441: อพยพ
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
หัวหน้าไช่และพวกพบว่าบางอย่างไม่ถูกต้องหลังจากกลับลงมาจากภูเขาหัววัวอย่างมีความสุข
“หวี่! หวี่!”
“หวี่! หวี่!”
เสียงกระพือปีกเร็ว ๆ ดังมาจากเมืองเล็ก ๆ ข้างหน้า จุดสีดาจานวนมากรวมตัวกันจนดูเหมือนเป็นเมฆดา ๆ
เสียงกรีดร้องแว่วดังมาจากในเมืองเช่นกัน เป็นหลักฐานว่าเมืองนั้นกลายเป็นนรกคนเป็นไปแล้ว
“มอ! มอ!”
ทันใดนั้น บ้านหลังหนึ่งก็ถล่มลงมาและวัวตัวยักษ์ก็พุ่งออกมาจากบ้านหลังนั้น
เดิมที ร่างกายของวัวก็ยังดูปกติ แต่ว่า หลังจากมันร้องอย่างเกรี้ยวกราด ร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาก กระทั่งหนังของมันก็หนาขึ้นมากและยังมีประกายแฝงอยู่ชั้นหนึ่ง ความสามารถพิเศษของมันถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ส่วนหนึ่งของ ‘เมฆดา’ บนฟ้าก็ยังลอยตรงมาที่วัวตัวนั้นแล้วร่อนลงบนหลังของมัน
เจ้าวัวยักษ์กรีดร้องหลายครั้งและก็เสียหลักล้มลงไปบนพื้น จากนั้นมันก็แห้งเหี่ยวไปและแทบจะกลายเป็นแค่โครงกระดูกโครงหนึ่งในพริบตาเดียว
“นั่น… ยุง?”
ใบหน้าของลอริต้าขาดเผือดเมื่อเห็นภาพเช่นนั้น “นั่นมันยุงดูดเลือดกลายพันธุ์!”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าธรรมชาติจะวิวัฒนาการไปเร็วถึงเพียงนี้ในแค่ค่าคืนเดียว…”
ฟางหยวนจาได้ว่าปรากฏการณ์สองครั้งก่อนนั้นทาให้สัตว์ธรรมดาสะสมพลังได้มากพอที่จะเกิดการกลายพันธุ์ได้ ดังนั้น ก่อนเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่สาม พวกมันจึงอยู่ห่างจากการกลายพันธุ์แค่ก้าวเดียว และนี่ก็อธิบายได้ว่าทาไม หลังจากแค่คืนเดียวผ่านไป เหล่าปิศาจมากมายกลับปรากฏตัวขึ้น
‘บนแผ่นดินยังเลวร้ายถึงเพียงนี้… แล้วบนผืนน้าทะเลลึกที่กระทั่งข้ายังหวาดเกรงเล่า?’
ขณะที่ฟางหยวนคิดไป เขาก็อดถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ปรากฏการณ์ครั้งที่สามนั้นนาเอาการวิวัฒนาการมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนผืนโลก แต่ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อะไรที่น่ายินดีสาหรับเหล่ามนุษย์
“หวี่! หวี่!”
หลังจากกลุ่มเมฆสีดาดูดเลือดวัวกลายพันธุ์จนแห้งแล้ว พวกมันก็เห็นฟางหยวนและคนอื่น ๆ ราวกับพวกมันพบเหยื่อรายใหม่และก็พุ่งเข้าไปหาทันที
เมื่อมองใกล้ ๆ ทั้งกลุ่มก็พบว่ายุงพวกนี้มีขนาดราวนิ้วหัวแม่มือ บางตัวยังใหญ่เกือบเท่ากาปั้น ท้องของพวกมันโตเป่งราวกับผลึกสีแดงเลือด
“น่ารังเกียจ!”
