449: เผชิญหน้า
“เกิด… เกิดอะไรขึ้น?”
ฟางหยวนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลังจากปรับลมหายใจอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พบลาเพลิงพุ่งตรงมาหาเขาอย่างรีบร้อนจากปลายขอบฟ้า เงาร่างของสิงเหอจื่อค่อย ๆ ปรากฏขึ้นช้า ๆ
ทันทีที่เขาเห็นฟางหยวน เขาก็โบกแส้ปัด พลังของสมรภูมิเริ่มแผ่ออกมา ความมืดปกคลุมท้องฟ้าและดวงดาวปราฏขึ้น “เจ้าอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่?”
“คนผู้นั้นสอดแนมข้าและพยายามทาร้ายข้า ดังนั้นข้าจึงสังหารเขา! นี่คือคาอธิบายของข้า!”
ฟางหยวนลอยตัวขึ้นกลางอากาศและฉีกยิ้มกว้าง
“เจ้าจงใจจะเป็นศัตรูกับสานักเร้นกายหรือไร?”
สิงเหอจื่อจ้องมองฟางหยวน
“ข้าทาอันใดลงไปจึงบอกว่าข้าจงใจเป็นศัตรูกับสานักเร้นกาย? ข้ายังคงสนับสนุนปฏิบัติการเก็บดวงดาวอยู่เลย”
ฟางหยวนยักไหล่ “ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความขัดแย้งส่วนตัวของข้าและดวงตาหินพันปีเท่านั้น!”
หลังจากได้รับความทรงจาของดวงตาหินพันปี ฟางหยวนก็กระจ่างเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรวิญญาณ สาหรับตัวตนอันทรงพลังของอาณาจักรนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ
นอกจากนี้ ตัวตนเหล่านี้ที่สามารถบรรลุระดับเทพผู้สร้างได้นั้นก็หายได้ยากยิ่ง ส่วนมากแล้ว หากไม่เพราะสัมผัสได้ถึงเจตนารมณ์ของอาณาจักรวิญญาณก็อาจจะได้รับความช่วยเหลือ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
กระทั่งฟางหยวนยังหวาดกลัวหากต้องรับมือกับองค์กรที่ทรงพลังเช่นนั้น
“ความขัดแย้งส่วนตัว?”
สิงเหอจื่อสงสัยในข้อแก้ตัวของฟางหยวน แต่ว่า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและประกายของดวงดาวก็เริ่มสลัวลง
“ถูกต้อง… ข้ายังค้นพบความลับอันน่าตกใจด้วย! ดวงตาหินพันปีผู้นี้มีตัวตนอื่นเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว และนั่นก็คือปิศาจกระหายเลือด!”
ใบหน้าของฟางหยวนนั้นเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม “คนผู้นี้ก่อปัญหาเอาไว้เมื่อตอนนั้นและอาจจะกาลังสร้างปัญหาในตอนนี้ ข้าต้องสังหารเขาและเขาก็สมควรตายแล้ว!”
จากความทรงจาของดวงตาหินพันปี นี่ง่ายมากที่ฟางหยวนจะกล่าวโทษเขาเรื่องใด ๆ สิ่งที่ฟางหยวนพูดแน่นอนว่าเป็นความจริง
“ชิ… เป็นเขารึ!”
สิงเหอจื่อดูตกใจและโค้งตัวให้ฟางหยวน “ปิศาจกระหายเลือดผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยกวาดล้างสิบสามตระกูลและสังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์หลายร้อยชีวิต ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะกลายมาเป็นดวงตาหินพันปี น้องชาย เจ้าช่วยพวกเราสังหารเขา เจ้านับว่าทากรรมดีแล้ว!”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น…”
ฟางหยวนมีท่าทีถ่อมตัวแต่ภายในใจเขากาลังหัวเราะ
เป็นไปได้อย่างไรที่ตัวตนอันทรงพลังในสานักเร้นกายจะไม่ล่วงรู้ตัวตนแท้จริงของดวงตาหินพันปี?
ในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นผู้ทรงพลัง พวกเขาย่อมรู้ว่าอายุขัยของพวกตนนั้นค่อย ๆ หดสั้นลงแล้วและในไม่ช้าก็จะสูญเสียพลังวิญญาณทั้งหมดของตนไป ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก
นี่เป็นเหตุผลให้ฟางหยวนยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออธิบายการกระทาของตัวเอง
พูดตามจริงแล้ว ไม่ว่าดวงตาหินพันปีจะเคยมีความสาคัญเพียงไรเมื่อในอดีต ตอนนี้เขาก็เป็นคนตายไปแล้ว
แล้วจะมีใครโง่งมพอที่จะขัดแย้งกับฟางหยวน ผู้ฝึกตนระดับเทพผู้สร้างเพียงเพื่อคนตายผู้หนึ่ง? เหอเหอ… อย่างไรเสีย ฟางหยวนก็เป็นผู้ที่เพิ่งลงมือสังหารผู้ฝึกตนระดับเทพผู้สร้างอีกคนและตัวเขาเองยังไม่ได้รับบาดเจ็บใดด้วย! สิงเหอจื่อจะอยากเป็นคนต่อไปที่ตายตกภายใต้เงื้อมมือของฟางหยวนหรือไร?
สิงเหอจื่อไม่มีความคิดที่จะลงมือกับฟางหยวน กลับกัน เขายอมรับสิ่งที่ฟางหยวนพูดและเริ่มกร่นด่าทุกอย่างที่ดวงตาหินพันปีเคยทามาเมื่อในอดีต
“พี่สิงเหอจื่อ ไม่ต้องห่วง! ความเสียหายของค่ายกลจากการตายของดวงตาหินพันปีข้าจะแก้ไขเอง!”
เมื่อฟางหยวนสัญญาเช่นนี้แล้วก็ไม่มีปัญหาอื่นใดอีก
พวกเขาทั้งคู่นั้นพูดคุยกันด้วยดีก่อนที่จะแยกกันไป แต่ว่า ความคิดของพวกเขานั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับท่าทีที่แสดงต่อกัน
“เฮ่ย… น่าสงสารนัก…”
ฟางหยวนยืนอยู่กลางอากาศและมองไปที่ท้องฟ้าสีครามและถอนหายใจ
เพราะคุณลักษณะเฉพาะของอาณาจักรโลกนี้ กว่าเก้าส่วนของตัวตนอันทรงพลังในอาณาจักรล้วนไร้ปรานีและยังพร้อมที่จะดึงเอาอาณาจักรระดับสูงกว่ามาซ้อนทับกับอาณาจักรเดิมของตนโดยไม่คิดถึงเจตนารมณ์ของอาณาจักรตนเลย
เจตนารมณ์ของอาณาจักรโลกก็คงอดจะรู้สึกจนปัญญาไม่ได้ ใช่หรือไม่?
สาหรับฟางหยวน ไม่ว่าเจตนารมณ์นั้นจะเข้มงวดหรือว่าหละหลวม พวกมันก็ยังคาดเดาได้
แต่กับอาณาจักรระดับสูงกว่านั้น ย่อมต้องเอนเอียงไปทางต่อต้านและสะบัดสายฟ้าเข้าจัดการกับเหล่าผู้ล่วงล้าเหล่านั้น ต่อให้ไม่สามารถทาลายล้างคนทรยศเหล่านั้นได้ ก็ยังสามารถควบคุมพวกเขาเอาไว้และเตือนทุกคนที่มีความคิดขัดแย้งกับอาณาจักรในแบบเดียวกัน
แต่ว่า ฟางหยวนรู้สึกว่าเจตนารมณ์ของอาณาจักรโลกนี้ดูจนหนทางแล้ว ยิ่งกว่าของต้าเฉียนเสียอีก
“ดูเหมือนว่าเจตนารมณ์ของอาณาจักรโลกจะดื้อดึงไม่น้อย… ผู้ทรงพลังในอาณาจักรนั้นไม่สามารถจัดการได้หากไม่ได้เผยความตั้งใจอันขัดแย้งกับอาณาจักรออกมา นั่นเป็นข่าวร้ายของฝ่ายอาณาจักร… เมื่อพวกเขาทรยศและหนีไป ข้าเกรงว่ามันก็คงสายเกินไปแล้ว น่าเศร้านัก…”
ฟางหยวนกลับไปที่เมืองหุยหมิงด้วยหัวใจอันหนักอึ้งและไปพบกับซีเหมินเจียน
“เป็นอย่างไร?”
