Novel-Kawaii - อ่านนิยาย อ่านนิยายออนไลน์ นิยายพากย์ไทย นิยายซับไทย

เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 543-544

เรื่อง เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 543-544

บทที่ 543 ผู้ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
  ในเมื่อเฟิ่งหลวนปรากฏตัวขึ้นมาและพร้อมทำให้จักรพรรดิอสูรของเผ่าพันธุ์เงือกพ่ายแพ้ไปภายในฝ่ามือเดียวมันจึงไม่มีทางที่จักรพรรดิอสูรเงือกจะสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้ หากเขาไม่ทำอะไรเลย กองทัพเงือกก็จะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน จากกองกำลังเงือกห้าหมื่นตนนี้ หากพวกเขาพ่ายแพ้ไปก็คงมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าพวกเขาจะหวนคืนสู่ท้องทะเลได้กี่ชีวิต
  หากพวกเขาล่าถอยในตอนนี้สมาชิกเผ่าพันธุ์เงือกที่เป็นแนวหน้าจะต้องตาย และพวกเขาจะเป็นผู้พ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้ และนี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่จักรพรรดิเงือกต้องการ มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องต่อสู้จนตัวตายอยู่ที่นี่
  “นังหญิงชั่วตระกูลเฟิ่งขึ้นมาสู้กับข้าสิ!”
  กองทัพมนุษย์และปีศาจบนพื้นดินกำลังจะกวัดแกว่งดาบเข้าหากันและมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิอสูรและจักรพรรดินีจะต่อสู้กันที่นี่ ไม่เช่นนั้น สมาชิกเผ่าพันธุ์ของพวกเขาที่อยู่ด้านล่างจะถูกทำลายไปอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะให้มันเป็น ในอดีต เหล่ายอดฝีมือจะขึ้นไปประชันหน้าคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันบนฟ้าขณะที่เหล่ากองทัพของแต่ละฝ่ายจะสู้รบอยู่ด้านล่าง มันเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกลายเป็นเหมือนกฏที่ไม่จำเป็นต้องพูดไปแล้ว
  “หยีโย่วเจ้าเป็นคนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจ เจ้ากล้ารุกล้ำเขตแดนของเผ่าพันธุ์มนุษย์และผิดคำสาบานระหว่างเผ่าพันธุ์ของเรา ในเมื่อเจ้าสังหารคนของเผ่าพันธุ์ข้า ในวันนี้ ข้า ผู้เป็นทายาทตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งหลวน จะฝังเจ้าไว้ที่นี่ ข้าจะกำจัดเผ่าพันธุ์เงือกให้สิ้นซาก! ขึ้นมาสู้กับข้าที่นี่!”
  แส้เงินในมือเฟิ่งหลวนตวัดอย่างรุนแรงเวลานี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แต่แสงของมันยังคงส่องมายังผืนดินและส่องไปที่เสื้อคลุมห้าสีของเฟิ่งหลวน ซึ่งมันทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์ก็ไม่ปาน กลิ่นอายรอบตัวนางช่างน่ากลัวและมันได้ตรึงเผ่าพันธุ์เงือกที่อยู่ด้านล่างนาง มันแข็งแกร่งมากจนร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย แม้ว่านางจะทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนโดยการปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ แต่ก็ไม่มีผู้ใดควรดูถูกนาง
  ฟึ่บ!
  ขณะที่นางพูดจบเฟิ่งหลวนก็เปลี่ยนเป็นลำแสงและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท้องฟ้าด้านบนนั้นมืดครึ้มและมันเหมือนกับนางเป็นดาวตกที่กำลังพุ่งผ่านฟ้า มันดูเป็นฉากที่งดงามมาก
  “ย๊าย๊า ย๊า!”
  จักรพรรดิอสูรเงือกได้กลายเป็นภาพหลังในชั่วพริบตาและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะหายลับไปเช่นกัน
  “พวกราชันปีศาจแห่งเผ่าพันธุ์เงือกจงมาที่นี่เพื่อสู้กับข้าผู้นี้!”
  ชิงหยีสวมเกราะสีเขียวและนางมีใบหน้าที่เยือกเย็นใบหน้าของนางดูน่ากลัวเมื่อมันมาพร้อมกับหอกยาวในมือของนาง ราชันปีศาจต่างพากันพุ่งไปในอากาศและตรงไปทางชิงหยีอย่างรวดเร็ว
  “ยัยโง่นี่….นางอยากจะสู้กับราชันปีศาจจริงๆหรอนี่นางประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า?”
  เจียงอี้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกองทหารม้าในกองทัพเผ่าพันธุ์มนุษย์ขณะที่เขามองไปยังชิงหยีที่อยู่บนฟ้าอย่างหมดคำพูดเขาขี่เสือสีแดงตัวใหญ่และมีทหารหญิงอยู่รอบๆเขาทั้งหมดซึ่งมันทำให้เขาดูสะดุดตาและประหลาดมาก เขาไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียวซึ่งมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้ แต่สาวใช้ของชิงหยีก็ได้สั่งให้ทหารไปคอยคุ้มกันเจียงอี้และพวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของนาง
  “อู๋ววอู๋ววว!”
