442: สิงเหอจื่อ
“เล่าสิ… ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
รถแล่นเงียบไปตามถนนเป็นแถวยาวเหยียด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในยานพาหนะของทางทหาร แต่ก็ยังคงมีทหารเปิดทางให้พวกเขาอยู่ด้านหน้าทาให้พวกเขาสามารถเร่งรถไปด้วยความเร็วสูงได้
ฟางหยวนเอนตัวอยู่บนเบาะและหลับตาลง ดูผ่อนคลาย
“เมื่อคืนนี้ จานวนสัตว์ป่าทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจานวนมาก… มันเหมือนกับสัตว์ปิศาจและสัตว์วิญญาณจานวนมากเหล่านั้นได้รับการชี้นาอย่างลับ ๆ ให้โจมตีเมืองและหมู่บ้านใหญ่ ๆ พร้อมกัน… ถึงพวกเราจะเตรียมการไว้แล้ว แต่ก็ยังบาดเจ็บล้มตายเป็นจานวนมาก หลักจากการประชุมฉุกเฉิน พวกเราก็ตัดสินใจใช้แผนบี”
เยี่ยอิงจื่อมีสีหน้าเคร่งเครียดและยังมีร่องรอยความตระหนกเล็กน้อยในดวงตาฉ่าน้า “นั่นก็คือยอมสละเมืองและหมู่บ้านอื่นทั้งประเทศแล้วอพยพคนไปที่เมืองใหญ่ 72 เมืองเพื่อลดความสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด!”
การถอยก้าวใหญ่เช่นนี้ส่งผลให้เกิดปัญหาและการเสียสละมากเกินไป นอกจากนี้ ความเครียดจากการมีประชากรเพิ่มมากขึ้นในเมืองที่เหลือจะนามาซึ่งการขาดความปลอดภัยและขาดแคลนทรัพยากรซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามากขึ้นได้
แน่นอนว่า ก่อนหน้าทั้งหมดนั้น ความจริงก็คือถ้าประชากรทั้งประเทศเหลืออยู่ถึงครึ่งหนึ่งหลังจากถูกโจมตีอย่างนี้แล้วก็เรียกได้ว่าโชคดีแล้ว
“เป็นวันวิปโยค…”
ฟางหยวนลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจ
“เมืองหรงเชิงนั้นไม่ใช่หนึ่งในเมืองใหญ่ ดังนั้นพวกเราจึงต้องย้ายไปที่เมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุด ห่างจากที่นี่ไปสองร้อยเจ็ดสิบเก้ากิโลเมตร เมืองหุยหมิง!”
เจ้าต้าหนิวเริ่มพูด “ตามแผนการอพยพ ระดับความสาคัญคือ… เจ้าหน้าที่ทางทหาร นักวิจัย เจ้าหน้าที่ชานาญการ และนักเรียน พวกเราจะทิ้งทหารหมวดหนึ่งเอาไว้ป้องกันภายนอกเมืองเพื่อซื้อเวลาให้พวกเราอพยพทุกคนออกไป”
แน่นอนว่า แผนการย่อมไม่มีทางดาเนินไปได้อย่างราบรื่น และย่อมต้องมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน
ฟางหยวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามต่อ “แล้วต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้าง? มีข่าวจากต่างประเทศบ้างหรือไม่?”
เจ้าต้าหนิวสบตากับเยี่ยอิงจื่อก่อนที่จะตอบพร้อมกัน “มี!”