ซีเหมินเจียนสวมเครื่องแบบของคนรับใช้และออกมาพบฟางหยวนในตอนกลางคืนอย่างลับ ๆ
ทันทีที่เขาเห็นฟางหยวน เขาก็ยิ่งดูกระสับกระส่าย
เขายังเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มคนทั้งหมด ถึงระดับที่สิงเหอจื่อนั้นไม่สนใจเขาด้วยซ้า ที่สิงเหอจื่อยังปล่อยเขาเอาไว้ก็เพราะฟางหยวน ไม่อย่างนั้นแล้วเขาก็คงไม่รอดชีวิตมาถึงตอนนี้ได้
“ผมไปเยือนหลายพื้นที่ของประเทศจีน ทุกที่ล้วนลาบากไปหมด!”
ฟางหยวนไปถึงที่ห้องลับแล้วถอนหายใจ “ผมไปตรวจดูสถานหลบภัยหลายแห่งที่อยู่ภายใต้ข่ายเวทย์แล้ว ส่วนใหญ่แล้วสร้างขึ้นมาเพื่อการป้องกันและยังมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ดังนั้น มันจะไม่ได้ให้ผลทาลายเมือง!”
ฟางหยวนไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
“อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ดี…”
ถึงอย่างไร เขาก็ยังขมวดคิ้วอยู่
เขารู้ว่าถึงแม้ข่ายเวทย์จะไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อการทาลายล้าง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัยเสียทีเดียว อันที่จริง ฟางหยวนก็ได้บอกใบ้เขาแล้วถึงการใช้งานของข่ายเวทย์นั่น
“การอพยพเกือบจะเสร็จสิ้นแล้ว สัตว์ป่าที่ด้านนอกน่าจะไม่สามารถบุกเข้ามาในเมืองได้…”
ซีเหมินเจียนพึมพากับตัวเอง
แผนการที่ใช้เวลาเตรียมการนับสิบปีเพื่อใช้เมืองใหญ่ ๆ เป็นฐานทัพ ตอนนี้แผนการกาลังดาเนินไปแล้ว และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่ประเทศจะทาการเปลี่ยนแปลงแผนการนี้
“คุณคิดว่าพวกเราจะคาดหวังให้เขาเป็นมิตรต่อพวกเราได้ไหม? เหอเหอ… นี่ช่างย้อนแย้งนัก!”
ซีเหมินเจียนหัวเราะ
“อันที่จริงพวกเราก็มีแผนนะ!”
ฟางหยวนยิ้มแล้วเผยสีหน้าลึกลับ
…
บนทวีปตะวันออก ในโบสถ์แห่งหนึ่ง
“ความรู้สึกนี้…”
ฟาร์ชูฮาร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สีทองมองไปทางทิศทางสู่ทวีปกลาง “เจตนารมณ์ของอาณาจักรวิญญาณ… ที่นั่นอีกแล้วหรือ?”
