444: ผลประโยชน์ขัดแย้ง
“สิบปีแล้ว คุณเป็นอย่างไรบ้างหัวหน้า?”
เห็นซีเหมินเจียนที่ผมขาวโพลนมือกุมถ้วยชานั่งอยู่เบื้องหน้าเขา ฟางหยวนก็ถามถึงชีวิตที่ผ่านมาของเขา จากปลายสายตา เขามองเห็นเจ้าต้าหนิวและเยี่ยอิงจื่อแลกเปลี่ยนสายตาดุร้ายใส่กัน
“ผมโชคดีพอที่จะมีชีวิตรอดมาได้ท่ามกลางเรื่องราวที่ชวนให้คนหมดแรงเหล่านี้!”
ซีเหมินเจียนเป่าถ้วยชาร้อนของเขาเบา ๆ
ฟางหยวนประทับใจในความมุ่งมั่นและอดทนของเขา
เมื่อเกิดปรากฏการณ์ครั้งที่สาม ในวันวิปโยคเช่นนี้ ในฐานะหัวหน้าสานักศาสนา ซีเหมินเจียนต้องควบคุมผู้วิวัฒน์ทั้งหมดของประเทศจีนและดังนั้นน่าจะยุ่งมากเป็นที่สุด ความกดดันที่เขาต้องเผชิญนั้นมากกว่าที่ใครอื่นจะคิดภาพได้
ภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนั้น เขายังไม่แม้แต่จะมีความคิดแอบแฝงหรือเป็นบ้าไปในตอนที่หาเวลามาเยือนลูกน้องเก่า
แต่ว่า ที่ซีเหมินเจียนนั้นไม่คลั่งไป อาจจะเพราะเหตุผลเดียว
“ตอนนั้น… ทาไมคุณถึงจากไป?”
ซีเหมินเจียนจ้องฟางหยวนอยู่นานก่อนจะเปิดปาก
“เพราะการค้นพบหนึ่ง…”
ฟางหยวนเริ่มพูดเรื่องที่คิดเอาไว้ “ผมตรวจพบร่องรอยของอารยธรรมเหนือธรรมชาติเมื่อหลายพันปีก่อน และยังระบุตาแหน่งของมันได้ว่าอยู่ที่สหพันธ์อินทรีทอง! ถ้าผมต้องการทาการทดลองที่นั่นด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพวกคุณทั้งหมดย่อมไม่ปล่อยให้ผมได้ทาเช่นนั้น ดังนั้น ผมจึงทาได้แค่จากไปโดยไม่บอกกล่าวคุณ”
มันเป็นข้อแก้ตัวที่แย่มาก
แต่ว่า เมื่อซีเหมินเจียนึกถึงร่องรอยของเหลยและทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสหพันธ์อินทรีทอง เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ในเมื่อทุกอย่างมันเข้ากันได้อย่างพอดิบพอดีราวกับชิ้นส่วนปริศนา
“… ถ้าอย่างนั้น ก็ขอต้อนรับกลับสู่องค์กรนะครับ!”
ซีเหมินเจียนมีสีหน้าซับซ้อนขณะส่งเอกสารชิ้นหนึ่งให้ฟางหยวน “จากวันนี้เป็นต้นไป คุณจะเป็นที่ปรึกษาพิเศษของประเทศและได้รับสิทธิ์การเข้าถึงสูงสุด… หวังว่าคุณจะนาความภูมิใจมาสู่ประเทศและประชาชนของเรา”
“โอ้?”
ฟางหยวนยิ้ม “เรื่องนี้เองหรือ ผมเกือบจะคิดว่าคุณจะมอบหมายงานอื่นหรือว่าโครงการวิจัยอื่นให้ผมทันทีเสียอีก…”
ซีเหมินเจียนยิ้มขื่น “ทุกแห่งหนในประเทศล้วนวุ่นวาย! ทุกที่ต้องการความช่วยเหลือทั้งหมดที่สามารถหาได้! ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ไม่สามารถรับมือกับทุกอย่างได้!”