พวกเขาเปิดกล่องนิรภัยและใส่รหัสผ่านอย่างว่องไว จากนั้น ข้อมูลหลายแถวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
“กองเรือฝั่งแปซิฟิคของสหพันธ์อินทรีทองถูกมังกรทะเลโจมตีและคว่าเรือทั้งหมด สัตว์น้าบุกขึ้นท่าเรือสังหารคนไปหลายพัน…”
“ในสมาพันธ์บลูสตาร์ เกิดหายนะลุกลามไปทั่ว ศพมากมายฟื้นขึ้นมาเป็นผีดิบ ผีดิบเหล่านี้จู่โจมมนุษย์และเริ่มลุกลามออกไป! สันนิษฐานว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการตื่นขึ้นมาของตัวตนในตานานจากยุคมืด”
“ส่วนประเทศเล็ก ๆ อื่น ๆ หลายประเทศนั้นสูญเสียการติดต่อไปจากการสื่อสารระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว การสื่อสารผ่านสายสัญญาณที่วางเอาไว้ก้นทะเลถูกรบกวนและกระทั่งเครื่องบินก็ถูกพวกสัตว์ปีกโจมตี ทุกประเทศต้องรับมือกับสงครามของตัวเอง… นี่เป็นข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมาได้ตอนที่การสื่อสารของพวกเรายังใช้การได้”
เยี่ยอิงจื่ออธิบายก่อนที่จะเปิดหลายรูปให้ดู
“หายนะลุกลามไปทั่วสมาพันธ์บลูสตาร์?”
ฟางหยวนลูบคาง “ฟาร์ชูฮาร์น่าจะแก้ปัญหานี้ได้ ส่วนสหพันธ์อินทรีทอง ดูเหมือนว่าพวกเขาก็จะกับปัญหาใหญ่… ราชามังกรทะเล?”
ในรูป ฟางหยวนเห็นมังกรทะเลตัวหนึ่งกาลังโจมตีท่าเรือ
ตัวมันเองนั้นยาวประมาณหนึ่งร้อยเมตรและเกล็ดของมันก็เป็นสีฟ้าสด บนหัวมีเขาเดี่ยวและกรงเล็บแหลมคมบนร่างก็ทาให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว
“ตามรายงาน มังกรทะเลตนนี้มีความสามารถในการรวมพลังเหล่าสัตว์น้า คาดว่ามันจะจะมีสติปัญญาระดับสูงและยังสามารถควบคุมพายุ
กาจัดกองกาลังทหารติดอาวุธของสหพันธ์ไป… ตามระบบการจัดระดับของศาสตราจารย์ฟาง พวกเราสามารถจัดมันเป็นสัตว์กลายพันธุ์ระดับหายนะได้!”
เยี่ยอิงจื่อพูดด้วยน้าเสียงทื่อ ๆ
“โอ้? สหพันธ์อินทรีทองยังอยู่และยังมีความสามารถใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้วย?”
ฟางหยวนถามอย่างสงสัย
“ไม่เชิง… หลังจากก่อความเสียหายให้ท่าเรืออื่น ๆ อีกเจ็ดแห่ง มังกรทะเลก็ถูกสานักผู้วิวัฒน์ของสหพันธ์หยุดเอาไว้ พวกเขาใช้อาวุธนี้!”
เจ้าต้าหนิวดึงรูปอื่นออกมา
ถึงแม้ว่ารูปนี้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เงาร่างคร่าว ๆ ของนางฟ้าที่มีปีกสีขาวและดาที่เผชิญหน้ากับมังกรทะเลก็ยังพอมองออกได้
“เป็นเธอ…”
ฟางหยวนยิ้ม “ดูเหมือนว่าสหพันธ์อินทรีทองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในที่สุดก็พบจุดอ่อนของเธอแล้ว พวกเขายังฉวยโอกาสนั้นเก็บเธอไว้ในการควบคุมด้วย?”
