บทที่ 217 ตบหน้าหนึ่งร้อยที
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
เมื่อเจียงอี้หยิบเหรียญตรากองพะเนินนั่นออกมานายน้อยจากตระกูลเตาหน้าซีดเผือด ในตอนแรก เขาเชื่อว่ายังไงเขาก็ต้องได้อันดับหนึ่งแน่ๆแล้ว เขาไม่เคยคาดหวังว่าจะมีบางสิ่งมากีดขวางไว้ในวินาทีสุดท้ายและดับความหวังของเขาสิ้น
ที่สำคัญที่สุดคือเจียงอี้เป็นคนที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเท่าไหร่นักสำนักมังกรเวหาและสำนักฮวาเหลี่ยงกดดันสำนักจิตอสูรมานานกว่าศตวรรษ และอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรนั้นเป็นเพียงแค่คนที่ไม่มีความสำคัญในสายตาของอันดับหนึ่งจากสำนักมังกรเวหาอย่างเตาจ้าน คนส่วนใหญ่อาจเคยได้ยินชื่อของเจียงอี้มาบ้าง แต่พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นยังไง
รองเจ้าสำนักฉีและรองเจ้าสำนักคนอื่นๆที่อยู่ด้านบนขณะที่เฉียนว่านก้วนยิ้มแก้มปริจนดวงตาของเขาหายไปพวกเขาคาดไว้ว่าเจียงอี้อาจสร้างความโดดเด่นในสงครามราชอาณาจักร อย่างไรก็ตาม หากเป็นเขา ยังไงมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะได้รับหนึ่งในสิบอันดับแรก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าเจียงอี้จะได้รับอันดับสูงสุด
“หยุนเฮ่อ…คนของหยุนเฮ่อทุกคนถูกเจียงอี้ฆ่าตายหมด?เป็นไปได้อย่างไร…?”
จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนมองหน้ากันและเกิดความตกใจหยุนเฮ่อและคนหลายพันคนของเขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและเจียงอี้ก็มีเหรียญตรามากกว่าหมื่นเหรียญ เมื่อทั้งสองเรื่องถูกนำมาปะติดปะต่อกัน ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น เหนือสิ่งอื่นใด หนึ่งเหรียญหมายถึงชีวิตหนึ่ง
”เจียงอี้แห่งสำนักจิตอสูรหนึ่งหมื่นสามพันเจ็ดร้อยยี่สิบสามเหรียญ … ”
เมื่อเจ้าหน้าที่ขานจำนวนเหรียญตราออกมามันเป็นตัวเลขที่ทำให้เตาจ้านสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์ ซึ่งทำให้รอยยิ้มขององค์หญิงของจักรวรรดิยิ่งแรงกล้ายิ่งขึ้นทำให้เจียงอี้รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง
หลังจากนั้นอีกสิบห้านาทีต่อมาเหรียญของทุกคนที่ส่งมาถูกแบ่งนับหมดเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ประกาศอย่างเป็นทางการ “คะแนนสำหรับสงครามราชอาณาจักรในครั้งนี้ ได้ถูกจัดเรียงอันดับเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว อันดับที่หนึ่ง ตกเป็นของเจียงอี้ จากสำนักจิตอสูร, อันดับที่สอง เป็นของ เตาจ้าน จากสำนักมังกรเวหา, อันดับที่สาม อาณาจักรเสินหวู่ อิงเตา, อันดับที่สี่ อาณาจักรเซิ่งหลิง หลานหง, อันดับที่ห้า… ”
เมื่ออันดับถูกประกาศออกมาแล้วร่างกายที่ตึงเครียดของเจียงอี้ก็ผ่อนคลายลงในที่สุด และเผยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เขาอาจเข้าร่วมในนามของสำนักจิตอสูร แต่เขายังเป็นพลเมืองของอาณาจักรเสินหวู่ อาณาจักรจะมอบรางวัลให้กับอันดับที่หนึ่ง ซึ่งหมายความว่าในที่สุดเขาก็จะได้สมุนไพรสยบวิญญาณมาครองเสียที ด้วยสมุนไพรทั้งสามที่เขารวบรวมมา เขาสามารถขอให้ปรมาจารย์เลี่ยว ช่วยเหลือเสี่ยวนู๋ได้แล้วเมื่อเขากลับถึงสำนัก
”เอาล่ะจอมยุทธสิบอันดับแรกจะเข้าวังเพื่อรับรางวัลทันทีและเข้าร่วมงานเลี้ยงในราชสำนักเช่นกัน”
องค์หญิงของจักรวรรดิได้แถลงการณ์ก่อนที่นางจะหันกลับและขึ้นรถม้าหรูหราและมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือเจียงอี้ส่งสัญญาณมือไปยังจ้านอู๋ซวงและถูกนำทางไปโดยทหารองครักษ์เพื่อขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง ส่วนคนที่เหลือที่ติดสิบอันดับ รถม้าของพวกไปพร้อมกับสมาชิกทุกคนในจักรวรรดิ ผู้คนในจัตุรัสยังคงอยู่ที่นี่และเกิดความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง
”ฮึ่ม!”
