ตึง! ตึง! ตึง!
ณ ส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ พื้นดินรอบด้านเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สัตว์อสูรน้อยใหญ่ต่างหลบหนี้กันอลหม่านที่เส้นขอบฟ้าปรากฏร่างของสัตว์อสูรร่างยักษ์สองตัวที่กําลังห้อตะบึงมาด้วยความเร็วสูง
แต่พวกมันหาได้รู้ไม่ว่ากลิ่นอายที่พวกมันเผลอปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจได้ทําให้สัตว์อสูรระดับต่ําในบริเวณนั้นหมอบคลานลงกับพื้นด้วยความกลัวถึงขีดสุดและไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ตึง! ตึง!
ตลอดเส้นทางของสองยักษ์ใหญ่ ต้นไม้นานาพรรณและเนินเขาหินมากมายได้ถูกทําลายไปให้ฝ่าเท้าของพวกมัน
แม้ว่าดูภายนอกความเร็วของพวกมันอาจจะไม่ได้น่าตกใจอะไรนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่พริบตาเดียว พวกมันสามารถเคลื่อนตัวออกไปได้ไกลหลายกิโลเมตรจนเหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตาเท่านั้น
ในเวลานี้ เจียงอี้กําลังยืนอยู่บนไหล่ของราชันสัตว์อสูรที่ถูกจิ้งจอกน้อยเรียกว่า ‘แดงน้อย’ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจําไม่ได้แล้วว่าข้ามผ่านภูเขามากี่ลูก ความเร็วของชนชั้นราชันสัตว์อสูรนั้นน่าตกตะลึงเกินไปจนทําให้สายตาของเขาพร่ามัวไปหมด
“พี่ใหญ่ พวกเรากําลังจะถึงบ้านแล้วนะ บ้านของข้าสวยมากเลย แต่น่าเสียดายนักที่ข้ามักจะ ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ท่านแม่เอาแต่บําเพ็ญตนตลอดทั้งวันและไม่ยอมมาเล่นกันข้าเลย แดงน้อยกับคนอื่นๆเองก็เอาแตฝึก! ฝึก! ฝึก! แล้วก็ไม่ยอมมาเล่นกับข้าเช่นกัน”
“พี่ใหญ่ ทําไมท่านไม่มาอยู่เล่นที่บ้านข้าสักระยะหนึ่งล่ะ? ถ้าพี่ใหญ่อยู่ด้วย เสี่ยวเฟยก็คงจะ ไม่เหงาอีกแล้ว!”
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะพี่ใหญ่! ท่านรู้มั้ยว่าบ้านข้าน่ะนะ มีผลไม้วิญญาณเต็มเลย! เมื่อไปถึงบ้าน เสี่ยวเฟยจะให้พี่ใหญ่กินให้หนําใจไปเลย!”
จิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟยเอาแต่โฆษณาบ้านของนางราวกับกลัวว่าเจียงอี้จะเปลี่ยนใจ ภาพนี้เองที่ ทําให้เขาอดไม่ได้ที่จะแอบขําและลูบหัวนางด้วยความเอ็นดู
“หืม?”
ไม่นานนัก ภาพของภูเขาขนาดมหึมาที่ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเขา ส่วนยอดของมันแทงทะลุเหนือชั้นเมฆ อย่างไรก็ตาม มีส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาแต่กลับถูกตัดจนมีพื้น ผิวเรียบเหมือนกระจกหันหน้าเข้ามา
แต่ภาพโดยรวมของมันก็ทําให้เจียงอี้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอยู่ที่ ยอดเขาแห่งนี้น่าจะเป็นยอดเขาที่ลึกลับที่สุดในทวีปเทียนชิงแล้วใช่หรือไม่?
“พี่ใหญ่ บ้านของเสี่ยวเฟยอยู่บนนั้นแหละ ยอดเขาเทพธิดาแห่งนี้ถูกตัดโดยท่านแม่ของข้า เมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อนยกเว้นแดงน้อยกับคนอื่นๆที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรธรรมดานั้นหมดสิทธิ์”
“อ่อ จริงสิ ท่านเองก็น่าจะเป็นมนุษย์คนแรกที่จะได้ขึ้นไปที่นั่น!”
เสี่ยวเฟยส่งกระแสจิตเข้ามาในหัวของเจียงอี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอยู่ในความตกตะลึงขณะที่จ้องมองไปเบื้องหน้า ด้านบนยอดเขาถูกตัดด้วยดาบใช่หรือไม่? จะต้องทรงพลังขนาดไหนกันถึงจะทําให้พื้นผิวที่ถูกตัดเรียบเนียนเหมือนกับกระจกและไร้ซึ่งรอยขรุขระได้?
นอกจากนั้น มันก็ยังหมายความว่าจักรพรรดินี้สัตว์อสูรครอบครองความแข็งแกร่งระดับนี้มาตั้งแต่ห้าร้อยปีที่แล้ว!
ห้าร้อยปีก่อน?