หัวหน้าไช่ตะโกนอย่างโมโหขณะกางมือออกแล้วโยนลูกไฟไปทางกลุ่มเมฆสีดานั่น ลูกไฟระเบิดแล้วเปลวไฟสีอาพันก็ลุกโพลง เผายุงจานวนมากกลายเป็นเถ้าไป
“หวี่! หวี่!”
ถึงแม้ว่าหัวหน้าไช่จะมีความสามารถพิเศษระดับนี้ มันก็ยังดูจะทาอะไรฝูงยุงมหาศาลนี่ไม่ได้มากนัก เมฆสีดาที่บินอยู่เหนือเมืองแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ ขณะถาโถมเข้ามา ปกคลุมทั้งท้องฟ้าเหนือพวกเขาเอาไว้ทาให้พวกเขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัว
“เร็ว! รีบไป!”
ยุงเดี่ยว ๆ หนึ่งตัวนั้นคนธรรมดาก็ตบตายได้ แต่ว่ายุงทั้งฝูงเช่นนี้กระทั่งลอริต้ายังหวาดกลัวและเธอก็ร้องออกมา “พ่อคะ! ช่วยหนูด้วย!”
“หนูกาลังเล่นละครอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
ฟางหยวนกลอกตาแล้วปลอบ “ไม่ต้องกลัว แค่เดินผ่านมันไปก็พอ!”
ฟางหยวนกางสมรภูมิพลังออก และยุงตัวใดที่เข้ามาใกล้ในระยะสามร้อยเมตรก็จะร่วงลงพื้นแล้วตายไปในทันที
ไม่นาน ซากยุงตายก็กองเป็นพูนสูง ชั้นของจุดดา ๆ และเลือดผสมกันจนดูน่าคลื่นไส้
“หวี่! หวี่!”
หลังจากฝูงยุงมากมายล้มตายไป ฝูงยุงที่เหลือก็ถอยกลับไปที่ฝูงหลักเหนือเมืองเล็ก ๆ นั่นทันที จากนั้นพวกมันก็มุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างช้า ๆ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันไม่ต้องการสูญเสียมากไปกว่านี้แล้ว
“ขอบคุณมากครับท่าน!”
หัวหน้าไช่รีบขอบคุณฟางหยวน จากนั้นเขาก็ปาดเหงื่อเย็น ๆ บนหน้าทิ้ง “นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณช่วยพวกเราเอาไว้…”
“หัวหน้า!”
ทันใดนั้น หวังซินก็กระตุกแขนเสื้อหัวหน้าไช่ ใบหน้าซีดเผือดของเธอมองไปยังกลุ่มยุงที่จากไป
“นั่นมัน… ไปทางตัวเมืองหรงเชิง!”
“โอ้ ไม่นะ!”
หัวหน้าไช่โบกมือลากและรีบขอตัวกลับไปพร้อมกับคนอื่นในกลุ่มทันที
พวกเขาต้องรีบไปอพยพและปกป้องคนในครอบครัวของตัวเอง ถึงอย่างนั้น ก่อนที่จะกลับออกมาพวกเขาก็ยังมองไปที่ฟางหยวนเหมือนอยากจะพูดอะไรกับเขา แต่ว่า สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร
“อืม ยังเป็นพวกเขาที่ฉลาดอยู่เหมือนกัน!”
ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นนิด ๆ ขณะมองคนเหล่านั้น
“ถ้าพวกเขาร้องขออะไรจากฉัน ฉันอาจจะหักขาพวกเขาแล้วก็ทิ้งพวกเขาไว้ตรงนี้เสียเลย!”
“พ่อคะ พ่อแย่มาก!”
ลอริต้ากลอกตาและจากนั้นก็ยิ้มหวาน “ฝูงยุงพวกนี้เคลื่อนที่ไม่เร็วมาก ด้วยความเร็วของพวกเขา พวกเขาน่าจะไปถึงทันอพยพครอบครัวของตัวเอง!”
“ช่าย แล้วพวกเราก็ได้เวลากลับแล้วเหมือนกัน!”
