452: การไล่ล่า
ผู้ทรงพลังจริงนั้นไม่ถูกทาลายไปได้ด้วยกระบวนท่าเดียวของหมาป่า
“ร่างจาลองเวทย์? เงามายา?”
ที่กลางอากาศ เสียงของเคิร์ท์ลี่ย์กังวานไปทั่วเมืองก่อนที่เขาจะเงียบไป “นี่ยุ่งยากแล้ว…”
ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นผู้ทรงพลัง มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระบุตาแหน่งของคนคนหนึ่งในโลกกว้างใหญ่ของพวกเขา
“เคล็ดวิชาร่างจาลองเวทย์นี้ทรงพลังเสียจริง!”
ฟาร์ชูฮาร์มองอีกด้านของมัน “ความสามารถของเขาร้ายกาจในระดับที่สามารถหลบหนีไปได้ภายใต้การจับตาของสานักเร้นกายและยังเจ้าด้วย จี๋อิน!”
“บรู๊ววว!”
เสียงหอนของหมาป่าดังมา เส้นของของจอนหดกลับและเขาเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นชายร่างใหญ่ เขามองจี๋อินด้วยสาตาหมดความอดทน “ทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้าขาดความแม่นยา!”
“ถูกต้อง กระทั่งข้าก็ไม่สามารถแยกระหว่างตัวเขากับร่างจาลองเวทย์ของเขาได้…”
จี๋อินหัวเราะเสียงเฝื่อน
ในตอนนั้น พวกเขาทั้งหมดแน่ใจว่าฟางหยวนอยู่ในกระท่อมนั่น
หากไม่อย่างนั้น ทาไมพวกเขาทั้งหมดถึงใช้กระบวนท่าเอาชีวิตออกมา? แต่ว่า มองเมืองหุยหมิงที่ถูกทาลายแล้วผู้ทรงพลังทั้งสี่คนก็เงียบไป
“หรือว่า…”
บรรพบุรุษแรกของแวมไพร์ เคิร์ทลี่ย์ พูดขึ้น “พวกเจ้าคิดไหมว่ามันจะได้ผลหากพวกเราจับตัวสมาชิกในครอบครัวหรือว่าเพื่อนของเขามาขู่เขา? ข้าได้ยินมาว่าเขามีลูกสาวบุญธรรมสองคน…”
“หรือพวกเราจะประกาศท้าทายเขา ถ้าเขาไม่ปรากฏตัวออกมา พวกเราก็ค่อยทาลายไปทีละเมือง!”
สายตาของมนุษย์หมาป่าจับจ้องไปทางเมืองที่ชะโลมไปด้วยเลือดและเข้าสู่ภาวะตื่นตัวพร้อมแล้ว
“ทาไม่ได้!”
จี๋อินคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้า “ในเมื่อเขาหนีไปแล้ว มันก็ย่อมหมายความว่าเขาคิดคานวณเอาไว้แล้ว ตอนนี้ เขาก็คงอพยพสมาชิกครอบครัวของเขาไปแล้วหรืออาจจะตัดขาดกับพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเราจะทรมานลูกสาวของเขาต่อหน้าเขา เขาก็คงจะไม่หวั่นไหวเลยแม้สักนิดเดียว”
“และยังเป็นไปไม่ได้มากกว่าที่จะฆ่าล้างเมือง!”
ฟาร์ชูฮาร์เสนอความคิดเห็นของตน “ถ้าพวกเราทาซ้าเมื่อครู่นี้อีกครั้ง พวกเราย่อมต้องดึงดูดความสนใจจากสานักเร้นกาย”
“นั่นอะไรน่ะ?”
“อพยพผู้คนและเรียกกองทัพ!”
…
ถึงตอนนี้ ผู้คนเริ่มรู้สึกได้ถึงความวุ่นวาย ผู้วิวัฒน์หลายคนผุดขึ้นฟ้าและปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางยินยอมสู้ตาย
พวกเขารู้ว่าพวกเขากาลังจะต้องสู้กับผู้ทรงพลังที่สามารถทาลายเมืองทั้งเมืองได้และพวกเขาก็คงไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านผู้ทรงพลังเหล่านี้ได้!
แต่ว่า เพื่อครอบครัวและเพื่อนฝูงของตน หรือกระทั่งเพื่อชีวิตของตนเอง พวกเขาต้องสู้
“อย่าได้ทาเกินเลยไป!”
เห็นแล้วสีหน้าของฟาร์ชูฮาร์ก็เปลี่ยนไป “อย่างไรเสีย ข่ายเวทย์ก็ยังอยู่ที่นี่!”
“เหอเหอ… ไม่ต้องห่วง!”
