ตู้ม ตู้ม ตู้ม…ตู้มม!
ณ ห้องฝึกซ้อมภายในตําหนักทักษิณ เจียงอี้โคจรแก่นแท้พลังและปล่อยหมัดใส่กําแพงหินซึ่งทําให้เกิดเป็นประกายก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นคลื่นแสงมากกว่าหลายสิบระรอก
“ห้าสิบครั้ง? ไม่ใช่ว่ามันทรงพลังเทียบเท่ากับม้าห้าสิบตัว? เป็นไปได้หรือ?”
เจียงอี้นับจํานวนคลื่นแสงด้วยสีหน้ามึนงงปนตกใจ แสงสีดําทั้งห้าสิบสายนี้ก็หมายถึงความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับม้าห้าสิบตัว
นักสู้จุดสูงสุดขอบเขตติ้งมีพลังเทียบเท่ากับม้าเก้าตัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่บรรลุขั้นแรกของขอบเขตจอก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยซึ่งเทียบได้กับม้าสิบตัว
สําหรับผู้ที่มีพลังเทียบเท่ากับม้ายี่สิบตัวก็จะถูกพิจารณาให้เป็นนักสู้ขอบเขตจอผู้ขั้นที่สองหากว่าใช้มาตรฐานนี้อาจกล่าวได้ว่าพลังของม้าห้าสิบตัวนั้นเทียบได้กับนักสู้ขอบเขตจอผู้ขั้นที่ห้าเลยทีเดียว
เดิมที่เจียงอี้เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจอผู้ขั้นที่สองซึ่งครอบครองความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับม้ายี่สิบตัวเท่านั้นแม้ว่าจะเสริมพลังด้วยแก่นแท้พลังสีดํา แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ควรเพิ่มขึ้นมาเกินมาสามสิบตัว
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เจียงอี้กลับมีพลังเทียบเคียงได้กับม้าห้าสิบตัว ถึงจะไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนว่าพลังของเขาจะเทียบได้กับขอบเขตจอผู้ขั้นที่สีหรือห้าเป็นอย่างน้อย
“เพียงแค่ศิลาสวรรค์ก้อนเดียวแต่กลับช่วยให้ข้ายกระดับพลังได้ถึงสองขั้นย่อย?”
เจียงอี้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ศิลาสวรรค์เป็นวัตถุเสริมการบ่มเพาะอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเขาเคยได้ยินว่ามาศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนสามารถแลกกับสิ่งประดิษฐ์สวรรค์ได้สองถึงสามชิ้นเลยทีเดียว
องค์หญิงหลิงเสวี่ยยังบอกด้วยว่าหากเขาปรับแต่งศิลาสวรรค์ครบทั้งห้าก้อน เขาจะทะลวงสู่ ขอบเขตเงินโหยวทันที ในตอนนั้นเขาเผลอคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเกินจริงๆไปหน่อย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะคิดผิดเสียแล้ว
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมจักรวรรดิมังกรเวหาถึงมีจํานวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเงินโหยวมากมายขนาดนั้น!”
เจียงอี้ตกอยู่ในห้วงความคิด จักรวรรดิมังกรเวหามีสิ่งประดิษฐ์ในครอบครองอยู่นับไม่ถ้วน และพวกเขายังสามารถใช้ศิลาสวรรค์เพื่อเพิ่มจํานวนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเงินโหยวได้ตามต้องการ
หากไม่ใช่เพราะการก่อจลาจลของฝูงสัตว์อสูรในครั้งนั้น เกรงว่าจํานวนผู้เชี่ยวชาญในมือพวก เขาคงจะยิ่งเพิ่มขึ้นกว่านี้และเป็นรากฐานให้กับจักรวรรดิได้อีกนับร้อยปีเลยทีเดียว
เพราะอย่างไรเสีย อายุขัยของชนชั้นเงินโหยวก็มากถึงสามร้อยปีอยู่แล้ว
“จักรวรรดิมังกรเวหาไปหาศิลาสวรรค์เหล่านี้มาจากไหนกัน?”