นอกเสียจากฟางหยวนจะสามารถแยกตัวเองออกเป็นล้าน ๆ ร่างได้ เขาเองก็จนปัญญาจะรับมือหายนะครั้งใหญ่ราวกับวันสิ้นโลกมาถึงเช่นนี้ ดังนั้น เขาจึงทาได้เพียงปกป้องตาแหน่งสาคัญ ๆ ไม่กี่จุดและปล่อยที่เหลือทิ้งไป
ทั้งสองคนมองหน้ากันและเงียบไปนาน
“พวกคุณสองคน ออกไปก่อน!”
หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ ซีเหมินเจียนสั่งให้ทั้งสองคนที่ด้านหลังเขาออกไปจากห้องนี้
หลังจากเจ้าต้าหนิวและเยี่ยอิงจื่อออกไปแล้ว ซีเหมินเจียนก็เปิดใช้งานอุปกรณ์ในมือ
‘เครื่องรบกวนสัญญาณ?’
เห็นแล้วฟางหยวนก็ขมวดคิ้วขณะซีเหมินเจียนเริ่มต้นอธิบาย “ในฐานะผู้วิวัฒน์ขั้นที่สี่… ถ้าคุณไม่ยอมให้ผู้อื่นแอบฟัง พวกเขาก็ไม่สามารถได้ยินบทสนทนาของพวกเราได้ ถูกต้องหรือไม่?”
ซีเหมินเจียนดูระแวดระวังเป็นที่สุด
“ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครกล้าหรอก…”
เห็นแล้วฟางหยวนก็ยิ้ม “คุณกาลังระแวงใคร? สิงเหอจื่อเหรอ? เขาออกไปจากเมืองหุยหมิงนานแล้ว… ต่อให้เขายังอยู่ในเมือง เขาก็ไม่สามารถแอบฟังพวกเราและทาให้ผมไม่พอใจได้หรอก”
“เฮ่ย…”
ซีเหมินเจียนหัวเราะ “ปิศาจเฒ่าที่ผนึกตัวเองไว้เป็นพัน ๆ ปีผู้นั้นทาให้พวกเรารู้สึกกดดันมาก สหายฟางหยวน องค์กรมีงานสาคัญจะมอบให้คุณ!”
“งานสาคัญ?”
ฟางหยวนดูงุนงง “ผมเก็บตัวเงียบอยู่ตลอดสิบปีหลังมานี้และอาจจะไม่ได้ภักดีกับประเทศอีกต่อไปแล้ว ทาไมคุณถึงยินดีจะมอบงานนี้ให้ผม?”
“พวกเราไม่มีทางเลือก และคุณก็เป็นคนเดียวที่มีความเหมาะสมและสามารถทางานนี้ได้!”
ซีเหมินเจียนลุกขึ้นยืนแล้วโค้งตัวต่า “ได้โปรดปกป้องมนุษยชาติ!”
“ปกป้องมนุษย์? นั่นเป็นความรับผิดชอบที่หนักมาก…”
ฟางหยวนเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ”พวกคุณพบอะไร?”
