454: ร่างจาลองเวทย์
“ที่นี่… ที่ไหน?”
ทันทีที่จี๋อินรู้สึกตัว เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเธออยู่ในสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนวังสักแห่งหนึ่ง
รอบด้านมีเสาสูงสีขาวสี่ต้น โซ่ห้อยลงมาจากเสานั่นและพันธนาการเธอเอาไว้ที่ตรงกลาง
“อย่าพยายามดิ้นรนเลย!”
ตรงหน้าเธอ ฟางหยวนยืนอยู่อย่างสงบ “ข้าร่ายค่ายกลที่ช่วยกาจัดหยาดพลังที่รอบตัวเจ้าออกไป และยังมีค่ายกลอื่น ๆ ที่ด้านนอกอีก ต่อให้เป็นผู้มีพลังระดับเทพหวนคืนก็ยังยากที่จะหนีรอดไปได้
“เจ้าต้องการทาอันใดกับข้า?”
จี๋อินประเมินสถานการณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วพูดกับฟางหยวนอย่างสงบ ตั้งใจจะถามไถ่ถึงข้อต่อรอง “ข้ารู้… เจ้าไม่ใช่ผู้ทรงพลังในโลกของเจ้าเอง ในสัมปชัญญะของข้า ข้ามีความทรงจามากมายและสามารถแลกเปลี่ยนกับเจ้าได้… ไม่สิ! ตราบใดที่เจ้าไม่สังหารข้า ข้ายินดีมอบความทรงจาทั้งหมดนั้นให้เจ้า!”
“ข้าสนใจข้อมูลพวกนั้นจริง แต่ว่า ข้าก็สามารถดึงเอาข้อมูลเหล่านั้นจากเจ้าได้ด้วยตัวข้าเอง เหตุใดจึงยังต้องแลกเปลี่ยนกับเจ้าอีก?”
ฟางหยวนหัวเราะและกางฝ่ามือออกไป
“อืม!”
ฝ่ามือของเขานั้นเรียบลื่นราวหยกและยังให้ความรู้สึกเย็นเมื่อเขาวางฝ่ามือลงบนหน้าผากของจี๋อิน
ใบหน้าเด็กสาวเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน ประกายประหลาดแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของนาง
ความรู้สึกของการถูกขุดคุ้ยลงไปถึงวิญญาณนั้นราวกับมีคนทุบกะโหลกของนางออกแล้วใช้กาลังเปิดมันออกก่อนจะใช้ช้อนโลหะคนสิ่งที่อยู่ด้านในไปมา
“ข้ารู้แล้ว…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในที่สุดฟางหยวนก็พูด “เจ้าคงมีความคิดเหิมเกริมทาลายจิตวิญญาณของจี๋อิน ดังนั้น เจ้าจึงคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้ารอดไปใช่หรือไม่?”
“นี่ไม่ดีแล้ว!”
ประกายสีเงินแวบผ่านดวงตาของจี๋อิน
ในตอนนี้ ทะเลแห่งจิตสานึกของเธอเริ่มสั่น จิตของเธอเริ่มขยายออก ทาให้เธอมีพลังมากกว่าพลังปกติถึงสิบเท่า!
นี่เป็นกระบวนท่าไม้ตายของเธอ มันเป็นความสามารถพิเศษที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าได้ไปดูดซับมันมาจากที่ใด ผลของพลังนี้จะทาให้เธอมีพลังมากกว่าปกติถึงสิบเท่า แต่หลังจากนั้นจะอ่อนแอลงเป็นเวลาสามวัน
ถึงแม้ว่ากระบวนท่านี้จะแสดงผลเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น มันก็ยังมากพอให้เธอทาตามที่ต้องการได้
ถึงแม้ว่าความสามารถนี้จะทาได้เพียงเพิ่มพลังของผู้วิวัฒน์ที่เป็นเจ้าของพลังขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่มันก็เป็นไม้ตายที่อาวุธปิศาจสามารถใช้ปกป้องจิตวิญญาณของตนเองได้
นี่ยังเป็นหนึ่งในแผนการที่เธอมีตอนที่กาลังหนีจากเงื้อมมือฟางหยวน
เหตุใดเธอจึงยังจะใช้ความสามารถนี้หลังจากถูกค่ายกลจากัดเอาไว้ได้?