มีผู้คนมากมายที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ นานมาแล้วมีตํานานกล่าวว่าศิลาสวรรค์นั้นเป็นของขวัญจากทวยเทพ ซึ่งตกลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
แต่ก็แน่นอนว่าเจียงอี้ไม่ได้ปักใจเชื่อเรื่องเหล่านั้น หากว่ามันตกลงมาจากฟ้าจริง เช่นนั้นขั้ วอํานาจอื่นก็สมควรมีพวกมันในครอบครองเช่นกัน
เพราะในเมื่อมันหล่นลงมาจากท้องฟ้า มันก็คงไม่ตกลงสู่เมืองเทียนชิงเพียงแห่ง เดียวหรอกจริงไหม?
“สายแร่”
ทันใดนั้นความเป็นไปได้อย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที บางที่จักรวรรดิมังกรเวหาอาจจะเป็นเจ้าของสายแร่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ในความเป็นจริงแล้วอาณาจักรบริวารทั้งหกเองก็มีสายแร่อยู่ในครอบครองเช่นกัน แต่ก็คงไม่ได้มีขนาดใหญ่เหมือนกับของจักรวรรดิ
อาจกล่าวได้ว่าสายแร่พวกนี้คือเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงตระกูลจักรพรรดิและตระกูลราชวงศ์ทั้งหก ส่วนตระกูลขุนนางหรือขั้วอํานาจที่เหลือต่างก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับส่วนแบ่ง
“สรุปแล้วระดับการบ่มเพาะของข้าในตอนนี้อยู่ในขั้นไหนกันแน่?”
เจียงอี้กําลังตกอยู่ในความสับสนมีนงง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปทดสอบด้านความเร็วแทนขณะที่วิ่งรอบห้องด้วยความเร็วสูงสุด ร่างของเขาก็ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาเท่านั้น
“ความเร็วของข้าเทียบได้กับขอบเขตจอผู้ขั้นที่สี่ แต่พละกําลังกลับเทียบเท่ากับขอบเขตจือฝู่ขั้นที่ห้า…”
“ช่างมันเถอะ ข้าน่าจะกลับไปบําเพ็ญต่อ หลังจากที่ดูดขับศิลาสวรรค์อีกสองก้อนที่เหลือพลังของข้าน่าจะยกระดับขึ้นไม่น้อย”
“เห้ออ…ข้าอยากรู้นักว่าเมื่อดวงดาวทั้งเก้าถูกเติมเต็มด้วยแก่นแท้พลังสีดําทั้งหมด หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไร?”
เจียงอี้พึมพํากับตัวเองก่อนที่จะก้าวออกมาจากตําหนักทักษิณ ระหว่างทางเขาก็พบเจอกับศิษย์นับร้อยที่จ้องมองมาที่เขาตัวยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล แม้ว่าเขาจะผ่านเรื่องราวมามากมายแต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วด้วยความกังวลเพราะไม่เคยเป็นจุดสนใจเช่นนี้มาก่อน
หลังจากที่กลับมาถึงที่พัก เขาก็เข้าสู่หัวงบําเพ็ญตนทันที…
ห้าวันให้หลังเมื่อเขาออกมาอีกครั้ง เขาก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของตนนั้นทรงพลังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกพี่ ทําไมเจ้าไม่ขอศิลาสวรรค์จากองค์หญิงหลิงเสวี่ยมาให้มากกว่านี้? เจ้าคือผู้ กอบกู้จักรวรรดิเชียวนะ หากเจ้าเอ่ยปากบางที่นางคงจะมอบศิลาสวรรค์ให้เจ้าสักหนึ่งหรือสองร้อยก้อนสิ?”
“หากว่าเจ้าได้ครอบครองศิลาสวรรค์จํานวนขนาดนั้น การทะลวงสู่จุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น”
เฉียนว่านก้วนเองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งขึ้นของเจียงซึ่งทําให้เขาอุทานออกมาด้วยความตกใจ
สําหรับเขา ยิ่งเจียงอี้ทรงพลังขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นผลดีกับเขามากเท่านั้น อย่างน้อย หากเขาถูกใครบางคนลอบสังหารในอนาคต เจียงอี้ก็จะแก้แค้นให้เขา…. ใช่ไหม?
“…..”