“เงาใหญ่เงาหนึ่งที่ผุดออกมาจากความมืด กระทั่งการพัฒนาอย่างบ้าคลั่งตลอดหลายปีมานี้ของประเทศจีนก็ยังไม่สามารถทาลายมันได้ กลับกัน มันเริ่มฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแทรกซึมเข้ามาในรัฐบาลแล้ว…”
ซีเหมินเจียนพูดเสียงต่า “ตอนนี้ กระทั่งผมเองก็ไม่สามารถเชื่อใจลูกน้องของตัวเองได้แล้ว…”
ฟางหยวนเข้าใจที่มาที่ไปของมัน
มือมืดนั่นก็คือองค์กรที่สร้างขึ้นโดยสานักที่ทรงอิทธิพลในทวีปกลางเมื่อพันปีก่อน คนส่วนมากขององค์กรนั้นมีความสามารถในการร่ายเวทย์
หรือครอบครองความสามารถพิเศษในระดับสูง พวกเขานับได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่ทรงพลังทันทีที่พลังวิญญาณที่รอบด้านเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุด ตอนที่สานักศาสนาคัดเลือกสมาชิกในตอนนั้น พวกเขาก็คงเรียกได้ว่าโง่แล้วหากไม่ฉวยโอกาสนั้นเข้าร่วมสานักเพื่อสร้างปัญหาจากภายใน
“นี่เป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิของพวกเรา จะไปเรียกว่าปกป้องเหล่ามนุษยชาติได้อย่างไร?”
ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะถามต่อ
“คุณคิดว่าอย่างไร? พวกปิศาจเฒ่าพวกนั้นมีแนวความคิดที่ต่างไปจากเราคนสมัยใหม่โดยสิ้นเชิง! ใครจะรู้ ว่าพวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้จะต้องการผลักพวกเรากลับเข้าสู่ยุคมืดและสมัยกาลังพัฒนาเช่นนั้น…”
ซีเหมินเจียนพูดต่อ “ถ้าไม่เพราะเรื่องนี้ หัวหน้าของพวกเราคงไม่ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว แต่ว่า หลังจากสืบดูแล้ว พวกเราก็พบว่าผู้ฝึกตนระดับสูง รวมทั้งสิงเหอจื่อ นั้นมีความพยายามในการสื่อสารกับพวกสัตว์ปิศาจ โดยเฉพาะสิงเหอจื่อที่ครั้งหนึ่งเคยลอบพบปะกับราชามังกรทะเล
ฟางหยวนเหงื่อกาฬเย็น ๆ ผุดซึม
ไม่ต้องพูดถึงว่า ประเทศจะมีประสิทธิภาพถึงขีดสุดถ้าสามารถใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีได้
สิงเหอจื่อนั้นดูถูกเหล่ามนุษย์ธรรมดาและไม่สนใจในชีวิตของคนเหล่านี้
“ดังนั้น… ผมจึงมาเพื่อขอร้องต่อคุณโดยเฉพาะให้สืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง! ทันทีที่คุณพบว่าสิงเหอจื่อมีพฤติการณ์ที่แสดงถึงการทรยศประเทศ ก็ให้จัดการกับเขาในทันที! หยุดยั้งแผนการของเขา! ไม่ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศก็ตาม!”
ซีเหมินเจียนให้คามั่น
“แต่… ทาไมเป็นผม?”
ฟางหยวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามคาถามสุดท้าย
“เพราะว่าคุณเป็นชาวจีนเต็มตัวและเป็นหนึ่งในพวกเรา ดังนั้น ความคิดของพวกเราย่อมคล้ายกัน!”