นี่เป็นเพราะหลังจากได้รับความทรงจาและเคล็ดวิชาของจี๋อินมา เธอก็บรรลุระดับขีดจากัดของความสามารถพิเศษของเธอและเริ่มต้นเส้นทางการฝึกตน
ถึงแม้ว่าเธอจะอ่อนแอเป็นอย่างยิ่งตอนนี้ เธอก็ยังสามารถใช้ความสามารถพิเศษเล็ก ๆ นี้ของตัวเองได้
แต่ว่า มันก็น่าเสียดายเพราะสิ่งที่ฟางหยวนพูดออกมา เธอจึงไม่สามารถใช้แผนการเดิมได้และเปิดใช้มันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวในตอนนี้เอง
“ครืน!”
ในฐานะผู้วิวัฒน์ที่มีพลังขั้นที่สี่ ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะมีเจตจานงอันมุ่งมั่นและกระจ่าง ภายใต้เจตจานงอันทรงพลังที่แผ่ออกมาจากอาวุธปิศาจ เจตจานงของเขาก็ล้มครืนลงโดยไม่ทันได้สู้และหลุดออกจากสัมปชัญญะไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ จี๋อินกลับมีท่าทางงุนงง
แผนเดิมของเธอก็คือฉวยโอกาสตอบโต้กลับและทุ่มพลังจิตของตนใส่สัมปชัญญะของฟางหยวนเพื่อทาลายเขาลง!
แต่ว่า ในเมื่อฟางหยวนเตรียมตัวเอาไว้ก่อน เขาย่อมตัดขาดจากเจตจานงของตัวเองชั่วคราวแน่นอน หลังจากการโจมตีรุนแรงนี้ เธอก็จะจนปัญญารับมือกับการโจมตีของฟางหยวนแล้ว
ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังจ้องไปทางฟางหยวนอย่างมดร้ายราวกับเป็นหมาป่าตัวเมียมองเหยื่อของตน
“ความคล้ายคลึงกัน… ช่างน่าประหลาด!”
หลังจากแผนการของฟางหยวนที่ทาให้จี๋อินต้องใช้กระบวนท่าไม้ตายออกมาใช้ได้ผล เขาก็มองไปที่ใบหน้าซีดขาวเบื้องหน้าและอึ้งไป “รูปโฉมนี้คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสจี๋อินมาก… เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
“เหตุใด?”
จี๋อินเริ่มเปลี่ยนเป็นกระวนกระวาย
ทันใดนั้น ในความทรงจาของเธอ เงาร่างหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
นั่นคือ…
น้าตาเอ่อขึ้นมาและใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ไม่… ช่วยข้าด้วย!”
“แค่ก…”
เห็นภาพนี้แล้ว ฟางหยวนก็หมดคาพูด “อย่างไรร่างจาลองเวทย์ของผุ้อาวุโสจี๋อินก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะได้โดยง่าย… ต่อให้ข้ากลายเป็นคนวู่วามและตกลงไปในกับดักของเจ้า ข้าก็ยังสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสัมปชัญญะของเจ้าได้… แต่ตอนนี้ที่เจ้าจนปัญญาแล้ว เจ้ารู้สึกว่าความทรงจาของเจ้าเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ใช่หรือไม่? ไม่ต้องคิดเรื่องนั้นหรอก ยิ่งเจ้าคิดถึงนางมากเท่าไหร่ เจตจานงนั้นก็จะก่อเกิดขึ้นในตัวเจ้าได้ง่ายขึ้น!”
ยิ่งฟางหยวนพูดถึงมากเท่าใด สถานการณ์ก็ยิ่งกลายเป็นเลวร้าย
เมื่อเขาพูดถึงความทรงจานั่น เด็กสาวก็อดคิดถึงมันโดยไม่รู้ตัวไม่ได้ เธอคิดถึงหญิงที่งดงามและสะดุดตาราวกับเทพธิดาคนนั้น
นอกจากนี้ ความทรงจาที่กระจัดกระจายก็เริ่มรวมเข้าหากันเหมือนพวกมันมีชีวิตขึ้นมา พวกมันพยายามเข้าควบคุมเธอและทาให้เงาร่างของผู้หญิงคนนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
“ไม่… ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนไปเป็นคนผู้อื่น ช่วยข้า!”
น้าตาสองสายไหลลงมาตามใบหน้าของเธอและแตกกระจายไปเมื่อตกลงสู่พื้น
เด็กสาวฝืนหลับตาลง ครู่ต่อมา ทันทีที่เธอลืมตาขึ้น สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เธอดูสงบ และยังก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อผู้ที่มองเห็นเธอ
“ฟางหยวน!”
น้าเสียงสงบและยังเยือกเย็นของเธอนั้นราวกับว่าเด็กสาวที่ตรงหน้าฟางหยวนนั้นเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น
เธอไม่ใช่อาวุธปิศาจอีกต่อไป แต่ว่าเป็นจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาขั้นสูงอย่างแท้จริงแห่งโลกต้าเฉียน ผู้อาวุโสจี๋อิน!