เขาเดินออกจากโบสถ์มาแล้วมองลงไป
ตึกรามถูกสร้างเอาไว้รอบภูเขาโฮลี่ มันใช้แทนค่ายผู้อพยพดังนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้คน ทุกอย่างดูวุ่นวาย
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ศรัทธาอันภักดีที่อาศัยอยู่บนเขาโฮลี่เพื่อรับพร พวกเขามาจากทุกส่วนของทวีปตะวันออก
เมื่อถึงวันวิปโยค ถึงแม้ว่าศาสนาจะยังคงอยู่ แต่คูเรียที่มีพระเจ้าตัวจริงเป็นผู้ชี้นาเล่า?
ไม่เพียงเท่านั้น โรคภัยที่เซอร์เบอรัสเก้าหัวแพร่กระจายไปทั่วทวีปนั้นก็พาให้คนมากมายหันมาพึ่งพาคูเรียในการหาหนทางการรักษา
ถึงตอนนี้ รัฐบาลนั้นล่มสลายไปแล้วและคูเรียก็กลายมาเป็นองค์กรที่มีอานาจที่สุดบนทวีปตะวันออก กระทั่งสมาพันธ์บลูสตาร์เองก็ร่นไปอยู่อันดับที่สองแล้วตอนนี้
“ชีวิตมนุษย์แสนสั้น ในช่วงเวลาอันตรายเช่นนี้ ผู้คนย่อมไม่กล้ายึดถืออานาจหรือหน้าที่เอาไว้และเปลี่ยนเป็นขลาดกลัวมากขึ้น…”
เห็นภาพนี้แล้ว ฟาร์ชูฮาร์ก็ไม่ยินดีนัก
ท่ามกลางเหล่าผู้ทรงพลัง เขาอยู่ฝ่ายเดียวกับมนุษย์เพราะเขาจาต้องมีผู้ศรัทธา แต่ว่า ทั้งหมดนี้ล้วนใช้การไม่ได้
เหตุผลที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็เพื่อเพิ่มระดับพลังวิญญาณของดาวโลกนี้
เมื่อไม่มีหยาดพลัง เขาก็ไม่สามารถรวมผู้ศรัทธาจานวนมากได้ ซึ่งมีผลต่อพลังเช่นพระเจ้าของเขา
ดังนั้น กระทั่งฟาร์ชูฮาร์ก็ยังสนับสนุนปฏิบัติการเก็บดวงดาวเพื่อดึงสองโลกมาซ้อนทับกัน
แน่นอนว่า สาหรับผู้ทรงพลังหน้าใหม่แล้ว ฟาร์ชูฮาร์ไม่ได้บอกความจริงพวกเขา เขาเพียงแค่พูดถึงดาวหางราชาวิญญาณแต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาณาจักรวิญญาณ
“นี่คือสัญญาณของดาวหางราชาวิญญาณ! มันคือการเริ่มต้นใหม่!”
“เมื่อปรากฏการณ์ครั้งที่สี่มาถึง ตอนที่ดาวหางราชาวิญญาณอยู่ใกล้ดาวโลกที่สุด พวกเราสามารถเปิดใช้ข่ายเวทย์เพื่อเริ่มปฏิบัติการ… นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น นี่ก็เหมือนกับเล็งฉมวกจับปลา ถัดไป พวกเราจะใช้พลังที่เพิ่มขึ้นจากปรากฏการณ์การมาถึงของดางหางราชาวิญญาณเพื่อทาลายปราการให้อาณาจักรวิญญาณผสานรวมกับดาวโลก… นี่จึงจะเป็นปฏิบัติการเก็บดวงดาวที่แท้จริง เป้าหมายแท้จริงของสานักเร้นกาย!”
ฟาร์ชูฮาร์พึมพากับตัวเองต่อ “หลังจากทั้งสองอาณาจักรเชื่อมต่อกันแล้ว ดาวโลกก็จะยังคงสภาพตอนนี้เอาไว้และพลังวิญญาณที่นี่ก็จะไม่ลดต่าลงไปอีก พวกเราสามารถใช้ความสาเร็จครั้งนี้เพื่อให้อาณาจักรใหม่ยอมรับพวกเรา!”