เคิร์ทลี่ย์นั้นไม่ยินดีกับความจริงที่พวกเขาได้ใช้พลังทั้งหมดไปแล้วและกลับไม่มีประโยชน์ใด เขาหัวเราะสั้น ๆ ก่อนที่เมฆสีแดงเข้มจะเริ่มลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกดต่าลงมา กักผู้โชคร้ายหลายคนเอาไว้ในนั้น ไม่นานนักก็มีเสียงร้องคร่าครวญดังมา
“ครืน!”
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏจุดดาเล็ก ๆ ขึ้นที่ปลายขอบฟ้า เป็นเครื่องบินรบหลายลาบินตรงมาทางเมืองด้วยความเร็วสูงสุด
“พวกเขาบรรทุกระเบิดปรมาณูมาด้วยหรือ?”
เห็นแล้วดวงตาของจอนก็เปลี่ยนเป็นแดงก่าและสีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นดุร้าย “ข้าอยากจะทดสอบขีดจากัดพลังการฟื้นฟูของข้ามาตลอดเลย!”
“ทาไม่ได้!”
จี๋อินส่ายหน้า “ไม่ใช่ทุกคนจะต้องการทดสอบขีดจากัดของตนเองอย่างเจ้า พวกเขาไม่โจมตีพวกเราโดยวู่วามหรอก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงประชาชนในเมืองแล้ว!”
“พวกเราควรจะทาอย่างไร?”
ฟาร์ชูฮาร์ขมวดคิ้ว
ทั้งสี่คนร่วมมือกันในคราวนี้ แต่ว่าไม่มีใครรู้เลยว่าพวกตนจะเผชิญกับสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้
อันที่จริง พวกเขาล้วนมีทักษะการทานายหรือกระทั่งการตามหาคนในระดับสูง
แต่ว่าฟางหยวนนั้นระแวดระวังเกินไปและยังไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้พวกเขาตามหาได้
ตอนนี้ เขายังปกปิดร่องรอยทั้งหมด พวกเขาทั้งสี่คนจึงไม่มีโชคพอที่จะได้ใช้ทักษะและเคล็ดวิชาของตน
“จี๋อิน… ในเมื่อเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกเราควรจะกลับกันก่อน!”
หลังจากนั้นเป็นนาน ฟาร์ชูฮาร์มองพวกเขาอีกสามคนและพูดขึ้น
เด็กสาวผู้นี้เคยช่วยพวกเขาจับตัวเซอร์เบอรัสเก้าหัวและยังมอบผลประโยชน์ให้พวกเขาหลายอย่างทาให้พวกเขาตกลงช่วยเธอครั้งนี้
แต่ว่า พวกเขาไม่มีใครคิดเลยว่าศัตรูจะหายตัวไปเช่นนี้
“แม่นางคนงาม ไม่ต้องห่วง พวกเราจะยังรักษาสัญญาแน่นอน!”
เคิร์ทลี่ย์พูดต่อ “ตราบใดที่เจ้าพบร่องรอยของศัตรู เจ้าก็แค่ต้องบอกพวกเราและพวกเราจะไปให้เร็วที่สุด!”
“ฝุบ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็ระเบิดกลายเป็นค้างคาวสีเลือดจานวนมากบินขึ้นฟ้ามุ่งไปทางตะวันออก
“ข้าขออภัยด้วย ข้าไม่สามารถทิ้งเทือกเขาโฮลี่ไว้นานเกินไปได้เช่นกัน!”
เห็นเช่นนั้นแล้ว ฟาร์ชูฮาร์ก็ยักไหล่และกลับไปพร้อมกับมนุษย์หมาป่าจอน
“บ้าชะมัด!”