  ขณะที่ราชันปีศาจพุ่งขึ้นไปในอากาศพวกมันทั้งหมดก็พุ่งตรงไปยังมนุษย์ที่อยู่กลางอากาศ มีราชันปีศาจอย่างน้อยหนึ่งร้อยตนและยังมีราชันปีศาจขั้นสูงสุดอีกสามสิบตนในหมู่พวกมัน ขณะที่พวกมันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยกลิ่นอายที่ไม่สามารถหยุดยั้ง หัวใจของทุกคนก็เริ่มเต้นรัว
  ในเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกนั้นมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเพียงสามสิบคนเท่านั้น และมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังน้อยกว่าห้าคนที่อยู่เหนือขั้นที่เจ็ดขึ้นไป
  แต่เดิมในเมืองชิงเฟิ่งมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากกว่าร้อยคน แต่เฟิ่งหลวนได้ส่งคนเหล่านั้นออกไปจากที่นี่ก่อนหน้านี้ และเมื่อราชันปีศาจพุ่งเข้าใส่พวกนั้นในเวลาเดียวกันและถูกตรึงไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสาปแช่งอย่างคับแค้นใจ
  ไม่มีใครเข้าใจเลยว่าทำไมเฟิ่งหลวนถึงตัดสินใจที่จะโจมตีศัตรูกะทันหันเช่นนี้แต่สุดท้ายแล้วนางก็ยังเป็นจักรพรรดินีและไม่มีใครกล้าตั้งคำถามกับการตัดสินใจของนาง คนที่เหลือก็ทำได้เพียงสู้จนตัวตายเท่านั้น
  “เอาล่ะ!มีใครอยู่ที่นี่บ้าง?”
  เมื่อเจียงอี้เห็นราชันปีศาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจากทั่วทุกสารทิศเขาก็แอบแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีราชันปีศาจซ่อนอยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ยืนบนหลังเสือแดงยักษ์ที่เขาขี่มันอยู่และร่างของเจียงอี้ก็พุ่งขึ้นไป
  บรึฟ!
  เจียงอี้อยู่ที่กลางอากาศและชุดเกราะหนังสัตว์บนร่างของเขาก็สะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมกลิ่นอายที่น่ากลัวของเขาได้ปกคลุมไปทั่วพื้นที่นั้น ภายใต้กลิ่นอายที่ปรากฏออกมาได้ทำให้เหล่าราชันปีศาจที่มีขนาดตัวราวยี่สิบห้าเมตรไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่นิดเดียวขณะที่แววตาที่หวาดกลัวได้ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเขียวของพวกมัน
  “นี่…”
  ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่กำลังเตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยการโจมตีและพร้อมสู้กับราชันปีศาจจนตายไปข้างก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นกันและร่องรอยของความหวาดกลัวได้เผยออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณของพวกเขาร่างกายของพวกเขารู้สึกอ่อนแอและแก่นพลังก็ตีกันอยู่ภายในร่างของพวกเขา จากนั้นร่างทั้งหมดบนท้องฟ้าก็เริ่มร่วงหล่นเหมือนแมลงวัน
  ความสามารถของเขาสามารถปกคลุมพื้นที่ได้กว้างเช่นนี้เชียวหรือ?เขานั้นเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมในศึกครั้งใหญ่เช่นนี้ได้เลย!
  ตัวชิงหยีเองก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าเช่นกันและปากของนางก็เปิดกว้างขณะที่ดวงตาของนางก็ตกตะลึงนางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเจตจำนงสังหารของเจียงอี้เพราะนางเองก็เคยถูกความกดดันนั้นมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่นางคิดว่ามันเป็นการโจมตีทางจิตวิญญาณรูปแบบหนึ่งและสามารถกำหนดเป้าหมายได้เพียงคนเดียวเท่านั้น นางไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสามารถโจมตีกลุ่มคนมหาศาลได้
  ตอนที่เจียงอี้สั่งให้เฟิ่งหลวนโจมตีกองทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจนางไม่กล้าที่จะตั้งคำถามกับเขา ทั้งชิงหยีและเฟิ่งหลวนพร้อมที่จะตายในสนามรบและพวกนางก็สัมผัสได้ถึงอิสรภาพ มันเหมือนกับว่าพวกนางกำลังจะปลดภาระที่หนักอึ้งไว้และจะไม่ต้องเป็นทาสของเจียงอี้อีกต่อไปเมื่อพวกนางตาย
  ผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์เงือกนั้นมีจำนวนมากพอๆกับเมฆบนท้องฟ้าแม้จักรพรรดิอสูรชือจะล่าถอยไป โอกาสที่พวกเขาจะกุมชัยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก หากเฟิ่งหลวนไม่ได้พาผู้เชี่ยวชาญมากมายจากเมืองชิงเฟิ่งออกไป พวกนางก็อาจจะมีโอกาสชนะอยู่บ้าง
  แม้ว่าเจียงอี้จะไปที่สนามรบแต่ชิงหยีก็ไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนผลการต่อสู้ได้ อย่างมากเขาก็คงจะสังหารราชันปีศาจได้บ้าง
  นางไม่เคยคิดเลยว่า….
