435: ปรากฏการณ์
ใกล้ถึงปลายปี 1014 แล้ว ชีวิตของหลายคนไม่สงบสุขแล้ว
ปรากฏการณ์ครั้งที่สามนั้นได้รับการพิสูจน์โดยทฤษฎีการเพิ่มขึ้นของหยาดพลัง ผู้วิวัฒน์และผู้ฝึกตนหลายคนรอคอยมันอย่างกระวนกระวาย
ยิ่งไปกว่านั้น ในทวีปตะวันออกและตะวันตก เกิดข่าวลือเรื่องจุดจบของโลกมากมายเพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กาลังเกิดขึ้น
ฐานทัพใต้ดิน เมืองหลวงของประเทศจีน
“กรุณาแยกย้ายกันออกไปและจับตามองเหล่าผู้วิวัฒน์และผู้ฝึกตนดั้งเดิมที่อยู่ในระดับอันตราย… แต่ละเมืองใหญ่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมเพื่อปกป้องคนทั่วไปจากการมีพลังขึ้นมาอย่างกะทันหันและอาจจะก่ออุบัติเหตุได้!”
ซีเหมินเจียนนั้นแก่ขึ้นมาก ผมขาวโพลน แต่ถึงอย่างนั้น ความสง่าและอานาจที่แผ่ออกจากร่างของเขาก็ชัดเจนขึ้น
เพื่อรับมือกับปรากฏการณ์ครั้งนี้ ประเทศได้กระจายอานาจออกจากศูนย์กลางไป ดังนั้น ตอนนี้สานักศาสนาจึงกลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ไม่เพียงแค่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จะกองกาลังตารวจและผู้มีอานาจในท้องถิ่น สานักศาสนายังสามารถออกคาสั่งแก่กองทัพได้ด้วย
ด้วยอานาจเช่นนี้ ความรับผิดชอบย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองหลวง ตรวจสอบทุกคนซ้าอีกครั้ง! นอกจากคนของเราแล้ว ต่อให้เป็นผู้วิวัฒน์ระดับภูติผีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้พานักอยู่!”
ซีเหมินเจียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเพิ่มคาสั่งอื่น
อย่างไรเสีย ถัดจากระดับภูติผีก็เป็นระดับอันตราย การทาลายล้างที่พวกเขาสามารถก่อขึ้นนั้นก็มหาศาลเช่นกัน
แน่นอนว่า ด้วยจานวนประชากรในเมืองหลวง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจสอบทุกคนโดยตลอด
ถ้ามีผู้วิวัฒน์ระดับอันตรายแอบซ่อนอยู่ในเมืองหลวง ฉวยโอกาสนี้บรรลุระดับและการควบคุมก็ไม่เข้มงวดพอที่จะป้องกันไม่ให้เขาใช้พลังของตัวเองได้… ซีเหมินเจียนไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถัดจากนั้น
“เฮ่ย… เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะควบคุมได้! หลังจากเรื่องนี้แล้วฉันควรจะเกษียณตัวเองแล้ว!”
ซีเหมินเจียนคิดถึงการลาออกอยู่เงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ลูบหว่างคิ้วตัวเองแล้วถาม “หน่วยมังกรเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พวกเขากระจายตัวออกไปเพื่อดูแลความปลอดภัยของระดับสูงหลายคนนั้น…” หนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมตอบ
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะจากไปแล้ว หน่วยมังกรก็ยังเป็นไพ่ตายของสานักศาสนาเหมือนเดิม
“เพียงแต่… หลังจากเทพแห่งสายฟ้าจากไป พวกเราก็สูญเสียอานาจในการป้องปรามพวกที่มีพลังสูง ๆ เหล่านั้น…”
“แล้วก็ เกี่ยวกับกระบวนการสร้างเครื่องตรวจจับหยาดพลังที่ขนาดเล็กลงและพกพาได้… หากศาสตราจารย์ฟางหยวนยังอยู่ เขาคงจะพัฒนามันขึ้นมาได้อย่างง่ายดายภายในไม่กี่เดือน แต่ตอนนี้ มันใช้เวลานานหลายปีแล้วแผนกวิจัยก็ยังคงไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้สาเร็จ…”
หัวหน้าของหลาย ๆ แผนกต่างถอนหายใจ “ถ้าเพียงแต่เทพแห่งสายฟ้าและศาสตราจารย์ฟางหยวนยังอยู่ละก็…”
“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นแล้ว ไม่ใช่ว่ามีคนใหม่ที่ดีพอที่จะใช้งานได้อยู่เหมือนกันเหรอ?”