เซี่ยเถียนและจ่างซุนอู๋จี้เผยกลิ่นอายชั่วร้ายไปที่จ้านอู๋ซวงก่อนที่จะหันไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายและกลับไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่
”ไปกันเถอะ!”
หญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่ได้นำสุ่ยเชียนโหรวออกเดินทางอย่างรวดเร็วเมื่อสงครามแห่งราชอาณาจักรยุติ ภารกิจที่สุ่ยโย่วหลานมอบให้แก่พวกนางคือสั่งให้พวกนางกลับไปที่เกาะดาวตกทันทีหลังจากสงครามสิ้นสุดลง
พวกนางใช้โอกาสนี้รีบกลับไปที่เกาะดาวตกในขณะที่สุ่ยเชียนโหรวยังคงหลับสนิทมิฉะนั้นเมื่อหญิงสาวตัวน้อยนี่ตื่นขึ้นมา นางคงก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงเป็นแน่
“เหเห! พี่อู๋ซวง ลูกพี่คว้าอันดับหนึ่งมาได้อย่างไร? เล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เฉียนว่านก้วนและจ้านหลินเอ๋อร์วิ่งไปหาอู๋ซวงในขณะที่เจ้าเฉียนว่านก้วนนั้นตื่นเต้นเป็นที่สุดราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่คว้าอันดับแรกมาเองพร้อมเผยความภาคภูมิใจออกมา จ้านหลินเอ๋อร์หยีตาอันกลมโตเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวและนางก็ทำตัวสุภาพกับจ้านอู๋ซวงเป็นครั้งแรก
ทุกแห่งที่นี่เต็มไปด้วยความอลหม่านพร้อมกับการสนทนาที่ไม่สิ้นสุดซึ่งเต็มไปด้วยชื่อของเจียงอี้และเตาจ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเจียงอี้ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอันใด ก่อนที่จะมีชื่อเสียงหลังจากปะทะกับสุ่ยเชียนโหรว
ย้อนกลับไปในตอนนั้นยังไม่ได้มีความปั่นป่วนมากนัก และมีคนไม่มากที่รู้เรื่องนี้ แต่คราวนี้เขาโด่งดังไปทั่วทั้งทวีปอย่างแท้จริง
หน่วยสอดแนมจากตระกูลต่างๆไม่ได้สำรองตำลึงทองมากมายไว้เพื่อเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อกลับไปรายงานผลของสงครามราชอาณาจักรยังตระกูลของตน
อีกไม่นานเกินรอทั้งทวีปต่างอยู่ในความโกลาหล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาจักรเทียนเซวี่ยนและอาณาจักรเสินหวู่ซึ่งประสบกับสิ่งที่ให้ความรู้สึกราวกับแผ่นดินไหว
หยุนเฮ่อเป็นองค์รัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งโดยบุคคลภายในและการมีส่วนร่วมในสงครามราชอาณาจักรก็เพื่อที่จะให้เขาได้รับชื่อเสียงจากการทำศึกเพื่อระงับเสียงที่ไม่พอใจก่อนที่จะขึ้นสู่บัลลังก์
แต่ท้ายที่สุดเขากลับลอบล้อมกรอบพี่ชายของหยุนเฟย ซึ่งมีหลายตระกูลที่ไม่สามารถยอมรับได้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะตกตายไปในระหว่างสงครามราชอาณาจักรและเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมดในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนอีกครั้ง
มีคนบางกลุ่มที่เป็นกังวลในขณะที่บางกลุ่มมีความสุข ทั่วทั้งอาณาจักรเสินหวู่กำลังเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ประชาชนของอาณาจักรเสินหวู่นั้นได้คว้าอันดับที่หนึ่งและสามซึ่งเป็นเกียรติศักดิ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
”เจียงอี้?บุตรนอกสมรสของเจียงเปี๋ยหลี!”
ตระกูลใหญ่จากอาณาจักรเสินหวู่พอคุ้นเคยกับเจียงอี้อยู่บ้างและคร่ำครวญเมื่อพวกเขาได้รับข่าวเจียงอี้อายุเพียงสิบหกปีและในอีกสิบปีข้างหน้า เขาอาจจะกลายเป็นเจียงเปี๋ยหลีคนต่อไปได้
ณเมืองเจียงอี …
”ฝ่าบาท!ฝ่าบาทขอรับ!”
เจียงเหรินถูตรงไปที่ศาลามังกรทะยานทันทีที่เขาได้รับข่าวเขาทำให้เจียงเปี๋ยหลีสะดุ้งถึงขั้นที่ทำให้คิ้วกระตุกในขณะกำลังอ่านเอกสารอยู่ อารมณ์ของเขาแผ่กลิ่นอายอำมหิตออกมาอย่างรุนแรงและตะโกนอย่างเย็นชา “เอะอะอันใดกัน? ฟ้าถล่มหรือยังไง? ทำไมเจ้าจึงทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้?”