ดวงตาของเจียงอี้จ้องเขม็งมาที่เฉียนว่านก้วนขณะเดียวกันก็พูดไม่ออก เจ้าอ้วนนี้คิดว่าศิลาสวรรค์หาง่ายเหมือนกับตอกกะหล่ําหรือยังไง? หากเขาเอ่ยปากขอศิลาสวรรค์สองร้อยก้อนจากองค์หญิงหลิงเสวี่ย นางคงจะไล่ตะเพิดเขาออกจากวังแน่
นอกจากนี้ หากเจียงอี้รับศิลาสวรรค์จํานวนมากจากจักรวรรดิมังกรเวหา มันก็จะเท่า กับว่าเขาต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไปโดยปริยายซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ศิลาสวรรค์หนึ่งถึงสองร้อยก้อน?”
แต่ไม่นานนัก ก็ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะนึกบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยถาม
“หากศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนยังบรรจุพลังไว้มหาศาลเช่นนี้ เช่นนั้นคนหนึ่งคนก็น่าจะต้องการศิลาสวรรค์เพียงแค่ไม่กี่สิบก่อนเท่านั้นก่อนที่จะทะลวงสู่จุดสูงสุดขอบเขตเงินโหยวใช่หรือไม่? แล้วทําไมเจ้าถึงกล่าวตัวเลขออกมามากมายขนาดนั้น?”
“ฮ่าฮ่า”
คราวนี้กลับเป็นเฉียนว่านก้วนที่เป็นฝ่ายพูดไม่ออก ส่วนเจียงหยุนไฮ่ก็หัวเราะออกมาด้วยความชอบใจก่อนที่จะกล่าวอธิบาย
“ใต้เท้าน้อย ขอบเขตเงินโหยวนั้นต้องการพลังงานฟ้าดินมากกว่าขอบเขตจอฝนับสิบเท่า หากเป็นดั่งที่ท่านกล่าว ป่านนี้ภายในจักรวรรดิมังกรเวหาคงมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเงินโหยวขั้นสูงสุดออกมาเดินป้วนเปี้ยนเต็มไปหมด”
“เป็นเช่นนั้นเอง”
เจียงอี้เกาศรษะด้วยความเขินอายเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะพักผ่อนสักสองวันก่อนที่จะกลับไปดูดซับศิลาสวรรค์ก้อนสุดท้าย เมื่อถึงตอนนั้นพลังของข้าจะถูกยกระดับขึ้นอีกครั้ง”
เมื่อเจียงหยุนไฮได้ยินเช่นนั้น เขาก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ใต้เท้าน้อย อย่าได้เร่งรีบเกินไปนัก พักผ่อนเพิ่มอีกสักหน่อยเถิด การก้าวหน้าเร็วเกินไปอาจจะทําให้ร่างกายของท่านต้องแบกรับภาระหนักเอาได้”
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดี๋ยวเจียงอี้ก็อยู่ในสํานักมาหนึ่งเดือนแล้วหลังจากที่ขัดเกลาศิลาสวรรค์ครบทั้งสามก้อน
พละกําลังของเขาก็เทียบเท่ากับม้าเก้าสิบตัวซึ่งก็คือจุดสูงสุดขอบเขตขื่อผู้
ในด้านความเร็วเทียบได้กับขอบเขตจอผู้ขั้นที่เจ็ด
ส่วนพลังป้องกันอยู่ในขอบเขตจอผู้ขั้นที่สาม
และอย่างสุดท้าย…ความว่องไวด้านปฏิกิริยาตอบสนองที่อยู่ระหว่างขอบเขตจือผู้ขั้นที่สี่หรือห้า
สิ่งที่ไม่สมดุลกันเหล่านี้เองที่ทําให้เจียงอี้ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย นับตั้งแต่ที่ต้นเทียนของเขาเปลี่ยนรูปแบบไป เขาก็ไม่อาจทราบได้ว่าตัวเองนั้นอยู่ในขั้นไหนกันแน่
เมื่อนักสู้ใช้ศิลาสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังพลังงานฟ้าดินจะถูกนําไปหล่อเลี้ยงในส่วนของพละกําลังเป็นส่วนมาก