ซีเหมินเจียนปวดหัวจี๊ดและเขาก็รู้สึกจนปัญญาขึ้นมาเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าเขาจะคาดเดาเอาไว้โดยคร่าวแล้ว หลังจากคิดถึงบุคคลผู้มีพลังที่อาศัยอยู่ที่เมืองหรงเชิง เขาก็ไม่กล้าใช้วิธีการหรือกลยุทธ์เสี่ยง ๆ ใด
อย่างไรซีเหมินเจียนก็กระจ่างดีว่าผู้วิวัฒน์ที่มีพลังเหลือเฟือนั้นจะทาอะไรได้บ้าง
ในตอนนี้ กาลังคนและเทคโนโลยีที่อยู่ภายใต้อานาจของซีเหมินเจียนนั้นก็ไม่ด้อยเช่นกัน แต่ว่า เขาก็แค่ไม่มีคนที่เป็นหัวเรือใหญ่อย่างฟางหยวน
อย่างไรเสีย ก่อนปรากฏการณ์ครั้งที่สาม ก็ไม่มีผู้วิวัฒน์คนใดจะสามารถบรรลุขั้นที่สี่ได้ และนี่ก็เป็นกฎของอาณาจักรนี้
“แล้วก็ เมืองหรงเชิงนั่น…”
ซีเหมินเจียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ “สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เพราะข้อตกลงกับ ‘คนผู้นั้น’ กองกาลังที่พวกเราวางไว้ที่นั่นนั้นอ่อนที่สุด ตอนนี้ กลุ่มผู้วิวัฒน์นั้นนาโดยสหายเจ้าต้าหนิว และฝ่ายทหารนั้นมีเยี่ยอิงจื่อถือบังเหียนอยู่!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งขยับแว่นแล้วพูดต่อ “เพียงแต่ เมื่อเร็ว ๆ นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น พวกเราตรวจพบการเคลื่อนไหวของผู้มีพลังจากต่างชาติหลายคน สัญชาติของพวกเขานั้นยังไม่ทราบได้… พวกเราควรจะโยกย้ายกาลังไปเพิ่มหรือไม่?”
ซีเหมินเจียนตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ในที่สุดจะตัดสินใจ
“ไม่จาเป็น! ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก่อน! ปิดการประชุม!”
…
ไม่เพียงแค่ในประเทศจีน แต่ประเทศอื่น ๆ ก็เริ่มมีการจัดการต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบ
พร้อมกับเสียงระฆังปีใหม่ การป้องกันนั้นขยับไปที่จุดสูงสุด
สมาพันธ์บลูสตาร์
สมาพันธ์บลูสตาร์นั้นเป็นสมาพันธ์ที่ก่อตั้งขึ้นโดยประเทศเล็ก ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในทวีปตะวันออก จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือความร่วมมือสมบูรณ์ทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ และดังนั้นจึงกลายเป็น
กองกาลังขนาดใหญ่ที่สามารถแข่งกับสหพันธ์อินทรีทองและประเทศจีนได้
เดิมทีนั้นมีประเทศสมาชิกเพียงสี่หรือห้าประเทศเท่านั้น แต่ตอนนี้ สมาพันธ์ได้ขยายออกจนมีสมาชิกถึง 47 ประเทศ
ที่รอบ ๆ เทือกเขาโฮลี่ จักรวรรดิสิงโตสวรรค์สีคราม
คนมากมายมารวมตัวกันเพื่อฉลองปีใหม่ พวกเขามีกันกว่าสามแสนคน แต่ละคนถือเทียนเอาไว้
มีผู้นาแห่งศรัทธาแห่งคูเรียหลายคน ที่ในวังแพลตินั่มบนยอดเขาโฮลี่ สันตะปาปาและหัวหน้าบาทหลวงหลายคนในชุดคลุมสีแดงจับตามองภาพด้านนอกอยู่อย่างเงียบ ๆ
“ปรากฏการณ์ครั้งที่สาม… นี่เป็นพยากรณ์แห่งพระเจ้า เป็นเวลาที่พระองค์จะกลับมา!”