หากผู้อาวุโสจี๋อินตัวจริงกลับมาที่อาณาจักรนี้ เธอคงใช้พลังของเธอเองก่อหายนะให้ที่นี่เป็นแน่
แต่ว่า อาวุธปิศาจนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงที่เพิ่งถือกาเนิดและยังไม่เติบโตเต็มที่ ดังนั้น ผู้อื่นจึงยังสามารถรับมือเธอได้
แต่ว่า เมื่อดูไปแล้ว สหพันธ์อินทรีทองนั้นเก็บเธอเอาไว้ในการควบคุมได้อย่างยากลาบากและยังใช้เธอเป็นแนวรับสุดท้ายต่อมังกรทะเล
ไม่รู้ว่าอาวุธปิศาจนี้จะเติบโตขึ้นแค่ไหนระหว่างหลายปีมานี้และยังผ่านปรากฏการณ์ครั้งที่สาม
“โดยสรุปแล้ว นี่ไม่ใช่ปัญหาของประเทศอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นวันโลกาวินาศ…”
เยี่ยอิงจื่อสรุปด้วยประโยคสุดท้าย “วันวิปโยคของเหล่ามนุษย์! พวกเราต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้! ถึงตอนนี้ พวกเราต้องปล่อยวางความคิดต่างทั้งหมดของพวกเราและร่วมมือกัน คุณคิดว่าอย่างไรคะคุณเหลย?”
สายตาคมกริบของเธอจ้องมาทางฟางหยวนและความตั้งใจของเธอนั้นก็เรียบง่าย
ถึงตอนนี้แล้ว ประเทศนั้นตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ถ้าจะมีสิ่งใดเป็นความหวังแม้เพียงน้อยนิด พวกเขาก็ยินดีจะร่วมมือแม้จะกับคนที่เคยทรยศประเทศตัวเอง นอกจากนี้ ฟางหยวนนั้นยังแค่หายตัวไปชั่วระยะเวลาหนึ่งและไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการหักหลังประเทศของตน
เธอไม่สามารถตัดสินใจเช่นนั้นได้ด้วยตนเอง และกระทั่งซีเหมินเจียนก็ไม่สามารถสั่งให้เธอทาเช่นนี้ได้ นี่เป็นความคิดของเหล่าเบื้องบนของประเทศ
“ผมชื่นชมศาสตราจารย์ฟางมากนะ…”
ฟางหยวนยิ้ม “ผมเชื่อว่าในเวลาสาคัญเช่นนี้ มนุษย์ทุกคนย่อมร่วมมือกันเพื่อรับมือกับหายนะ! ใครจะรู้ ศาสตราจารย์ฟางอาจจะปรากฏตัวขึ้นตอนไหนก็ได้!”
“นั่นเยี่ยมมาก!”
เจ้าต้าหนิวจับมือเยี่ยอิงจื่อแน่นและน้าตาปริ่มอย่างดีใจ
‘บ้าชะมัด…’
เห็นภาพนี้แล้วฟางหยวนก็กลอกตา “เมื่อไหร่กันที่สองคนนี้… ในที่สุดก็อยู่ด้วยกันแล้วงั้นเหรอ? พวกเขาควรได้รับสิ่งตอบแทนจากการเป็นคนใกล้ชิดกับข้า!’
อันที่จริงแล้ว ก่อนการพูดคุยครั้งนี้ฟางหยวนก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วสาหรับการกลับมาของ ‘ศาสตราจารย์ฟาง’
ในวังหยกขาว ถึงแม้ฟางหยวนจะได้เรียนรู้แก่นของค่ายกลจากสานักวังหยก แต่ค่ายกลส่วนมากแล้วกลับต้องใช้คนและทรัพยากรจานวนมากเพื่อที่จะร่ายให้ครอบคลุมทั้งประเทศจีน
ถ้าเขาต้องการใช้ค่ายกลหกหรือเก้าของปราชญ์ฉางหลี เขาต้องขยายค่ายกลให้ครอบคลุมทั้งโลก
ดังนั้น มันจะเป็นประโยชน์มากกว่าหากจะใช้อิทธิพลของประเทศเพื่อดาเนินการเตรียมการของเขา
…
เมืองหุยหมิง
ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ของประเทศจีน ตั้งแต่สิบปีก่อนตอนที่ฟางหยวนเสนอทฤษฎีปรากฏการณ์สี่ครั้ง โรงงานอุตสาหกรรมทั่วทั้งประเทศก็เริ่มเร่งมือและผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ก็เริ่มวางแผนเพื่อเตรียมตัวสาหรับอนาคต การมาถึงของวันวิปโยคคราวนี้จึงแค่นาการเปลี่ยนแปลงที่รู้กันอยู่แล้วมาสู่อุตสาหกรรม
ถนนนั้นกว้างและตึกรามก็ขยายขนาด โกดังขนาดใหญ่มากมายถูกสร้างเอาไว้ในหลายจุดที่มีภูมิประเทศที่ง่ายต่อการป้องกันและยากรุกราน นอกจากนี้ การป้องกันยังได้รับการเพิ่มระดับ และเมื่อจาเป็น ทั้งประเทศก็จะเปลี่ยนไปเป็นฐานทัพขนาดใหญ่ได้
เมื่อเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่สาม ประเทศจีนก็เพิ่มจานวนทหารในเมืองนี้และก็สามารถรับมือกับการโจมตีของสัตว์ป่าหลายระลอกได้สาเร็จ จากนั้นมา เมืองก็เริ่มภารกิจรับผู้อพยพจากเมืองและหมู่บ้านอื่น ๆ
ถ้ามีคนมองลงมาจากบนฟ้าจะเห็นได้ว่าเมืองหุยหมิงนั้นราวกับหลุมดาขนาดใหญ่ที่รับเอายานพาหนะและผู้อพยพจากทุกทิศเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
“ข้างหน้ามีสัตว์ปีกกลายพันธ์ุุ พวกมันเป็นอินทรีกลายพันธุ์!”
เริ่มมีเสียงแตรดังจากแถวของยานพาหนะจากเมืองหรงเชิง “เตรียมการป้องกัน ระวังการลอบสังหาร!”
พริบตาเดียว ปืนกลก็เริ่มเล็งไปบนฟ้า ผู้รอดชีวิตในบริเวณนั้นไม่ว่าทหารหรือพลเมือง ต่างฝึกตัวเองให้หลบอยู่หลังกาบังโดยไม่ส่งเสียง พวกเขาล้วนจับอาวุธปืนในมือเอาไว้แน่น
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ผ่านไปสิบนาที ฝูงสัตว์ร้ายก็บินข้ามฟ้ามามืดไปหมด
พวกมันตรวจพบยานพาหนะทั้งแถวนี้แล้ว แต่ว่า พวกมันก็รีบบินจากไปและทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอก ไม่รู้ว่าพวกมันจากไปเพราะกลัวหรือว่าเพราะมีเป้าหมายอื่นแล้ว
“ในที่สุดพวกมันก็ไป… ไปต่อ!”
เจ้าต้าหนิวปาดเหงื่อที่หน้าผากและสั่งการลงไป
“ดูจากทิศทางที่พวกมันบินไปแล้ว ดูเหมือนว่าพวกมันเพิ่งหนีออกมาจากเมืองหุยหมิง…”
เยี่ยอิงจื่อเริ่มคาดเดา “นอกจากนี้ ฉันยังเห็นว่าพวกมันบางตัวในฝูงได้รับบาดเจ็บ พวกมันน่าจะพ่ายแพ้ในการต่อสู้ที่ในเมืองก่อนหน้านี้และดังนั้นจึงเกรงกลัวที่จะโจมตีมนุษย์ที่อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่”
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น!”
ฟางหยวนเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมขณะมองไปยังฝูงนกที่บินจากไป สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยน
จากอินทรียักษ์กลายพันธุ์พวกนั้น เขาไม่สามารถตรวจพบบาดแผลจากกระสุนปืนหรือปืนใหญ่ได้ กลับกัน เขากลับตรวจพบร่องรอยของพลังวิญญาณ
“ความรู้สึกนี้… หรือว่าจะเป็นสมรภูมิแห่งพลัง?”
แค่คิด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “พลังวิญญาณนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตอื่นก็เริ่มได้รับพลังแห่งสมรภูมิงั้นหรือ?”
