไปเร็ว ๆ
พลเมืองของสหพันธ์อินทรีทองนั้นเป็นพวกหัวสูง
พวกเขาเป็นศูนย์กลางของความศิวิไลซ์ ไม่ว่าพวกเขาจะอ่อนแอแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงเป็นประเทศที่มีอานาจที่สุดของฝั่งตะวันตก และยังเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลก
“หึ…”
ฟางหยวนแบกกระเป๋าของเขาแล้วออกจากสนามบิน หันเราะกับตัวเอง
ถ้าไม่เพราะว่าเขาต้องทาตัวให้ไม่เป็นที่สะดุดตาเข้าไว้ เขาก็คงสอนบทเรียนให้พวกหัวสูงสองคนนั้นไปแล้ว
‘ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถลงมือกับร่างกายของพวกเขาโดยตรงได้ แต่มันก็ไม่เลวเลยถ้าข้าจะปล่อยพลังด้านลบใส่พวกเขา ให้พวกเขาล้มป่วยไปในภายหลัง…’
หลังจากแก้แค้นแล้ว เขาก็รักษาท่าที เดินออกไปที่ถนนด้านนอก
“เฮ้! น้องชาย นายมาจากทวีปกลางใช่ไหม?”
คนขับรถผิวขาวจับตามองฟางหยวนแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้น “ฉันชื่อจอห์น! นายกาลังมองหารถรับจ้างอยู่ใช่ไหม?”
สาหรับเขาแล้ว ฟางหยวนนั้นเป็นแพะอ้วนรอให้เชือด สาหรับฟางหยวนที่ดูอ่อนเยาว์และดูงวยงงไปกับเมืองใหญ่ ที่สาคัญที่สุดก็คือเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เขาน่าจะต้องพกเงินไว้ในตัวเยอะทีเดียว!
“ใช่แล้ว!”
มองสีหน้าเจ้าเล่ห์ของคนขับรถแล้ว ฟางหยวนก็คิดถึงชีวิตก่อน ๆ ของเขาที่คนขับรถพวกนี้หลอกเอาเงินผู้อื่น
แน่นอนว่า สิ่งที่สะดุดความสนใจของเขามากกว่าก็คือกลิ่นเลือดที่ลอยออกมาจากตัวจอห์น
“ผมต้องการไปที่ไชน่าทาวน์ คุณรู้ทางไปที่นั่นไหม?” ฟางหยวนยิ้มแหย ทาท่าเหมือนลูกค้าซื่อ ๆ
“แน่นอน… ฉันโตมาในหมู่บ้านติดกับไชน่าทาวน์เลย ขึ้นรถแล้วเดี๋ยวฉันจะไปส่งนายที่นั่นด้วยราคาลดเหลือแค่สิบห้าเหรียญเท่านั้น!”
จอห์นตรงเข้าไปอย่างมืออาชีพรับกระเป๋ามาจากฟางหยวน “ไปกันเถอะ… ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงที่นั่นแล้ว!”
“อืม!”
ฟางหยวนเข้าไปนั่งในรถยนต์ไอน้าที่ดูเก่า ๆ และจอห์นก็ยิ้มกว้างขณะปิดประตูให้เขา “น้องชาย.. ยินดีต้อนรับสู่เมืองกระจิบม่วงนะ!”
“บรึ้น!”
ขณะที่รถพลังไอน้าคารามอย่างมีชีวิตชีวา หูอันไวของฟางหยวนก็สามารถจับเสียงของคนอื่น ๆ ได้
‘เหอเหอ… หนูสกปรกจอห์นมีการค้าอีกแล้ว!’
‘ชาวต่างชาติผู้โชคร้าย!’
‘หวังว่าพระเจ้าจะอวยพรเขานะ…’
…
‘ดูเหมือนว่า… คนผู้นี้จะไม่ใช่คนขับรถธรรมดาที่ต้องการหลอกเงินข้าแล้ว!’
ฟางหยวนลดหมวกลงและเผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา
ขณะที่รถสีดาคันนี้บีบแตรวิ่งไปตามถนน ในไม่ช้าพวกเขาก็ไปถึงแถบอุตสาหกรรมรกร้าง มีโรงงานร้างและโกดังเก็บของเก่า ๆ อยู่ทั่วไป
“นี่คือไชน่าทาวน์เหรอ? ทาไมมันดูเหมือนว่าพวกเราออกห่างจากเมืองมาเรื่อย ๆ เลยล่ะ?”
ฟางหยวนมองรอบ ๆ แล้วถามออกไปอย่างสบาย ๆ
“ถูกแล้ว ถูกแล้ว…”
จอห์นยิ้มเจ้าเล่ห์และสีหน้าชั่วร้ายก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาขณะคิดถึงว่าฟางหยวนตกเป็นเหยื่อของเขาแล้ว