ใบหน้าที่ดูป่าเถื่อนของเจียงเหรินถูสั่นก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว”ฝ่าบาท ท่านใต้เท้าน้อยคว้าอันดับหนึ่งของสงครามราชอาณาจักรได้ขอรับ!”
”อะไรนะ?”
ดวงตาที่ดุราวกับเสือของเจียงเปี๋ยหลีส่องประกายระยิบระยับในขณะที่เขาประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยและยังคงทำแผนทหารต่อไป หนึ่งชั่วโมงต่อมา … เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เตรียมการให้ด้วย ข้าจะเดินทางไปเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้”
”ขอรับ!”
เจียงเหรินถูตื่นเต้นมากหากเจียงเปี๋ยหลีกำลังจะไปเมืองหลวงนั่นหมายความว่าเขาเต็มใจที่จะลดศักดิ์ศรีของเขาให้กับเจียงอี้และได้พบกับเขาเป็นการส่วนตัวเสียที และนำเขากลับมาที่เมืองเจียงอี กลับมาในที่ที่เจียงอี้ควรจะอยู่
”ลูกชายของอีเพียวเพียวนั้นยอดเยี่ยมจริงๆเขาไม่ทำให้ดาบเกล็ดทมิฬของข้าเสียชื่อเลย!”
ณตำหนักภายในของสำนักจิตอสูร จูเก๋อชิงหยุนผู้ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นมีรอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าชราของเขา สำนักจิตอสูรถูกการกดขี่จากหอดาราสุ่ยเยว่, อารามเซน, สำนักมังกรเวหาและสำนักฮวาเหลี่ยงมานานกว่าศตวรรษ ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นออกจากคำสาปนี้
เจียงอี้ไม่ทราบว่าโลกภายนอกกำลังเกิดอะไรขึ้นแต่เขารู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนเบาะที่ถูกตรึงไว้และเวลาก็เคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ
เมื่อเขาเข้ามาถึงภายในพระราชวังเขาก็ถูกขันทีพาตัวไปในห้องโถงพร้อมสาวใช้เพื่ออาบน้ำก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อคลุมปักที่ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสง่า
ยังมีเวลาอีกสี่ชั่วโมงก่อนค่ำนั่นหมายความว่าเขาต้องมานั่งที่นี่สี่ชั่วโมงและเข้าร่วมงานเลี้ยงก่อนที่เขาจะได้รับดาบมังกรเพลิงและรางวัลอื่นๆ
หัวใจของเขาต้องการเร่งกลับบ้านและไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่เพื่อรับสมุนไพรสยบวิญญาณนี่คือเหตุผลที่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะนั่งอยู่ที่นี่และไม่มีอะไรให้ทำเลย
”ตึกตึกตึก!”
เมื่อเจียงอี้จิบชาหนึ่งถ้วยเสร็จมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกของห้องนี้ซึ่งทำลายความคิดของเขา ผู้คนจำนวนมากได้เข้ามา…พวกเขามาที่นี่เพื่อแจกจ่ายรางวัลสงครามราชอาณาจักรหรือ?
”องค์หญิงหลิงเสวี่ยเสด็จแล้ว!”
เสียงแหลมๆดังก้องออกมาขณะที่สาวใช้ในวังทุกคนคุกเข่าทั้งสองลงเพื่อคำนับองค์หญิงเจียงอี้ผู้ซึ่งไม่รู้จักมารยาทเช่นนี้ยืนอยู่ที่นั่นอย่างซื่อบื้อและคำนับด้วยมือทั้งสองเมื่อร่างอันงดงามเดินเข้ามา “เจียงอี้ แสดงความเคารพต่อองค์หญิง”
องค์หญิงแห่งจักรวรรดิตามด้วยขันทีทั้งสองจากด้านหลังและสาวใช้ในวังหกคนเมื่อทั้งสองขันทีเห็นว่าเจียงอี้ไร้มารยาท หนึ่งในนั้นพูดด้วยความโกรธทันทีว่า “เหิมเกริมนัก เจ้าไม่รู้วิธีคุกเข่าคำนับการเสด็จมาขององค์หญิงหรือ? เจ้าคิดที่จะก่อการกบฏงั้นรึ?”
ในตอนแรกที่เขาก้มโค้งอยู่ยืดตรงออกมาทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ดวงตาของเขาเผยความเย็นชาออกมาขณะที่เพ่งไปที่ขันทีแก่ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยการตำหนิติเตียนขององค์หญิงของจักรวรรดิ “เงียบปากซะ นายน้อยเจียงเป็นแขกผู้มีเกียรติขององค์หญิงผู้นี้ ใครอนุญาตให้เจ้าแสดงกิริยาเช่นนี้? ตบหน้าตัวเองร้อยทีซะ”