เจียงอี้ครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามเสี่ยวเฟย
“ห้าร้อยปีที่แล้ว? ข้าขอถามได้ไหมว่าแม่ของเจ้านั้นมีอายุเท่าไหร่? แล้วตัวเจ้าล่ะ? แล้ว…. พ่อของเจ้าอยู่ไหนหรือ?”
เสี่ยวเฟยเงยศีรษะน้อยๆของนางขึ้นขณะไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะกล่าวผ่านกระแสจิต
“หากเสี่ยวเฟยจําไม่ผิด ท่านแม่น่าจะมีอายุเกินหนึ่งพันปีแล้ว ส่วนเสี่ยวเฟยนั้นเพิ่งจะ สิบเอ็ดขวบเท่านั้น”
“เกี่ยวกับคําถามสุดท้าย ข้านั้นไม่มีพ่อหรอก ถ้าจะกล่าวให้ถูก เผ่าพันธุ์จิ้งจอกวิญญาณอย่างพวกเรานั้นไม่จําเป็นต้องมีพ่อ เพราะทุกคนล้วนแต่เกิดจากแม่เท่านั้น”
“อายุมากกว่าหนึ่งพันปี?”
จู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดอย่างมากก็คงจะไม่เกินห้าร้อยปี
แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็จะต้องเป็นขนขั้นราชันสวรรค์ผู้เกรียงไกรซึ่งมีอายุขัยมากที่สุด รองลงมาก็คือยอดฝีมือขอบเขตจนถึงที่มีอายุขัยราวๆสี่ร้อยปี จากนั้นก็เป็นบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขต เงินโหยวที่อยู่ได้นานถึงสามร้อยปี
กล่าวง่ายๆก็คือ ยิ่งมีระดับการบ่มเพาะสูงส่งเท่าไหร่ อายุขัยก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!
“โง่เง่า!”
หลังจากที่ทนฟังอยู่นาน ราชันสัตว์อสูรโลหิตแดงก็ตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะกล่าวต่อ
“เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรของพวกเรานั้นมีกายเนื้อที่สูงส่งกว่าของมนุษย์เป็นทุนเดิม เพียงแค่สัตว์อสูรระดับสามก็มีอายุขัยปาเข้าไปห้าถึงหกร้อยปีแล้ว”
“ในขณะที่ขนขั้นราชันเช่นพวกข้าสามารถมีชีวิตอยู่มากกว่าหนึ่งพันปีได้อย่างสบายๆ หากทะลวงสู่ขั้นจักรพรรดิ การจะมีชีวิตอยู่นานกว่าสามพันปีก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่อย่างใด เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างไม่พวกเจ้าไม่มีวันเทียบได้”
เมื่อรับฟังคํากล่าวของอีกฝ่าย เจียงอี้ก็ทําได้เพียงลูบจมูกด้วยความเป็นอาย แม้ว่าคําพูดของราขันตัวนี้จะดูเหยียดหยามมนุษย์ไปบ้าง แต่สิ่งที่เขากล่าวออกมาก็เป็นความจริงทุกประการ
แต่ก็มีบางสิ่งที่เขายังคงสงสัยอยู่ หากสัตว์อสูรมีอายุขัยที่ยืนยาวขนาดนั้น แต่ทําไมหน้าประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนชิงยังคงถูกเขียนด้วยมือของมนุษย์ แต่ไม่ใช่สัตว์อสูร?
ในขณะที่สัตว์อสูรโลหิตแดงกล่าวจบ พวกเขาก็มาถึงหน้าผาพอดี จากนั้นมันก็ตะโกน “จับไว้ ให้แน่น!”
ทันใดนั้นมันก็กระทืบเท้าขณะย่อตัวซึ่งทําให้พื้นดินเบื้องล่างสั่นสะเทือนและแตกออก จากนั้น มันก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้าสูงถึงสามสิบกิโลเมตรและยื่นกรงเล็บออกไปคว้าชั้นหินที่ยื่นออกมาจากมุมหนึ่งของหน้าผา ต่อจากนั้นมันก็ยืมพลังเพื่อที่จะทําการกระโดดอีกครั้ง
ด้วยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง ราชันสัตว์อสูรโลหิตแดงก็ปีนขึ้นมาสูงกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรแล้ว ราชันวานรเองก็ตามขึ้นมาติดๆ
สุดยอด!
เจียงอี้กวาดมองทิวทัศน์รอบๆที่งดงามดั่งสวรรค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นทะเลหมอกซึ่งก็ หมายความว่าพวกเขาอยู่สูงกว่าชั้นเมมไปแล้ว ยอดเขาทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้ นานาชนิดที่สวยงามจนน่าหลงใหล
“องค์หญิงน้อย ท่านพามนุษย์ผู้นี้เข้าไปด้านในเถิด หากไม่มีคําสั่งจากจักรพรรดินี พวกเราเอง ก็ไม่กล้าที่จะเยื้องกรายเข้าไปในราชวังของท่าน”
ราชันโลหิตแดงกล่าวขณะที่มืออันใหญ่ยักษ์ของมันค่อยๆจับจิ้งจอกน้อยวางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล แต่กับเจียงอี้ มันทําเพียงแค่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายราวกับจะบอกว่า “หากไม่ยอมลงมาเอง บิดาจะเหวียงเจ้าลงมา!”
