บทที่ 297 ผู้ลี้ภัย
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
เจียงอี้กลับไปตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวในตันเทียนของเขาต่อในขณะที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรปลีกตัวบําเพ็ญเพียรเช่นเดิม จิ้งจอกน้อยรู้สึกเบื่อหน่ายและเมื่อเห็นว่าไหนๆ แดงน้อยก็ขึ้นมาอยู่นี่แล้ว ดวงตาของมันก็มองไปมองมาและเรียกแดงน้อยพร้อมกับส่งข้อความถึงเสี่ยวนู๋ “พี่เสี่ยวไปกันเถอะ! ข้าขอให้เจ้าแดงน้อยพาเราไปเก็บผลไม้ที่ภูเขากันแหละ”
เจ้าแดงน้อยค่อนข้างมีความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ มันเป็นมากกว่าความเต็มใจในการพา จิ้งจอกน้อยออกไปเล่นรอบๆ ด้วยคําสั่งของจักรพรรดินีที่ให้พาเจียงอี้ไปไหนมาไหนก็ยังถือว่าดี แต่การพามนุษย์สตรีไปไหนมาไหนนั้นมันค่อนข้างน่าอับอายนัก มันเป็นถึงราชันสัตว์อสูรและมันนั้นต้องอยู่ใต้แทบเท้าของหญิงสาวผู้เป็นมนุษย์ และแถมยังต้องปล่อยความองอาจของราชันสัตว์อสูรไปอีก
เสี่ยวนู๋นั้นก็ตกใจเช่นกัน นางอาจจะอยู่บนไหล่ของแดงน้อยเมื่อตอนมาที่นี่ แต่ตอนนั้นมีเจียงอี้อยู่ใกล้ๆและนางก็ยังคงสั่นไปตลอดทาง แต่ในตอนนี้ที่ไม่มีเจียงอี้อยู่ด้วย นางก็ไม่กล้าที่จะขึ้นไปอยู่บนไหล่ราชันสัตว์อสูรนี้
“จี้ จี้”
จิ้งจอกน้อยจิกตาอย่างดุดันใส่แดงน้อยและตะโกนเรียกออกมาเสียงดังซึ่งนั่นทําให้ราชันสัตว์อสูรนั้นต้องซ่อนความขมขื่นไว้มากกว่าเดิม แต่ความเกรี้ยวกราดของมันค่อยๆจางลง ในไม่ช้าความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรก็ได้หายลับไปและแปรเปลี่ยนเป็นลูกแกะตัวน้อยๆในพริบตา
จิ้งจอกน้อยกระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือแดงน้อยก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปที่ไหล่ จากนั้นมันก็ส่งข้อความถึงเสี่ยวนู๋ “พี่เสี่ยว มาเร็ว เราไปเก็บผลไม้กันเถอะ เมื่อพี่ใหญ่ออกมาแล้ว พวกเราจะได้ให้เขากินมันอย่างอิ่มหนําไปเลย”
อาจเป็นเพราะการที่จิ้งจอกน้อยพูดถึงเจียงอี้หรืออาจเป็นเพราะการที่แดงน้อยไม่ได้เผยกลิ่นอายของมันออกมา มันจึงไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป เสี่ยวนู๋ก็เลยกัดฟันและเดินไปข้างหน้าสองก้าวก่อนที่แดงน้อยจะคว้านางไว้ในมือและวางบนไหล่ของมันเบาๆ
พี่บ!
จากนั้นมันก็ย่อข้าของมันและกระโดดลงจากยอดเขากว่าร้อยกิโลเมตร ซึ่งทําให้ร่างของมันค่อยๆหดลงก่อนที่จะจมลงสู่หมู่เมฆและหายลับไป
“ดาวดวงแรกได้เปลี่ยนไปแล้ว ข้าสงสัยจังว่าจะหากข้าบ่มพลังต่อ ดาวดวงที่สอ จะเปลี่ยนไปอย่างไร?”