“ปล่อยข้าไป!”
จากนั้นผู้อาวุโสจี๋อินก็ออกคาสั่งให้ปล่อยนางอย่างใจเย็น
“ข้าต้องขออภัยด้วย… ข้าทาไม่ได้!”
ฟางหยวนกอดอกแล้วหัวเราะ
“เจ้ากล้าดีอย่างไร! เจ้าจงใจจะหยามข้าใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสจี๋อินมองฟางหยวนอย่างอยากฆ่าให้ตาย “สมาชิกของสมาพันธ์แห่งอาณาจักรสังหารกันเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าตั้งใจจะทรยศสมาพันธ์แล้ว! เจ้าต้องการให้ปราชญ์ตามล่าตัวเจ้าหรือไร?”
“เหอเหอ…”
เห็นแล้วฟางหยวนก็ยังไม่ขยับตัวและยังมีสีหน้าขบขัน
“ฟางหยวน… หากเจ้าปล่อยข้า นับว่าข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเรากลับไป ข้าจะชดเชยให้เจ้า เป็นอย่างไร?”
เห็นปฏิกริยาของฟางหยวนแล้วผู้อาวุโสจี๋อินก็เปลี่ยนน้าเสียง
“เจ้าคือ… ผู้อาวุโสจี๋อินจริง ๆ น่ะหรือ?”
ในที่สุดฟางหยวนก็พูดบางอย่างที่ทาให้ผู้อาวุโสจี๋อินเปลี่ยนสีหน้า “ในฐานะจ้าวแห่งฝัน พวกเราข้ามฝันและหากพวกเราเข้าครอบครองร่างและได้รับบาดเจ็บ จิตวิญญาณแท้จริงของพวกเราก็จะเสียหายและต้องรีบกลับเข้าสู่ร่างของตน ข้าไม่เคยได้ยินเลยว่ามีใครทิ้งร่างจาลองเวทย์เอาไว้”
“นี่เป็นสถานการณ์พิเศษและข้าก็ถูกกักเอาไว้ในร่างนี้ โชคดี ข้าสามารถแบ่งสัมปชัญญะส่วนหนึ่งเอาไว้รับรู้สิ่งอื่นได้…”
ขณะที่ผู้อาวุโสจี๋อินพูดต่อ น้าเสียงของเธอก็กลายเป็นแหลมสูงเหมือนรู้ว่ากระทั่งเด็กน้อยก็คงไม่เชื่อที่นางพูด นางจึงเริ่มหมดความอดทน “บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการอะไร? ไม่ว่าข้าจะอ่อนแอเพียงใดข้าก็ยังเป็นร่างจาลองเวทย์ของร่างจริงของข้า เจ้ายังคิดจะทาร้ายข้าอีกหรือ? เจ้าไม่กลัวหรือว่าร่างจริงของข้าจะรู้ตัวและจัดการกับเจ้าภายหลัง?”
“โอ้ อย่างนั้นหรือ? ข้ากลัวมากเลย!”
ฟางหยวนดีดนิ้วแล้วค่ายกลก็เริ่มทรงพลังมากขึ้น
ผู้อาวุโสจี๋อินที่ถูกกักเอาไว้ตรงกลางรู้สึกว่าแรงกดบนบ่าของตนรุนแรงมากขึ้นและนางก็เริ่มทรุดตัวลงไปคุกเข่า “เจ้าต้องการอะไร?”
นางไม่รู้เลยว่าโลกนี้สาคัญต่อฟางหยวนอย่างไร ฟางหยวนนั้นตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าเขาจะสังหารทุกคนที่เข้ามาวุ่นวายกับแผนการของเขา ต่อให้เป็นปราชญ์มาที่อาณาจักรนี้ก็ตาม!
“ข้าเกรงว่า… ท่านจะโชคไม่ดีเท่าใด!”