บาทหลวงในชุดคลุมสีแดงผู้หนึ่งพูดขึ้น ผมของเขาเป็นสีดอกเลาไปแล้ว เขายังมีรอยย่นลึกอยู่บนใบหน้า และร่างกายของเขาก็แผ่พลังแห่งฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง
มันแตกต่างไปจากพลังของผู้วิวัฒน์และผู้ฝึกตน มันเป็นพลังวิญญาณที่เปลี่ยนรูปไปชนิดหนึ่ง
จากชะตาของผู้ศรัทธานับพันล้านคนรวมกับพลังวิญญาณ พลังแห่งฟ้าที่ดูสับสนวุ่นวายก็ท่วมทะลักไปทั่วทั้งเทือกเขาโฮลี่ พลังของบาทหลวงและเหล่าสาวกก็มาจากกลุ่มก้อนพลังที่แผ่ออกมานี้
ฟางหยวนเคยตรวจสอบกิจกรรมนี้มาก่อนแล้ว แต่ว่า คุณภาพพื้นฐานของพลังในรูปแบบนี้ยังคงมาจากพลังที่เปลี่ยนรูปไปของเหล่าประชาชนผู้ศรัทธา เขาจะไม่ท้าทายมันเด็ดขาด
“พระเจ้ามาจากห้วงความว่างเปล่า แบ่งออกเป็นภูเขา ทะเล และแผ่นดิน นาเอาแสงและการเพาะปลูกมาสู่โลกนี้…”
สันตะปาปาเริ่มการบรรยายด้วยท่าทางเคร่งครัด “หลังจากพระองค์จากไป พระองค์ได้ทานายเอาไว้ หลังจากผ่านไปสามพันปี สวรรค์เหนือเทือกเขาโฮลี่ก็จะเปิดและพระเจ้าก็จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!”
“ถ้าสิ่งต่าง ๆ ดาเนินไปด้วยดี มันก็คือเวลานี้แล้ว!” หัวหน้าบาทหลวงผู้หนึ่งเสริมขึ้น
ศาสนจักรเองก็ได้ทาการวิจัยพลังจากความศรัทธา
ก่อนหน้านี้ ความเข้มข้นของหยาดพลังนั้นต่าเกินไป ต่อให้พลังจากความศรัทธามีอยู่จริง ก็ไม่มีสื่อกลางให้มันแพร่กระจายออกไป มันยังไม่สามารถเก็บสะสมเอาไว้ได้ และดังนั้น จึงไม่สามารถทาอันใดให้สาเร็จไปได้
แต่ตอนนี้ เมื่อมีหยาดพลังฟื้นคืนมา การสวดมนต์ของเหล่าสาวกที่เคร่งครัดก็เริ่มส่งผล มันนามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมหาศาลต่อการพัฒนาของศาสนจักร
“ตึง! ตึง!”
“ตึง! ตึง!”
พระจันทร์ลอยสูงขึ้นกลางฟ้าราตรีอย่างช้า ๆ เมื่อถึงเที่ยงคืน พิธีการก็เริ่มต้นขึ้น เหล่าสาวกผู้ศรัทธาล้วนกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งจนทาให้เกิดระลอกพลังแห่งฟ้า
คลื่นของแสงศักดิ์สิทธิ์แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา แสงเหล่านั้นยังรวมตัวกันแล้วเปลี่ยนไปเป็นคลื่นอันอบอุ่นสายหนึ่งชะล้างไปทั่วทั้งเทือกเขาโฮลี่
“สรรเสริญแด่องค์พระเป็นเจ้า พระองค์ผู้นาแสงสว่าง! พระผู้เป็นเจ้าเพียงหนึ่งเดียว!”
สันตะปาปาและหัวหน้าบาทหลวงหลายคนปรากฏตัวขึ้นและนาเหล่าผู้ศรัทธาเอ่ยภาวนา
“ครืน!”