เมื่อเห็นพวกเขาจากไป จี๋อินก็กัดฟัน
เธอรออยู่ที่เดิมต่อด้วยความคาดหวัง จนกระทั่งตะวันตกดิน ไม่เพียงเธอไม่ยินยอมจะกลับไป ก่อนกลับ เธอยังมองไปทิศทางหนึ่งเหมือนกาลังเตือนใครบางคน
“เหอเหอ…”
แค่ครู่เดียว เงาร่างของสิงเหอจื่อก็ปรากฏขึ้น เขาส่ายหน้า “ผู้ฝึกตนขั้นสูงระดับเทพหวนคืนและยังไม่ใช่คู่มือของหุ่นชักใย นี่มันน่าขา… น่าเสียดายที่การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้นเลย แล้วก็ดูเหมือนแม่นางจะไร้ประสบการณ์เกินไปแล้ว…”
ที่รออยู่ก็คงเพราะจี๋อินพยายามจะล่อฟางหยวนออกมา
ส่วนอีกสามคนนั้นก็เจ้าเล่ห์ น่าจะทาเป็นกลับไปแล้วแต่อันที่จริงแอบอยู่ที่ใดสักแห่งล่อฟางหยวนออกมาแล้วใช้กระบวนท่าสังหารกับเขาทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น
เห็นได้ชัดว่าแผนการนี้ล้มเหลวเพราะว่าฟางหยวนตัดสินใจจะเป็นคนขี้ขลาดในคราวนี้
“แม่นางผู้นี้ช่างอามหิต…”
สิงเหอจื่อถอนหายใจขณะมองไปยังหายนะที่ด้านล่าง “โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ทาลายรากฐานของข่ายเวทย์ หลังจากสังเวยโลหิตไป พวกเราก็มีวิญญาณทุกข์มากพอให้ข่ายเวทย์ฟื้นฟูตัวเองได้หากถูกทาลาย ดวงตาของค่ายกลก็สมบูรณ์แล้วโดยไม่มีข้อแทรกซ้อนใด”
“แต่ว่า… ฟางหยวนผู้นี้…”
กระทั่งสิงเหอจื่อเองก็หวาดกลัวฟางหยวน
ตัวตนอันลึกลับของเขาที่ถูกสงสัยว่าจะเป็นปิศาจจากโลกอื่นนั้นเป็นแค่หนึ่งในความกังวลเท่านั้น
ที่สาคัญไปกว่านั้น ฟางหยวนได้เผยท่าทีที่ไม่เข้ากับกฏเกณฑ์ใด ๆ
ดวงตาหินพันปีเพียงแค่สอดแนมเขาครั้งเดียวแต่กลับถูกสังหารในทันที คราวนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ทรงพลังสี่คน ฟางหยวนกลับรู้จักหลบหนีและทาอย่างที่เห็น
ช่างเป็นผู้ที่ราวกับงูพิษ! ถ้าตีงูไม่ถึงตาย เรื่องหลังจากนั้นก็จะยากขึ้นแล้ว!
‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ควรไปไล่ตามลูกสาวบุญธรรมทั้งสองนั่น ข้าควรจะมอบเรื่องนี้ให้ผู้อื่นจัดการ!’
สิงเหอจื่อคิดกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดแส้ปัด จากนั้นฟ้าก็มืดและดาวเริ่มส่องประกายระยิบระยับบนฟ้ากลางคืน
“มนุษย์ช่างโง่งม ข้ามาที่นี่ก็เพื่อกู้โลกเชียวนะ!”
เขาหัวเราะเสียงเย็น และใช้เคล็ดวิชาพิเศษก่อนที่จะเหยียดมือออกไป
“ครืน!”
พลังแห่งดวงดาวพุ่งออกไป และทุกแห่งหนก็สั่นสะเทือน
…
“นี่มันประหลาด!”
ในผืนดินมั่งคั่งของสานักวังหยก ฟางหยวนลืมตาขึ้นและเริ่มสงสัยในบางอย่าง “มันดูเหมือน… นี่ไม่ใช่ผู้อาวุโสจี๋อิน!”
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะมั่นใจในความสามารถปิดบังตนเองของเขา เขาก็ยังกังวลที่ศัตรูของเขาอาจจะเป็นผู้อาวุโสในระดับสวรรค์มายา พลังของนางนั้นไร้จากัด และหากนางสิ้นหวังมากพอ นางอาจจะบุกตรงมาหาฟางหยวนเลยก็เป็นได้
ดังนั้น ฟางหยวนจึงเลือกผืนดินมั่งคั่งเป็นสถานที่เผชิญหน้าครั้งสุดท้าย
ด้วยรากฐานของสานักวังหยก ฟางหยวนนั้นปรับให้มันกลายเป็นค่ายกลที่ทรงพลังหลายอย่าง หากเขาเปิดใช้พวกมันทั้งหมดพร้อมกัน ศัตรูย่อมเสียท่าด้วยไม่ทันระวังตัว
นอกจากนี้ ยังมีอุโมงค์ลับที่เขาสามารถควบคุมได้ดังใจทั้งจู่โจมและป้องกัน
“แต่ตอนนี้… พวกเขาไม่มีใครมาที่นี่เลย เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
ฟางหยวนไม่พอใจกับการที่แผนการของเขาไม่ได้ใช้ออก
“ดวงตาสอดแนมที่ด้านนอกก็ไม่พบอะไรเช่นกัน มันเหมือนจี๋อินผู้นี้นั้นไม่ได้กระตือรือร้นที่จะตามหา และหาข้าไม่เจอ…”
ฟางหยวนลูบคางและรู้สึกพ่ายแพ้ “เป็นไปได้ไหมว่าผู้อาวุโสอ่อนแอถึงเพียงนี้จริง ๆ? หรืออาจจะเป็นเพราะ… ข้ากลัวไปเอง และนางก็ไม่ได้ข้ามฝันมาที่นี่ตั้งแต่แรก?”