ถึงแม้ว่าฟางหยวนจะควบคุมนางเอาไว้ได้โดยสมบูรณ์ เขาก็ยังระมัดระวัง
นี่เป็นร่างจาลองเวทย์ของผู้อาวุโสจี๋อินจริง ๆ และยังต่างไปจากเด็กสาวก่อนหน้านี้ นางน่าจะรู้วิชาลับทั้งหมดของผู้อาวุโสจี๋อินและฟางหยวนก็ทาให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดผิดพลาดไป
เมื่อคิดดูแล้ว นี่ก็เป็นโชคร้ายของผู้อาวุโสจี๋อินจริง ๆ
ด้วยความสามารถของนาง นางสามารถเข้าครอบครองร่างผู้ใดก็ได้ในอาณาจักรนี้และอยู่อย่างปลอดภัย
แต่ว่า นางกลับต้านทานความต้องการของตัวเองไม่ได้และเลือกร่างจาลองของตนเองที่เหมาะสมกับการเข้าครอบครองร่างที่สุด
แต่ว่า เพราะข้อจากัดของอาณาจักรนี้ กระทั่งปราชญ์ก็ยังต้องเริ่มการฝึกตนตั้งแต่ต้นซึ่งเป็นกระบวนการที่ลาบากแสนสาหัส ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความสามารถพิเศษ ค่าสถานะคงที่ อยู่ในครอบครองเหมือนฟางหยวนและสามารถบรรลุระดับได้โดยไม่ต้องไตร่ตรองใดให้มากความ
ผู้อาวุโสจี๋อินนั้นต้องทนรับผลกระทบแก่จิตวิญญาณแท้จริงไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ นางเข้าครอบครองร่างของผู้วิวัฒน์ขั้นที่สี่ ถึงอย่างนั้น ผู้อาวุโสจี๋อินก็ยังสามารถถอดจิตวิญญาณออกไปและหนีรอดไปก็ยังได้
แต่ว่า นางไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากที่อาวุธปิศาจได้ดูดซับความสามารถพิเศษทั้งหมดมาแล้ว มันจะมีความสามารถเพิ่มพลังจิตของตนเองแล้วพลิกสถานการณ์กลับได้
นี่เป็นการตีกลับครั้งที่สองที่จะทาให้จิตวิญญาณแท้จริงของนางเสียหายกว่าเดิมและดังนั้น นางย่อมต้องกลับสู่ร่างจริงที่ต้าเฉียน
แต่ว่า จิตวิญญาณของนางถูกกักเอาไว้ในอาวุธปิศาจ ในเมื่อนางไม่ยินยอมปล่อยให้อาวุธปิศาจได้ประโยชน์จากความรู้ของนาง นางจึงเข้าสู่ภาวะจาศีล
ตอนนี้ที่อาวุธปิศาจอ่อนแอลง ในที่สุดนางก็สามารถเข้าควบคุมมันเพื่อจัดการความเสียหายได้แล้ว
“ร่างจาลองเวทย์ที่มีเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าของและความทรงจาไม่ปะติดปะต่อ… ผลก็คือร่างจาลองเวทย์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ใช่หรือไม่? ผู้อาวุโสจี๋อิน?”
ฟางหยวนเน้นที่คาสุดท้ายเหมือนล้อเลียนนางอยู่
การข้ามฝันนั้นก็ยังอันตรายที่สุดอยู่ดี
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังระดับจ้าวแห่งฝันระดับสวรรค์มายาก็สามารถล้มเหลวสองครั้งติดกันและสร้างร่างจาลองเวทย์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ขึ้นมา
ทันทีที่ร่างจาลองเวทย์เติบใหญ่ มันย่อมต้องหาหนทางไปสู่โลกต้าเฉียนเพื่อกลืนกินเจ้าของร่างแท้จริงและกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน!
“ข้าสงสัย… หากข้าทาลายร่างจาลองเวทย์ของเจ้า ร่างจริงของเจ้าจะเกลียดชังข้าหรือว่าขอบคุณข้า?”
ฟางหยวนยิ้มก่อนจะกางมือออก “ตอนนี้ ได้เวลาที่เจ้าจะลองโน้มน้าวข้าดู ว่าเจ้ามีคุณค่าอันใดอยู่บ้างหรือไม่?”
“…”
หลังจากความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน ร่างจาลองของผู้อาวุโสจี๋อินในที่สุดก็เปิดปาก “ถึงแม้ว่าร่างจริงของข้าจะสั่งให้ข้าทาลายความทรงจาของตัวเองทันทีที่การเข้าครอบครองร่างล้มเหลว แต่ข้าก็ยังคงเป็นร่างจาลองเวทย์ของนางและเจ้าก็นับว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของนางก็ได้ ดังนั้น ความทรงจาของข้าจึงไม่ถูกกาจัดไปและข้ายังมีความทรงจาส่วนมากอยู่… ข้ามีความลับของต้าเฉียน เคล็ดวิชาลับอันทรงพลัง และกระทั่งแผนการของสมาพันธ์แห่งอาณาจักร ข้าสามารถบอกทั้งหมดนี้แก่เจ้าได้”
“ดีมาก!”
ฟางหยวนปรบมือ “เจ้าช่างรู้วิธีปรับตัวเมื่อสถานการณ์ถูกพลิกกลับ! แล้ว เจ้าตั้งใจจะทาอย่างไรให้ข้าเชื่อถือเจ้าได้ล่ะ?”