สาหรับเหล่าพระเจ้าแล้ว การได้รับการยอมรับคือพลัง! การได้รับการยอมรับคืออานาจ!
นี่เป็นรางวัลที่อาณาจักรวิญญาณมอบให้ได้
เจตจานงของอาณาจักรวิญญาณนั้นต่างออกไปเมื่อเทียบกับดาวโลก มันยืดหยุ่นมากกว่ามาก ถ้ามันยอมรับว่าผู้ใดเป็นผู้มีพลัง ผู้นั้นก็กลายเป็นพระเจ้า นับเป็นความสาเร็จสูงสุดที่ว่าเอาไว้ในตานานจากทางตะวันออก!
“ตอนนี้… เจตนารมณ์ของอาณาจักรวิญญาณเกือบจะมาถึงทวีปกลางแล้ว!”
ฟาร์ชูฮาร์รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
ที่ด้านหลังเขา ปีกสามคู่แผ่รัศมีออกมาขณะเริ่มดูดซับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่รอบตัว
นอกจากนี้ ปีกคู่ที่สี่ที่ยังเป็นภาพมายาอยู่ก็กาลังจะเริ่มก่อตัวแล้ว
ปีกสามคู่นั้นหมายถึงว่ามีความสามารถระดับขั้นที่สี่
ปีกสี่คู่นั้นหมายถึงผู้วิวัฒน์ขั้นที่ห้า!
ในทวีปตะวันออก นี่นับได้ว่าอยู่ในขอบเขตเทพผู้สร้าง ผู้ที่มีพลังถึงเพียงนี้ย่อมสามารถสร้างผืนดินมั่งคั่งได้ และคนผู้นั้นจะถูกเรียกว่าเป็นตัวตนแห่งพื้นที่นั้น!
“ในเวลาอันสาคัญเช่นนี้ เจตนารมณ์ของอาณาจักรวิญญาณมักจะปรากฏตัวเพื่อนาเอาผู้ทรงพลังของอาณาจักรนี้ไป… คนของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หมาป่าหรือกระทั่งเซอร์เบอรัสเก้าหัวก็ล้วนได้ประโยชน์จากเจตนารมณ์อันทรงพลังของอาณาจักรวิญญาณ ข้าสงสัยนักว่าที่ทวีปกลาง ผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากันในเวลานี้?”
ฟาร์ชูฮาร์นั้นเหม่อคิดอยู่ ที่ด้านหลังเขาเป็นภาพมายาของปีกที่เริ่มดูดซับพลังชะตา แต่ว่า มันก็ยังต้องสลายไปในที่สุดเป็นหลักฐานว่าฟาร์ชูฮาร์ยังไม่ฟื้นกลับสู่ความสามารถแท้จริงของเขา
ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดบนภูเขาโฮลี่และเป็นผู้นาของทุกคนที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย
“นั่นใคร?”
แสงสวรรค์ส่องไปทั่วทั้งภูเขา ฟาร์ชูฮาร์รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวเมื่อตรวจพบตัวตนแห่งพื้นที่อีกคน
“เจ้าเรียกข้าว่า.. แม่นางจี๋อิน ก็ได้!”
กลางอากาศของเทือกเขาโฮลี่เริ่มบิดเบี้ยวและเด็กสาวงดงามอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งก็ก้าวออกมา มาหยุดตรงหน้าฟาร์ชูฮาร์ ปีกสีขาวและดาที่กลางหลัง
ของเธอและความงดงามอันน่าหลงใหลของเธอทาให้ฟาร์ชูฮาร์นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
ครู่ต่อมา จี๋อินก็พูดด้วยน้าเสียงหวานใส “ข้านาความตั้งใจดีและมิตรภาพที่ข้ามีกับแวมไพร์และมนุษย์หมาป่ามา… นอกจากนี้ ข้ายังมีความลับเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ด้วย!”