เจียงอี้ค่อนข้างตื่นเต้นอยู่บนแท่นลอยฟ้า คําอธิบายของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นช่วยเขาเป็นอย่างมาก อย่างน้อยมันก็สามารถชี้ทางให้เขาบ่มพลัง มันก็คือการบ่มพลังดาวอีกแปดดวงให้เหมือนกับดาวดวงแรกซึ่งนั่นจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้อย่างมากมาย
เขาค่อนข้างเร่งรีบกลับมาที่แท่นลอยฟ้าเพราะเขาต้องการพิสูจน์บางอย่าง ในการบ่มพลังขั้นต่อไป มันจะเริ่มเติมเต็มดาวดวงที่สองหรือไม่?
เจียงอี้นั่งลงไปอย่างรวดเร็วและเริ่มทําสมาธิและเขาก็เริ่มหมุนเวียนศาสตร์นิรนาม เขาเริ่มมีสีหน้าที่อิ่มเอมแก่นแท้พลังสีดําเริ่มทะลักออกมา แต่มันไม่ได้อยู่ในดาวดวงแรก มันเข้าไปอยู่ในดาวดวงที่สอง!
จักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เมื่อดาวดวงแรกของเจียงอี้เปลี่ยนไป เขาก็สามารถบ่มเพาะพลังในดาวดวงที่สองได้ ตราบใดที่เขายังคงบ่มพลังต่อไป ความแข็งแกร่งของเขาก็มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
“เจ้าจะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจนถึงเมื่อดาวดวงที่สามแปรสภาพ!”
เมื่อเจียงอี้นึกถึงพูดนั้น เขาก็ตื่นเต้นมากจนตัวสั่นจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อดาวดวงที่สี่ ห้า และหกเปลี่ยนไป พละกําลังของเขาจะเปรียบได้กับขอบเขตของราชันสวรรค์หรือไม่?
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อดาวทั้งเก้าดวงของเขาถูกเติมจนเต็ม ความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับใดกัน?
เขาไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการออกมาได้ แต่เขารู้สึกราวกับว่าเส้นทางสู่สวรรค์ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา ตราบใดที่เขายังคงเดินไปตามเส้นทางนี้ เขาก็จะไปถึงสุดทาง บางทีเขาอาจจะเป็นผู้อมตะในทวีปเทียนชิงอย่างแท้จริงก็ได้
“เมื่อไหร่กันล่ะที่ดวงดาวทั้งเก้าดวงจะแปรเปลี่ยนไปจนหมด? ข้าจะสามารถอยู่ได้นานขึ้นไหม?”
เจียงอี้สงบลงอย่างรวดเร็วและเผยร่องรอยของความเจ็บปวดที่ริมฝีปากของเขา มัน ใช้ศิลาสวรรค์สามก้อนและบ่มเพราะพลังอยู่สามเดือนในราชวังจักรพรรดินีแห่งนี้ก่อนที่ดวงดาวดวงแรกของเขาจะแปรเลี่ยนไป ซึ่งดูดซับแก่นแท้พลังจากดาวดวงอื่นทั้งหมด เห็นได้ชัดว่ามันต้องใช้แก่นแท้พลังอีกมากมายเพียงใดกว่าจะแปรเปลี่ยนดาวแต่ละดวงได้
ดาวดวงที่สองนั้นมีขนาดเท่ากันกับดาวดวงแรก แต่เจียงอี้นั้นมีสัญชาตญาณว่ามันจะต้องใช้พลังเป็นสองเท่าของดาวดวงแรกแน่ๆกว่าจะแปรเปลี่ยนดาวดวงที่สองได้ หรือบางที อาจจะต้องใช้พลังมากกว่านั้น..หากดาวดวงที่สามนั้นต้องการพลังเป็นสองเท่าของดาวดวงที่สองและถ้าหากมันเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็คงจะตายก่อนที่จะสามารถเปลี่ยนดาวทั้งเก้าดวงได้เป็นแน่