ซีเหมินเจียนยิ้มเจื่อน “นี่เป็นเพียงเหตุผลผิวเผินเท่านั้น สิ่งที่สาคัญก็คือคุณไม่มีประวัติและไม่เคยติดต่อกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มาก่อน นอกจากนี้ ผมเองก็ไม่มีใครที่จะสามารถพึ่งพาได้…”
มองแผ่นหลังของซีเหมินเจียนที่กลับออกไปแล้วฟางหยวนก็คิดหนัก
นี่คือการที่ผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันแล้ว
ในฐานะมนุษย์ธรรมดา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้ประโยชน์จากพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้น แต่วันสิ้นโลกเช่นนี้ก็ทาให้พวกเขาอยากจะกลับไปสู่วันเดิม ๆ วันเวลาที่ถนนไม่ปลอดภัยแต่มนุษย์ก็ยังสามารถควบคุมโลกได้ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ส่วนตอนนี้ มันคือการอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด แต่เป็นนรกของสิ่งมีชีวิตอื่นทุกชนิด
แต่ว่า เหล่าตัวตนเหนือธรรมชาติอื่น ๆ โดยเฉพาะผู้ฝึกตน ย่อมต้องชื่นชอบโลกที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณมากกว่า นั่นจึงจะเป็นสวรรค์ของพวกเขา
ในกระบวนการนี้ มนุษย์ธรรมดามากมายย่อมต้องเสียสละตัวเอง แต่นี่ก็เป็นวิถีของธรรมชาติที่เรื่องต่าง ๆ ดาเนินไป
เมื่อเผชิญหน้ากับผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันนี้ เหล่าผู้ฝึกตนจึงร่วมมือกันโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าครอบครองโลกนี้ ดังนั้น สิงเหอจื่อจึงไม่กลัวว่าฟางหยวนจะขัดแย้งกับเหล่าผู้ฝึกตน
ดังนั้น จากมุมหนึ่ง ก็มีโอกาสที่จะพูดคุยอย่างสันติกับราชามังกรทะเลและเซอร์เบอรัสเก้าหัว
“มันไม่เคยเป็นการต่อสู้อย่างยุติธรรมตั้งแต่แรกแล้ว… กองกาลังร่วมของเหล่าตัวตนเหนือธรรมชาติก็เหมือนยักษ์ และการต่อต้านจากมนุษย์ธรรมดาก็เหมือนมด!”
ฟางหยวนถอนหายใจ
การเข้าใจสถานการณ์นั้นง่าย ในวันวิปโยคเช่นนี้ เหล่าผู้ที่มีความสามารถย่อมกลายเป็นหนึ่งในผู้มีอานาจ
ต่อให้เป็นผู้นาประเทศ ถ้าไม่ใช่ผู้วิวัฒน์หรือตัวตนเหนือธรรมชาติอื่น ก็ย่อมมีความสามารถในการป้องกันตัวเองจากัด แล้วจะอยู่รอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ไปได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ต่อให้ไม่ต้องสู้กับเบื้องบนโดยตรง เหล่ามหาเศรษฐีและผู้นากลุ่มการค้าก็ต้องการมีชีวิตรอดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถ้าสิงเหอจื่อฉลาดกว่านี้อีกสักนิด เขาย่อมทาให้คนเหล่านี้กาจัดพวกเบื้องบนทิ้งได้โดยง่าย
ดังนั้น ซีเหมินเจียนจึงสามารถสรุปได้ว่าไม่มีผู้อื่นที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ หรือถ้าพูดให้ดูร้ายแรงขึ้นอีกนิด ทุกคนที่มีพลังในประเทศนี้ล้วนเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
“มนุษย์ธรรมดาช่างน่าสงสารเช่นนี้… พวกเขาทาได้เพียงสละทุกอย่างแต่กลับไม่สามารถทาอะไรได้เลย พวกเขาไม่มีกระทั่งสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น…”
ฟางหยวนเดินไปที่หน้าต่าง มองไปที่ตึกที่อยู่ในบริเวณรอบ ๆ เช่นเดียวกับกลุ่มผู้คนที่ดูราวกับมด เขาคิดเงียบ ๆ
“กระทั่งมดยังต่อต้านได้ แต่ในเหล่าคนธรรมดา ก็ยังมีคนอย่างซีเหมินเจียน และไม่ใช่หัวหน้าทุกคนที่จะไม่ยอดแพ้ต่อแรงกดดัน นี่เป็นความหวังสุดท้ายของเหล่ามนุษย์แล้ว…”
ฟางหยวนมองมือของตัวเอง
แค่เมื่อครู่นี้เอง ที่ซีเหมินเจียนฝากความหวังเอาไว้ในมือฟางหยวนแต่ยังไม่สามารถทาให้ฟางหยวนรับปากอะไรได้ เห็นได้ชัดเลยว่าคราวนี้นั้นมีความหวังน้อยนิดเพียงใด
สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คนส่วนใหญ่จะคิดภาพได้
กระทั่งซีเหมินเจียนเองก็เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงแล้ว
“คุณพ่อคะ!”