“หากเป็นเช่นนั้น…”
ถึงจุดนี้เขาก็ตัดสินใจได้ เขาออกจากผืนดินมั่งคั่งอย่างรวดเร็วและพุ่งไปทางทวีปตะวันตกด้วยความเร็วสูงสุด
…
หลายเดือนผ่านไป
บนผิวทะเลติดกับสหพันธ์อินทรีทอง ลาแสงสองเส้นพุ่งไปด้วยความเร็วสูง
“นางไม่ใช่จี๋อินจริง ๆ ด้วย!”
ฟางหยวนเปลี่ยนไปเป็นสายฟ้าเส้นหนึ่งและความตั้งใจสังหารของเขาก็ตรึงอยู่กับเงาร่างตรงหน้าเขา
เขาแอบมาที่สหพันธ์อินทรีทองและลอบเข้าไปรออยู่ในรัฐบาล ด้วยความอดทนและคาถาบางอย่าง ในที่สุดเขาก็พบร่องรอยของอาวุธปิศาจ
จากนั้น เขาก็ลงมือโจมตีเธอโดยตรงด้วยสายฟ้า
เขาไม่คิดเลยว่าทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น อีกฝ่ายก็เริ่มหนี นี่ไม่เหมือนผู้อาวุโสจี๋อินเลยสักนิด
“ฟางหยวน ข้ารู้… เจ้าคือปิศาจจากโลกอื่นที่ทุกคนบนโลกของเราเกลียดชัง!”
จี๋อินพุ่งตัวไปขณะพูดต่อ “ข้าแจ้งแก่สมาชิกพันธมิตรของสมาพันธ์ปิศาจแล้ว พวกเขาจะมาที่นี่ทันทีที่ทาได้ เมื่อเจ้าถูกล้อมเอาไว้ เจ้าก็ถูกสังหารแน่นอน”
ไม่ว่าเธอจะข่มขู่ฟางหยวนอย่างไร ฟางหยวนก็ไล่ตามเธอต่อโดยไม่ให้โอกาสเธอพักหายใจสักนิด
“เจ้ารู้ตัวตนของข้าและเจ้ายังมีคาถาลับประหลาดหลายอย่าง ดูเหมือนเจ้าจะยังเป็นอาวุธปิศาจที่ข้ารู้จัก แต่ว่า เจ้าได้รับความทรงจาบางส่วนมาและใช้ประโยชน์มันในช่วงหลายปีนี้… พูดกันตามจริงแล้ว ข้าประทับใจที่เจ้าสามารถตอบโต้กลับได้นะ”
ฟางหยวนเริ่มรู้สึกสนใจในตัวเด็กสาวผู้นี้
มันคงจะเป็นความสาเร็จของจี๋อินที่จะกลับเข้ามาในอาณาจักรนี้อีกครั้ง ดาเนินตามแผนการและกลายเป็นผู้ชนะ
นอกจากนี้ หลังจากทาลายจิตวิญญาณของนางแล้ว ฟางหยวนก็สามารถดูดซับความทรงจาบางส่วนของอาวุธปิศาจได้ ต่อให้ผู้อาวุโสจี๋อินจะผนึกความทรงจาบางส่วนเหล่านี้เอาไว้ มันก็ยังคงมีบางส่วนที่ฟางหยวนสนใจ
และเด็กสาวผู้นี้ยังเป็นร่างจาลองของผู้อาวุโสจี๋อินและยังเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของนาง นั่นหมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่านางนั้นแทบจะถอดแบบมาจากผู้อาวุโสจี๋อินตัวจริงเหมือนกับเป็นร่างจาลองเวทย์ที่หลุดออกจากการควบคุม!
หากฟางหยวนสามารถควบคุมร่างจาลองเวทย์นี้ได้ เขาย่อมสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลและความลับอันมีค่ามากมายได้! เขาเขานาข้อมูลเหล่านี้กลับไปที่ต้าเฉียน เขาย่อมมีข้อได้เปรียบในการรับมือผู้อาวุโสจี๋อิน
“เหยื่อที่ข้าวางเอาไว้นั้นใช้ได้ผลแล้ว ในเมื่อสามารถดึงดูดปลาตัวใหญ่เช่นนี้มาได้”
คลื่นพลังวิญญาณม้วนไปบนผิวทะเล ฟางหยวนเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“โฮก! โฮก!”
ในตอนนี้เอง เสียงมังกรคารามดังมาจากที่ไกล ๆ และจี๋อินก็ดูโล่งใจขึ้น