“ข้าจะค่อยๆทํามันช้าๆ ตราบใดที่มันมีทาง ข้าก็จะขยันขันแข็งต่อไป ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ในตอนที่ตันเทียนของเขาเปลี่ยนไป เขาก็หมดหนทางที่จะเดินต่อ เขาไม่รู้ว่าเขาจะบ่มเพาะพลังยังไง เขาไร้หนทาง และเขาก็หลงอยู่ในความสับสน ในตอนนี้ที่เขาพบวิธีและหนทาง ในที่สุดหัวใจของเขาก็กลับมามั่นคง
เขานั่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองได้ฟื้นสติกลับคืนมาก่อนที่จะหลับตาบ่มเพาะพลังต่อ
เมื่อเขาบ่มเพาะพลังไปได้ครู่หนึ่งเขาก็สังเกตเห็นถึงปัญหา แก่นแท้พลังสีดําของดาวดวงที่สองนั้นมีความเข้มข้นมากกว่าดาวดวงแรกนักและการสร้างแก่นแท้พลังนั้นก็ช้ากว่าเดิมสองเท่า ฉะนั้นเพื่อที่จะแปรเปลี่ยนดาวดวงที่สอง มันก็ต้องใช้เวลามากกว่าเดิมสองเท่า
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว!
เจียงอี้ไม่ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างนอกและจดจ่ออยู่กับการบ่มเพาะพลัง เขาไม่ได้เจอแม้แต่เจียงเสี่ยวนู๋หรือจิ้งจอกน้อยเลย แต่เขาก็ไม่ได้กังวล ด้วยการมีจิ้งจอกน้อยวนเวียนอยู่รอบๆ หุบเขาสามหมื่นลี้ก็เป็นเหมือนเพียงสวนหลังบ้านและเจียงเสี่ยวนู๋ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ จิ้งจอกน้อยก็จะไม่ยอมออกจากขอบเขตของหุบเขาเช่นกันและจะไปไหนมาไหนพร้อมกับราชันสัตว์อสูรซึ่งนั่นจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
ในวันที่ห้า เจียงเสียวนู๋และจิ้งจอกน้อยก็กลับมาอีกครั้ง แต่เจียงเสี่ยวนู๋กลับมาพร้อมสีหน้าที่ดูวิตกกังวล นางขึ้นไปบนแท่นลอยฟ้าทันทีเมื่อนางกลับมาถึงและไปปลุกเจียงอี้ที่อยู่ระหว่างการบ่มเพาะพลัง
เมื่อเจียงอี้เห็นหน้าที่หมองหม่นของเจียงเสี่ยวนู๋ เขาก็รีบลุกขึ้นมาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเสี่ยวนู๋?”
“มีผู้ลี้ภัยมาที่นี่เต็มไปหมด!”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋เต็มไปด้วยความเศร้าโศกขณะที่นางอธิบายว่า “มีผู้ลี้ภัยจํานวนมากมาจากทางตอนใต้ของภูเขา มีผู้ลี้ภัยอยู่นับไม่ถ้วนเต็มไปหมดเลย ข้ามองเห็นพวกเขามากมาย พวกเขาน่างสารมาก มีผู้สูงอายุละเด็กน้อยมากมาย พวกเขากําลังขุดถ้ําใต้ดินเพื่อเข้าอาศัยอยู่ในนั้น และถ้าเสี่ยวเฟยไม่ได้ให้แดงน้อยไปช่วยออกมา พวกเขาก็คงจะถูกสัตว์อสูรระดับต่ำฆ่าตายไปแล้ว”
“ผู้ลี้ภัย?”
คิ้วของเจียงอี้ยกขึ้น ไม่ใช่ว่าอาณาจักรต้าเซี่ยตั้งอยู่ทางใต้ของหุบเขาหรอ? ไม่ใช่ว่า การก่อจลาจลของสัตว์อสูรจบลงไปแล้วหรอ? ทําไมจึงมีผู้ลี้ภัยจากอาณาจักรต้าเซี่ยจํานวนมากมาที่นี่? พวกเขายังลี้ภัยมาตั้งที่พักอยู่ที่หุบเขาสามหมื่นลี้? พวกเขาไม่กลัวถูกสัตว์อสูรฆ่าหรือ?