ไม่นานหลังจากนั้นเด็กสาวสองคนก็วิ่งมาหาฟางหยวน “คุณลุงคนนั้นพูดอะไรกับพ่อคะ?”
“ไม่มีอะไร เขาแค่ถามคาถามยาก ๆ พ่อข้อหนึ่ง!”
ฟางหยวนส่ายหน้า “แล้วก็… พ่อต้องเตรียมตัวออกจากประเทศนี้สักระยะ ดูแลบ้านด้วยนะ!”
“ออกจากประเทศ? ไปไหนคะ?”
“ประเทศโป๋สั่ว!”
…
นอกเมืองใหญ่
สิงเหอจื่อสะบัดแส้ปัดและพลังจากตัวเขาก็พุ่งออกไปเกิดเป็นมือขนาดใหญ่ทุบใส่เสือมีปีกจนกลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่งได้โดยไม่เปลืองแรงใด ๆ
หลังจากเอาชนะได้แล้วเขาก็ยังไม่หยุด ท่ามกลางเสียงสนับสนุนให้เขาเป็นผู้กอบกู้โลก เขาก็รีบจากมาและรู้สึกภาคภูมิใจ
“เรียบร้อย!”
หลังจากเดินทางออกมาไกลระยะหนึ่ง สิงเหอจื่อก็ซ่อนตัวเองในหมอกและไปหยุดอยู่ที่หน้าผา
“ครืน! ครืน!”
หน้าผาหนึ่งที่รอบ ๆ ถล่มลงมาเผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งที่จ้องตรงมาที่สิงเหอจื่อ
“ค่ายกลสมบูรณ์แล้ว ต่อไปก็จะเป็นสังเวยเลือด ส่งคนไปโจมตีเมืองเป็นระยะ ไม่สาคัญว่าจะโจมตีจากทางไหน”
สิงเหอจื่อเริ่มให้คาแนะนา
“คนผู้นั้น…”
ดวงตาที่บนหน้าผานั้นแผ่การสะเทือนออกมาแล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็นซีเหมินเจียนและฟางหยวน
“เจ้าเจออะไรรึ? เหอเหอ…”
เหอซินจื่อหัวเราะ “เขาพยายามสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลระดับสูงเพื่อรับมือกับพวกเรางั้นหรือ? เขาคงไม่เคยเข้าใจเลยว่าเรื่องนี้ เหล่าผู้ฝึกตนล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน กระทั่งฟาร์ชูฮาร์ที่ต้องใช้พลังชะตาจากผู้อื่นยังอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราเลย! ยิ่งไปกว่านั้น คนผู้นั้นนั้นเป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งของตัวเอง! ต่อให้เจิ้งฉีจื่อตื่นขึ้นมา ข้าก็เกรงว่าเขาเองก็คงจะร่วมมือกับพวกเราในเรื่องนี้เช่นกัน”
“เขาไปโป๋สั่ว!”
ดวงตาคู่ยักษ์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ยอดเยี่ยม! ที่โป๋สั่วมีดวงตาของค่ายกลถึงสามจุด ใครจะคิดว่าสหายฟางหยวนจะกระตือรือร้นขนาดนี้!”
สิงเหอจื่อหัวเราะ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าซีเหมินเจียนนั้นแอบรวบรวมกาลังคนอยู่ แต่ว่า นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็คอยจับตาดูฟางหยวนจากในความมืดเอาไว้ ดูสิว่าเขาจะทาให้ค่ายกลสมบูรณ์แบบหรือว่าทาลายมัน เจ้าสามารถสัมผัสชีพจรดินได้ไม่ใช่หรือ? เจ้าจะบอกไม่ได้เชียวหรือ?”