ภายใต้คาสรรเสริญเหล่านี้ แสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวน้านมก็รวมกันแล้วพุ่งขึ้นไปที่ยอดเขา ทันใดนั้น มันก็เปิดกึ่งระนาบแห่งหนึ่งออก และก็มีเงาของมนุษย์ที่ราวกับเป็นเทวทูต มีปีกสามคู่ ก็ลอยลงมาจากตรงนั้น จากนั้นเงาร่างนั้นก็ทิ้งตัวลงบนเทือกเขาโฮลี่ ที่ตรงกลางพลังแห่งศรัทธา
“เทวทูต!”
“นั่นอะไรน่ะ? สวรรค์เหรอ?”
“พระองค์…”
เหล่าผู้ศรัทธามากมายดูราวกับมึนเมาไป เมื่อพวกเขามองขึ้นไปที่สวรรค์ที่จู่ ๆ ก็มาปรากฏอยู่เหนือเทือกเขาโฮลี่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ในความมืด เหล่าผู้มีพลังที่จับตามองอยู่ก็มีสีหน้าไม่เชื่อถือ
“แล้วก็จริง คูเรียปิดบังบางอย่างเอาไว้!”
ชายในเสื้อสีดาคนหนึ่งที่จับตามองการเปลี่ยนแปลงบนหน้าจออยู่สบถออกมาในเวลาเดียวกัน
“เทวทูตตัวจริงงั้นเหรอ!? ขอให้ไม่ใช่อาวุธที่สหพันธ์สร้างขึ้นอีกชิ้นก็แล้วกัน…” เจ้าหน้าที่ที่ด้านข้างคาดเดา
“ไม่! ฉันเกรงว่านี่จะเป็นของจริง!”
ยังมีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนที่ใกล้ ๆ ในชุดเป็นทางการที่ดูเหมือนจะมาจากครอบครัวชั้นสูง ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ดวงตาแดงก่า พวกเขาส่ายหน้า “อันที่จริง… ตัวจริงของเทวทูตก็คือพระเจ้านั่นแหละ!”
“แล้วทาไมถึงมีเทวทูตแบบนั้นปรากฏตัวขึ้นได้ นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย!”
นักวิทยาศาสตร์ของสมาพันธ์บลูสตาร์ดูงุนงงเล็กน้อย
“ไม่ นี่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างมาก!”
ชายหนุ่มรูปงามอีกคนในชุดเป็นทางการแบบเดียวกันแย้งออกมา “ในช่วงหนึ่งพันปีแรก พระเจ้าสร้างโลกและทิ้งแสงสว่างกับเมล็ดพันธุ์
เอาไว้ ในหนึ่งพันปีที่สอง พระองค์สร้างพระราชวังงดงามขึ้นที่บนฟ้าและก็ทิ้งคาทานายว่าพระองค์จะกลับมาในหนึ่งพันปีที่สาม… ทั้งหมดนี้ถูกครอบครัวของผมบันทึกเอาไว้ และยังสามารถอ่านเจอได้ในตาราทางศาสนาอื่น ๆ”
“งั้นนั่นก็หมายความว่า พระเจ้า… กลับมาแล้ว?”
คนที่อยู่ในหน้าที่เกรี้ยวกราดขึ้น “คุณอยากให้ผมพิมพ์แล้วก็ส่งรายงานแบบนี้ขึ้นไปงั้นเหรอ? คุณพยายามจะทาให้ผมถูกไล่ออกใช่ไหม?”
“ในเมื่อผู้วิวัฒน์และผู้ฝึกตนยังมีตัวตนจริง แล้วจะแปลกอะไรถ้าพระเจ้าจะมาเยือน?”
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มอย่างเฉยเมย “ถ้าเป็นพระเจ้าจริง ก็เป็นตัวตนอันทรงพลัง… ดูเหมือนว่าเพราะความเข้มข้นของพลังวิญญาณที่ไม่เพียงพอก่อนหน้านี้ เขาจึงเลือกที่จะผนึกตัวเองเอาไว้บนสวรรค์เหนือยอดเขาโฮลี่ ตอนนี้ ในเมื่อความเชื่อทางศาสนาและพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาก็เลือกที่จะตื่นขึ้นมาและเติมเต็มความตั้งใจของตน!”