“จี้ จี้”
จิ้งจอกน้อยร้องออกมาและส่งข้อความบอกว่า “นี่เป็นเรื่องจริงนะพี่ใหญ่ เราเห็นมันตอนที่พวกเรากําลังไปเก็บผลไม้ มีผู้ลี้ภัยอยู่ทั่วหุบเขาและข้าก็ขอให้แดงน้อยไล่พวกสัตว์อสูรละแวกนั้นออกไป มิฉะนั้นคงจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากมายแน่ๆ เกิดอะไรขึ้นกับพวกมนุษย์กัน? ทําไมถึงมีคนบาดเจ็บล้มตายมากมายเช่นนี้?”
“อาณาจักรต้าเซี่ย?”
สีหน้าของเจียงอี้ไม่สู้ดีนักเมื่อเขารู้ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในทวีปนี้! ทําไมจูเก๋อชิงหยุนจึงไม่ส่งข้อความถึงเขา? หรือจะเกิดอะไรขึ้นกับจูเก๋อชิงหยุนด้วย? เขาตั้งใจปกปิดเรื่องนี้กับเจียงอี้?
“ไปดูกันเถอะ!”
เจียงอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หากเขาไม่ได้รับคําตอบที่ชัดเจน เขาจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ข้าจะไปด้วย!”
เสี่ยวนู๋พูดเสียงดังในขณะที่สิ่งที่จิ้งจอกน้อยนั้นเกรงกลัวก็คือโลกจะตกอยู่ในความโกลาหล จิ้งจอกน้อยร้องออกมาทันทีขณะที่วิ่งลงจากแท่นลอยฟ้า ในไม่ช้ามนุษย์ทั้งสองกับสัตว์อสูรหนึ่ง ตัวก็อยู่บนไหล่ของแดงน้อยที่ถูกเรียกมาโดยจิ้งจอกน้อย พวกเขารีบเร่งไปทางสํานักจิตอสูร
“จี้ จี้ จี้!”
เมื่อจิ้งจอกน้อยเห็นว่าเจียงอี้รู้สึกร้อนรนเพียงใด มันก็บอกให้แดงน้อยเพิ่งความเร็วอย่างต่ เนื่อง ความเร็วสูงสุดของแดงน้อยนั้นใช้เวลาสองวันก็มาถึงด้านนอกสํานักจิตอสูร
“ฮูววว…”
เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับสํานักจิตอสูร เจียงอี้ก็โล่งใจขึ้นมา เขาขอให้จิ้งจอกน้อยและราชนสัตว์อสูรรออยู่ที่หุบเขาเมฆาทมิฬขณะที่เขาพาเสียวนุ่ตรงไปยังสํานักจิตอสูร
เมื่อเขาพบกับหน่วยลาดตระเวน เขาก็ตะโกนออกมาทันที่ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับทวีปนี้? ทําไมมีผู้ลี้ภัยมาจากทางใต้ของหุบเขาสามหมื่นลี้?”
สมาชิกหน่วยลาดตระเวนกว่าสิบคนได้ยินเสียงของเจียงอี้ที่ถามออกมาและต่างมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นถามด้วยความสับสนว่า “เจียงอี้ เจ้าไม่รู้หรือ? จักรวรรดิมังกรเวหาและกองทัพของทั้งห้าอาณาจักรได้บุกไปโจมตีอาณาจักรต้าเซี่ยตั้งแต่เมื่อสี่วันก่อนแล้ว พวกเขาได้ทําลายเมืองของอาณาจักรต้าเซี่ยไปนับร้อย ข้าว่าในอีกไม่ถึงครึ่งเดือน อาณาจักรต้าเซี่ยก็คงจะสูญสลายไป…”