ฟางหยวนดีดนิ้ว และพวกเขาสามคนก็ลอยขึ้นจากพื้นและพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจทันที จากนั้นพวกเขาก็ลอยไปทางเมืองหรงเชิง
“อืม… ดูเหมือนเจ้าต้าหนิวจะไม่โง่ เขาเริ่มเตรียมการตอบโต้และอพยพคนแล้ว…”
ตอนที่พวกเขาผ่านตัวเมืองมานั้น พวกเขาก็เห็นรถมุ่งหน้าออกจากเมืองหรงเชิงเป็นแถวยาวเหยียด นอกจากนี้ ที่ด้านใกล้กับที่พวกยุงดูดเลือดอยู่ ยังมีทหารและแท่นปืนใหญ่ติดตั้งเอาไว้ พร้อมที่จะจัดการยิงพวกยุงนั่นลงมา
“เอ๋?”
ที่บ้านมีลานที่พวกเขาพักอยู่ มีคนผู้หนึ่งอยู่ที่นั่นที่ทาให้แองเจิ้ลพึมพาออกมา
“หลินหมิง?”
แองเจิ้ลลงจากบนฟ้ามาช้า ๆ มองไปที่เด็กนักเรียนมัธยมปลายที่มีดวงตาแดงเรื่อ
“ฉันเอง…”
หลินหมิงอ้าปากค้างเป็นคางคก “ฉัน.. ฉันเห็นสัญญาณเตือนฉุกเฉินแล้วก็เลยมาที่นี่เพื่อบอกเธอให้อพยพออกไปจากที่นี่โดยเร็ว… แล้วก็ ในที่สุดฉันก็สาเร็จเก้ากระบวนท่าแล้ว… เธอก็เป็นผู้วิวัฒน์งั้นเหรอ?”
ตอนที่เขาเห็นเจ้าของร้านลึกลับและลูกสาวสองคนของเขาลอยลงมาจากบนฟ้า หลินหมิงก็เดาสถานะของเขาได้แล้ว ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความเจ็บใจเล็ก ๆ
ถ้าคนผู้หนึ่งสาเร็จเก้ากระบวนท่าได้ นั่นหมายความว่าเขาก็ค่อนข้างมีพรสวรรค์และอาจจะปลุกความสามารถพิเศษของตัวเองขึ้นมาได้หรือว่าสามารถฝึกวิชาเต๋าได้ แต่ว่า มันก็ยังเทียบไม่ได้กับผู้วิวัฒน์ที่ตื่นขึ้นมาแล้ว
“ขอบคุณมากนะหมิง! เธอมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า? พ่อกับแม่ของเธอไม่เป็นห่วงแย่แล้วเหรอ?” แองเจิ้ลยิ้มและตอบ
“แล้วก็… พ่อกับแม่ของฉันพอมีเส้นสาย! พวกเราสามารถตามหลังกองทัพแล้วไปจากที่นี่ด้วยกันได้… แต่ดูเหมือนว่าพวกเธอคงไม่ต้องการแล้ว!”
หลินหมิงเกาหัวและพึมพาคาพูดประหลาดออกมาอีกหลายคา จากนั้น รถราคาแพงคันหนึ่งก็เข้ามาจอดและเริ่มบีบแตรอย่างน่าราคาญ
“เฮ่ย… พี่สะใภ้ เสี่ยวหมิงดูจะไม่เข้าใจเสียจริงนะว่าสถานการณ์ตอนนี้มันรีบร้อนแค่ไหน ถ้าเขายังไม่อยากจากไปตอนนี้ เขาอยากกลายเป็นศพแห้ง ๆ หรือไง? ฉันได้ข่าวมาว่าฝูงยุงดูดเลือดฝูงแรกจะมาถึงตัวเมืองภายในสองชั่วโมง!”
ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพผู้หนึ่ง เขาอ้วนเหมือนหมู พุงหลามโต เขาก้าวลงจากรถมา ทันทีที่เขาเห็นแองเจิ้ล ดวงตาของเขาก็สว่างวาบและพูด “เธอก็คือคุณแองเจิ้ลสินะ? ถ้าเธอไม่อยากตาย ก็รีบไปจากที่นี่ซะ อย่าได้ถ่วงเวลาคนอื่น”
“ลุงครับ พวกเธอ…”
ใบหน้าของหลินหมิงกระวนกระวายขณะมองลุงของเขา
หลินหมิงนั้นได้เห็นแล้วและพบว่าครอบครัวนี้เป็นกลุ่มผู้วิวัฒน์ที่มีพลัง แต่ลุงของเขานั้นไม่รู้ด้วยนี่!
ถึงแม้ว่าลุงของเขาจะจองหองเพราะถือว่ามีเส้นสายกับทางรัฐบาล เขาก็ไม่นับเป็นอะไรเลยเมื่อเทียบกับผู้วิวัฒน์เหล่านี้ เพราะอย่างนั้น เขาจึงไม่อยากให้ครอบครัวของเขาต้องโชคร้ายไปด้วย
“ฉันไม่สนใจว่าพวกเขาเป็นอะไร! นี่มันจะเป็นวันสิ้นโลกแล้วไหม ไม่มีเวลามาคอยปกป้องสหายต่างชาติหรอกนะ?”
ลุงร่างอ้วนยิ้มและดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนโง่
“คุณแองเจิ้ลเป็นคนฉลาด เธอย่อมต้องรู้ว่าควรเลือกทางไหน ถึงแม้ว่าตระกูลหลินของฉันจะไม่ได้มีชื่อเสียงนักในเมืองหรงเชิง แต่ว่าพวกเราก็ยังมีความสัมพันธ์กับทหารบางคน…”
“ขอโทษด้วยนะคะคุณ!”
แองเจิ้ลยิ้มกว้างและพูดต่อ “ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคุณต้องการสื่ออะไร…”
“เธอ…”
กฏที่พูดออกสื่อไม่ได้ก็คือพูดออกสื่อไม่ได้
ใบหน้าอ้วนฉุนั้นมีแววโกรธวาบผ่านเมื่อรู้ว่าหญิงสาวต่างชาติคนนี้นั้นเย่อหยิ่งเพียงไหน แต่ว่า จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่แน่ใจและไม่สบายใจ
ถึงแม้ว่าการสื่อสารระหว่างประเทศจะถูกตัดขาด แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็ยากที่จะบอก ดังนั้น ลุงคนนี้จึงไม่ต้องการขัดแย้งกับใครที่เขาไม่รู้จักดี
“บรื้น!”
ในตอนนี้เอง แถวของรถทหารสิบคันก็มาหยุดอยู่ด้านข้าง เจ้าต้าหนิวและเยี่ยอิงจื่อก้าวลงมาและเดินตรงมาทางบ้านหลังนี้
“เอ๋? พวกเขา… หัวหน้าเจ้า? และยังนายพลผู้บัญชาการเยี่ย?”
ดวงตาของลุงอ้วนสว่างขึ้นอีกครั้งและรีบตรงเข้าไปเลียแข้งเลียขาพวกเขา “ผมคือเสี่ยวหนิว พวกเราเคยพบกับครั้งหนึ่งที่โรงแรม…”
ถึงแม้ว่าลุงอ้วนจะมีเส้นสายอยู่บ้าง แต่ทั้งสองคนนี้ก็เป็นระดับสูงตัวจริงของเมืองหรงเชิงและยังมีสถานะสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขายิ่งมีความสาคัญและยังถือครองอานาจสูงส่งเอาไว้
“นายก็คือหลินหนิว?”
เจ้าต้าหนิวเกาหัวและในที่สุดก็นึกชื่อเขาออก
“เอ๋… แล้วนายมาทาอะไรที่นี่?”