ฟึ่บ!
คิ้วของเจียงอี้กระตุกเข้าหากัน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทักท้วงอะไรออกมา หลังจากที่ถอนหายใจ ออกมาเล็กน้อย เขาก็กระโดดลงมาด้วยท่าที่อันสวยงาม
แต่ดูท่าการกระทําของเขาจะทําให้ราขันโลหิตแดงหมั่นไส้ไม่น้อย มันจึงเค้นเสียงด้วยความไม่ พอใจซึ่งทําให้ร่างของเจียงอี้สั้นขณะที่ใกล้จะถึงพื้นและเกือบจะทําให้เขาล้มเบ้า
“จี้จี้!”
จิ้งจอกน้อยโวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของตนกําลังถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นราขันโลหิตแดงจึงหยุดการกระทําของมันและหันไปพยักหน้าให้กับองค์หญิงน้อยอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่จะกระโดดกลับลงไปจากหน้าผา มันก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองเจียงอี้ด้วยสายตาเยาะเย้ย
ราชันวานรยักษ์ที่เงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบก็หันไปพยักหน้าให้กับจิ้งจอกน้อยก่อนที่จะจากไป เช่นกัน
“พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ ท่านแม่กําลังรอท่านอยู่”
จิ้งจอกน้อยส่งกระแสจิตบอกเจียงอี้ก่อนที่จะวิ่งนําไป เจียงอี้ก็เดินตามมันไปติดๆพร้อมกับชมทิวทัศน์รอบด้านด้วยความเพลิดเพลิน แต่ในขณะที่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดทาง เขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
หลังจากที่เดินไปได้ชั่วครู่หนึ่ง เจียงอี้ก็พบว่าชั้นหมอกกําลังหนาขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้ แก่นแท้พลังสีทําเพื่อยกระดับการมองเห็น แต่พริบตาเดียวม่านตาของเขาก็หดแคบลงก่อนที่จะค่อยๆเผยความตกตะลึงออกมา
ที่ด้านหน้าของเขาปรากฏภาพของราชวังขนาดมหึมาซึ่งใหญ่โตเสียยิ่งกว่าราชวังของจักรวร รดิมังกรเวหาเสียอีก มันถูกสร้างขึ้นจากหยกขาวซึ่งดูกลมกลืนไปกับหมอกรอบๆ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันราวกับได้ก้าวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน
มีราชวังตั้งอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เรื่องนี้ทําให้เจียงฮือดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ยอดเขาเทพธิดาตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ แล้วใครกันที่สร้างราชวังแห่งนี้ขึ้นมา?
คงไม่ใช่ว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรสั่งให้บรรดาลูกสมุนสร้างมันขึ้นหรอกนะ? แต่สัตว์อสูรส่วน ใหญ่ไม่ได้มีมือเหมือนกับมนุษย์ พวกมันจะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ออกมาได้ยังไง? หรือจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะลักพาตัวมนุษย์มาและบังคับให้พวกเขาสร้างมัน?
“เจียงอี้ รีบเข้ามาได้แล้ว! อย่าได้สนใจแต่เรื่องไร้สาระ ราชวังหลังนี้เป็นเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์เท่านั้น! ”
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นชาดังขึ้นในหัวซึ่งทําให้เจียงอี้ผงะไปชั่วครู่ก่อนที่จะเดินตามจิ้งจอกน้อยเข้าไปในวัง
ในขณะที่พวกเขาเข้ามา ประตูบานใหญ่ก็เปิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง โดยไม่รอช้า จิ้งจอกน้อยรีบพุ่งไปด้านหน้าและโผเข้าสู่อ้อมแขนของสตรีผู้งดงามซึ่งกําลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกสีขาว
มันปล่อยเสียงร้องเล็กๆออกมาราวกับกําลังพูดว่าตัวเองนั้นได้ทํางานที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้วและอยากได้คําชมจากผู้เป็นมารดา
“เสี่ยวเฟย เจ้าทําได้ดีมาก!”
เดิมที่ใบหน้าของจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็มีแต่ความเย็นชา แต่เมื่อเห็นหน้าของจิ้งจอกน้อย สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงและเผยให้เห็นความอ่อนโยนอันหาดูได้ยาก นางใช้มือลูบไปที่หัวของธิดาด้วยความรักใคร่จากนั้นก็กล่าว
“เสี่ยวเฟย เจ้ากับพวกแดงน้อยช่วยไปหาผลไม้มาสักหน่อยได้หรือไม่? แม่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องพูดกับเจียงชั่วครู่”