อย่างไรก็ตามความเร็วในการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาตอบสนองจะไม่ได้รับการยกระดับเท่าที่ควร ในขณะเดียวกันด้านพลังป้องกันก็แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าเจียงอี้นั้นไม่ได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและพัฒนาไปทีละก้าวดั่งวิถียุทธที่ควรจะเป็น การเพิ่มพลังอย่างก้าวกระโดดทําให้กายเนื้อไม่มีเวลาเพียงพอที่จะได้หลอมรวมกับแก่นแท้พลังจึงเป็นเหตุให้ความทนทานของร่างกายกลายเป็นจุดอ่อนมากที่สุด
สําหรับเวลาที่เหลือ เจียงอี้ใช้มันทั้งหมดไปกับการทําให้พื้นฐานพลังมั่นคง ทางด้านเจียงเสี่ยวนู๋กับเจียงหยุนไฮ่ต่างก็รู้สึกยินดีปรีดาและตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานอยู่ในสํานักจิตอสูรแห่งนี้ เนื่องจากผู้คนที่นี่ต่างก็สุภาพและปฏิบัติกับพวกเขาดั่งครอบครัว แม้ว่ามันจะเป็นเพราะเจียงอี้ก็ตาม
ในขณะเดียวกันเฉียนว่านก้วนก็ยังคงทําตัวลึกลับและไม่ค่อยโผล่มาให้เห็นหน้า แต่เมื่อนึกถึงภาระหน้าที่ที่เขาต้องดูแลการค้าของทั้งสามอาณาจักรเจียงอี้ก็เข้าใจได้และไม่พบว่ามันแปลกแต่อย่างใด
ในเที่ยงคืนของวันหนึ่ง พลุสัญญาณถูกยิงขึ้นฟ้าและทําให้ผู้คนในสํานักจิตอสูรพากันแตกตื่นเจียงอี้ที่กําลังอยู่ในช่วงบําเพ็ญก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเช่นกัน
“ พลุสัญญาณ? ศัตรูลอบโจมตี?
ร่างของเจียงอี้ระเบิดจิตสังหารออกมาก่อนที่จะทะยานออกจากห้อง ในขณะเดียวกันเฉียนว่านก้วนวิ่งออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่ดูยุ่งเหยิง
พวกเขาทั้งคู่สบตากันด้วยความประหลาดใจก่อนที่เฉียนว่านก้วนจะเป็นฝ่ายตะโกน ขึ้นมาก่อน
“ผู้อาวุโสหลิว ที่ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฟึ่บ!
ร่างของผู้คุ้มกันลับประจําตัวเฉียนว่านก้วนโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าและเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่สัญญาณเดือนนี้จะต้องเป็นเหตุฉุกเฉินแน่ ดูท่าที่แห่งนี้คงจะถูกศัตรูที่น่าเกรงขามโจมตีเสียแล้ว!”
พี่บ! พี่บ! พี่บ!
เงาร่างหลายสายทยอยโผล่ออกมาจากที่พักและพุ่งตรงไปยังที่ด้านนอกของสํานักด้วยความเร็วสูงสุด
เจียงอี้กัดฟันแน่นและติดสินใจที่จะไล่ตามออกไป ขณะเดียวกันเขาก็หันไปเอ่ยกับเฉียนว่านก้วน “ว่านก้วน ฝากดูแลเสียวกับท่านปของข้าด้วย! ข้าจะไปดูสถานการณ์สักหน่อย!”
“พวกเจ้าทั้งหมดอย่าได้ตื่นตูมไป นี่ไม่ใช่การโจมตีจากศัตรู”
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงอันสงบนิ่งกีดังกึกก้องไปทั่วทั้งสํานักจิตอสูร แน่นอนว่าเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจ้าสํานักงูเก๋อชิงหยุน!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างของเจียงอี้ก็หยุดชะงักด้วยความงุนงง แต่จากนั้นไม่นานเสียงของจูเก๋อชิงหยุนก็ดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้ง
“เจียงอี้ เจ้าจงเดินทางลงไปจากเขาเสีย จิ้งจอกน้อยและราขนสัตว์อสูรสองตัวกําลังรออยู่ที่เชิงเขา ข้าศิตว่าพวกเขาคงจะมองหาเจ้าอยู่”