“โอ้ หลานชายคนนี้ของผมกับคุณแองเจิ้ลเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน พวกเราอยากพาเธอกับครอบครัวของเธอออกไปด้วยกัน…”
หลินหนิวค่อนข้างตกใจและก้าวเท้าถอย ที่สาคัญไปกว่านั้น เขาแอบรู้สึกโล่งอกที่ไม่ได้ขัดแย้งกับพวกเขาเมื่อสักครู่นี้
เขาไม่เคยคิดเลยว่าครอบครัวของแองเจิ้ลจะมีเส้นสายดีเพียงใด ถ้าเขาล่วงเกินเธอเข้าเมื่อครู่ ผลลัพธ์คงไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็น ด้วยความคิดนี้ เขาแทบจะหลั่งเหงื่อเม็ดโตออกมา
“คุณเหลยไม่ต้องการให้ใครมาปกป้องเขาหรอก นายออกจากที่นี่ไปได้เดี๋ยวนี้เลย!”
เจ้าต้าหนิวตรงไปที่ประตูราวกับตัวเองเป็นผู้ดูแลประตูแล้วคว้ากระเป๋าของลอริต้าขึ้นมา จากนั้นเขาก็เอากระเป๋าไปวางไว้ที่ด้านหลังรถและพูด “เชิญครับ!”
“โอ้ ดีจังเลย ฉันมีอะไรอยากถามพวกคุณอยู่พอดี!”
ฟางหยวนพยักหน้าแล้วตามเจ้าต้าหนิวกับเยี่ยอิงจื่อเข้าไปในรถ เสียงเครื่องยนต์ทางานและพวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
หลังจากนั้น ในที่สุดหลินหนิวก็เช็ดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากใบหน้าหมด เขามองไปที่หลินหมิงอย่างเคร่งเครียด “แก… ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย! บอกฉันมาตามตรง แกมีความสัมพันธ์อะไรกับครอบครัวนี้?”
“ผม…”
หลินหมิงมีสีหน้ายับยุ่ง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าของร้านคนนี้คือเจ้าของร้านไม้แกะสลักที่ผมไปบ่อย ๆ… ทาไมจู่ ๆ เขาก็กลายไปเป็นคนระดับวีไอพีของพวกเบื้องบนได้?”
หลินหมิงแตะไม้แกะสลักที่ในกระเป๋านักเรียนและดูซึมเซาไป
ในเมื่อแองเจิ้ลมีพื้นเพเช่นนั้น ความเป็นไปได้ที่เขาจะจีบเธอคนนั้นติดคงจะเกือบเป็นศูนย์แล้ว?
“อย่างนั้นเองเหรอ…”
หลินหนิวกระแทกไหล่หลินหมิงอย่างแรงจนเขาแทบจะเซไปแล้วพูด “ไม่ต้องห่วง แกแค่ตามจีบเธอไปทื่อ ๆ อย่างนี้แหละ! ฉันจะช่วยสนับสนุนแกเอง!”
หลินหนิวรู้แน่แล้วว่าโลกนี้กาลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายจริง ๆ แล้ว
ในช่วงเวลาเช่นนี้ มีแค่กองทัพและผู้มีความสามารถพิเศษเท่านั้นที่จะมีอานาจอย่างแท้จริง!
ไม่ว่าพวกเขาจะอยากลงหลักปักฐานหรือว่าก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก็ต้องมีรากฐานที่จาเป็น ฟางหยวนและครอบครัวของเขาทาให้หลินหนิวมองเห็นความหวังริบหรี่นั่น!
“พี่ชายกับพี่สะใภ้… นี่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเรา! พวกพี่ต้องคิดให้ดี!”
หลินหนิวมองสามีภรรยาวัยกลางคนและแนะนาอย่างเคร่งขรึม
“วางใจได้น้องชาย! พวกเราเข้าใจ!”
ทั้งคู่เห็นด้วยและไม่พูดถึงกฎของพวกเขาที่ไม่อนุญาตให้มีความรักในวัยเรียนไปอย่างสิ้นเชิง