“เจตนารมณ์… ของพระเจ้า เขาต้องการทาอะไรกันแน่?”
คนที่อยู่ในหน้าที่พึมพาและรู้สึกเหมือนความคิดและจิตใจของเขากาลังจะแตกกระจายไป
…
เมืองหรงเชิง ทวีปกลาง
ฟางหยวนมาถึงเทือกเขารกร้างแห่งหนึ่ง
หลังจากย้ายหินก้อนใหญ่ไปด้านข้าง ทางเข้าก็ปรากฏขึ้นที่ตรงนั้น ที่ด้านใน พลังวิญญาณเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง
“อืม… ดูเหมือนว่าค่ายกลกักวิญญาณก็ใช้ได้ทีเดียว!”
นี่เป็นโอกาสหายาก ฟางหยวนรีบลงนั่งขัดสมาธิและเริ่มดูดซับด้วยทุกอย่างที่มี
เวลาผ่านไป จุดเปลี่ยนก็มาถึงอย่างกะทันหัน
“ครืน!”
พื้นดินสะเทือนและค่ายกลในถ้าก็ถูกใช้อย่างเต็มกาลัง หมอกสีขาวหนาแน่นขึ้นและดูเหมือนกาลังจะเปลี่ยนไปเป็นน้าค้างแล้ว
“ปรากฏการณ์ครั้งที่สามหมายความว่ายังมีข้อจากัดอีกชุดหนึ่งซึ่งยังไม่ได้ถูกกาจัดออกไป…”
ฟางหยวนเปลี่ยนไปเป็นหลุมดา และกลืนกินทุกอย่างลงไปอย่างกระหาย เขายังมองไปที่กระดานค่าสถานะของตัวเองด้วยในเวลาเดียวกัน
หลังจากหลายปีของการฝึกตนอย่างเข้มงวด คาถาฝึกพลังธาตุขั้นที่ห้าของเขาก็เพิ่มขึ้นและก้าวหน้าก้าวใหญ่จากที่อยู่เหนือห้าส่วนเพียงเล็กน้อย
แต่ว่า ในที่สุดเขาก็ต้องชะงักอยู่ที่ขีดจากัดของ 99 ส่วนในร้อยส่วน
“ถ้าข้าคิดคานวณได้ถูกต้อง ถัดจากสมรภูมิ ย่อมต้องเป็นอาณาเขต! ถ้าข้าสามารถสร้างอาณาเขตของข้าได้ในอาณาจักรนี้และนาบางส่วนของมัน
กลับไป ข้าก็จะไม่ต้องติดขีดจากัดตอนที่ทะลวงผ่านขั้นที่เจ็ดของระดับสวรรค์มายาในต้าเฉียน!”
ฟางหยวนมองหน้าต่างสถานะของตัวเอง
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 20.0
พลังลมปราณ: 49.0
พลังเวทย์: 49.0
สายวิชา: ???
การฝึกตน: ???
วิทยายุทธ์: [คาถาฝึกพลังธาตุ (ระดับ 5 (99 ใน 100 ส่วน)]
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)], [เนตรเพลิงสีทอง (ระดับ 1)]”
“น่าเสียดาย อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น!”
ฟางหยวนเดินออกจากถ้ามาที่ข้างนอก
พระจันทร์ส่องสว่างและยังดูพร่ามัวไปเล็กน้อยด้วยเมื่อมีสสารคล้ายหยาดพลังหล่นลงจากท้องฟ้าและตกลงสู่ลาธารและแม่น้า ชี้ทางแก่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง
“โอ้ นี่คือการเริ่มต้นของยุคสมัยอันเป็นตานานจริง ๆ…”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึก ๆ อย่างละโมบ
ตอนนี้ ในอาณาจักรนี้ พลังวิญญาณนั้นล้นเหลือ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ว่าจะดอกไม้ ต้นหญ้า สุนัขป่า หนู งู หรือมด ก็ล้วนสามารถปลุกความรับรู้ทางจิตวิญญาณและกลายเป็นรู้ตื่นขึ้นมาได้!
“เวลาแห่งความวุ่นวายมาถึงแล้ว!”