นี่เป็นไปไม่ได้
ตามการคาดเดาของเขา ความเป็นไปได้เดียวก็คือมีตัวตนทรงพลังดั้งเดิมเพิ่งตื่นขึ้นมา
การฝ่าระดับจากขั้นที่สามไปยังขั้นที่สี่ยากเพียงใดน่ะหรือ? ลอริต้าน่าจะเป็นตัวอย่างอันดีที่จะบอกความยากของการทาเช่นนั้นได้
ฟางหยวนเดาว่า หากหัวหน้าสมาคมทั้งสอง สมาคมคนชุดดาและสมาคมพิราบขาว ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็คงจะมีโอกาสที่จะบรรลุระดับได้สาเร็จ
“ศาสตราจารย์!”
เยี่ยอิงจื่อวางโทรศัพท์ของเธอลง “พวกเราส่งข้อมูลไปยังเมืองหุยหมิงเรียบแล้ว พวกเขาจะส่งคนออกมารับพวกเรา!”
ถ้าพวกเขาเป็นแค่ผู้อพยพทั่วไป แค่เมืองรับพวกเขาเข้าไปก็นับว่าโชคดีแล้ว
แต่ว่า นี่เป็นกลุ่มของคนสาคัญของเมืองหรงเชิง และยังมีฟางหยวน ที่เป็นคนสาคัญถึงระดับไหน พวกเขาย่อมมีการดูแลเป็นอย่างดีพิเศษ
“อย่างนั้นหรือ? ฉันจะรอดู!”
ฟางหยวนลูบหู
หลังจากคืนสู่รูปลักษณ์เดิม ลอริต้าและแองเจิ้ลก็นิ่งงันไปอย่างพูดไม่ออก
คนที่กดดันที่สุดย่อมเป็นซีเหมินเจียน เขาคงจะดุด่าฟางหยวนผ่านโทรศัพท์และจับเขาเอาไว้ก่อนจะส่งเขากลับไปที่ห้องทดลองและเก็บเขาไว้ที่นั่นไปตลอดชีวิต– ถ้าเพียงแต่เขาจะเป็นแค่ศาสตราจารย์ฟางหยวนน่ะนะ
แต่ว่า ตัวตนของเขาในฐานะเทพแห่งสายฟ้าและยังผู้วิวัฒน์อันดับหนึ่งของโลกนั้นเพียงพอให้ทุกคนหวาดกลัว
“พวกเขามาแล้ว!”
จากที่ขอบฟ้า เงาของเมืองเริ่มปรากฏให้เห็นและผู้อพยพกับยานพาหนะก็ไหลบ่าเข้าสู่ในเมือง ฟางหยวนมองไปทางเมืองหุยหมิง
จากที่นั่น มีเงาของมนุษย์คนหนึ่งพุ่งตัวขึ้นฟ้าและหลังจากกู่ร้องครั้งหนึ่ง เขาก็บินตรงมาทางพวกฟางหยวน
“ใครคือสหายฟางหยวน?”
เมื่อเงาร่างนั้นมาอยู่เหนือยานพาหนะแล้ว ฟางหยวนก็มองออกว่าเป็นนักบวชเต๋าชราถือแส้ปัดคนหนึ่ง นักบวชเต๋าผู้นี้นั้นดูน่านับถือ ”ผมคือนักบวชสิงเหอจื่อ!”
“อืม เป็นพี่สิงเหอจื่อ!”
ฟางหยวนก็ลอยตัวขึ้นเช่นกันแล้วเหลือบมองลงมาที่กลุ่มคนที่จับตามองพวกเขาอยู่ก่อนจะยิ้ม “ไปหาที่สงบคุยกันดีหรือไม่?”
“ดี!”
เห็นได้ชัดเจนว่านี่คือผู้ฝึกตนขั้นที่สี่ที่รอฟาฟางหยวนอยู่ในเมือง ทันทีที่ได้ยินคาพูดของฟางหยวน เขาก็ตกลงในทันที