  ทันทีที่เจียงอี้เคลื่อนไหวเขาจะกดราชันปีศาจได้นับร้อยตนเช่นนี้!
  ดวงตาสีแดงเลือดของเขาพุ่งขึ้นไปบนฟ้าด้วยจิตสังหารที่น่ากลัวพร้อมกับถือดาบมังกรเพลิงเอาไว้ในมือของเขาเจียงอี้ดูเหมือนเทพสงครามที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมและชิงหยีก็เริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นพร้อมความหวาดกลัว
  นางมีความรู้สึกที่เกินจะบรรยายว่าชายผู้นี้กำลังจะนำชัยมาให้พวกนางในวันนี้!
  เจียงอี้เผยการกระทำของเขาเพื่อแสดงให้ชิงหยีและกองทัพด้านล่างเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าความเกรี้ยวกราดเขาแสดงให้พวกนางได้เห็นว่าการสังหารหมู่เป็นเช่นไร!
  ดาบมังกรเพลิงที่เต็มไปด้วยแก่นแท้พลังเริ่มเปล่งประกายด้วยแสงมังกรเพลิงสองตัวหมุนวนไปรอบๆดาบ เจียงอี้ไม่ได้ใช้กระบวนท่าพิศดารอะไร เขาใช้เพียงแค่พลังของดาบมังกรเพลิงเฉือนไปที่หัวของราชันปีศาจเผ่าพันธุ์เงือก ยามที่ใบมีดเคลื่อนไหวมันก็ก่อเสียงสายลมหวีดหวิวดังออกมา
  ตูม!
  เงือกธรรมดามีการป้องกันที่แข็งแกร่งแล้วแน่นอนว่าราชันปีศาจจะต้องแข็งแกร่งกว่านั้น แม้ว่าการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจะถูกตัวของพวกมัน แต่มันก็คงทำได้เพียงทำลายเกล็ดบนร่างของเงือกเหล่านี้ก็เท่านั้น
  แต่เจียงอี้นั้นต่างออกไปด้วยการแกว่งดาบของเขา หัวของราชันปีศาจก็กลับกลายเป็นเถ้าถ่านทันทีขณะที่ร่างที่ไร้ศีรษะยังคงปล่อยควันสีดำออกมา
  ที่สำคัญที่สุดคือ…
  ในขณะที่เจียงอี้เคลื่อนไหวอุณหภูมิก็สูงขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้มนุษย์และสมาชิกเผ่าพันธุ์เงือกที่อ่อนแอกว่ารู้สึกราวกับว่าร่างกายของพวกเขากำลังจะมอดไหม้ เลือดของพวกเขาเหมือนกำลังเดือดพล่านและลมหายใจก็พ่นออกมาเป็นควันสีขาว
  ปึงปึง ปึง!
  หลังจากสังหารราชันปีศาจไปหนึ่งตนเจียงอี้ก็เหยียบไปบนศพของเขาและใช้ร่างของมันเป็นแรงพุ่งต่อไปในอากาศราวกับว่าเขาเป็นมังกรที่กำลังบินพาดผ่านท้องฟ้า ทุกครั้งที่ดาบมังกรเพลิงสาดแสงจะมีราชันปีศาจตกตายไป
  การสังหารหมู่!
  แม้แต่ชิงหยีและคนอื่นๆก็ยังไม่สามารถทนกับความร้อนได้พวกนางอยากจะถอดเสื้อผ้าออกและกระโดดลงไปในทะเลสาบชิงเฟิ่ง ในขณะเดียวกันพวกนางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่อยู่รอบๆและหวาดหวั่นอยู่ในใจ พวกนางไม่มีแรงที่จะเคลื่อนไหวใดๆ แต่ดวงตาของพวกนางก็สว่างแวววาวเมื่อจ้องมองไปยังชายที่อยู่บนท้องฟ้า เขาเป็นเหมือนเทพปีศาจที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมและพวกนางทั้งหมดก็ไม่สามารถหยุดร่างกายที่สั่นไหวได้เลย
  ราชันปีศาจร้อยตนนั้นเป็นจำนวนราชันปีศาจที่มากมายนัก
  แต่ความเร็วที่เจียงอี้สังหารพวกมันก็รวดเร็วมากในไม่กี่สิบลมหายใจ ราชันปีศาจก็ตกตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง หากเขายังคงทำเช่นนี้และสังหารราชันปีศาจที่เหลือ พวกนางก็จะสามารถไปช่วยเฟิ่งหลวนได้อย่างเต็มกำลังและอาจทำให้จักรพรรดิอสูรเงือกต้องทิ้งชีวิตของเขาในวันนี้
  ในช่วงเวลาที่จักรพรรดิอสูรเงือกตกตายไปอันตรายที่ทวีปเฟิ่งหมิงต้องเผชิญก็จะหายไปเช่นกัน หากปราศจากจักรพรรดิและหลังจากที่ราชันปีศาจของเผ่าพันธุ์เงือกตายไปมากมาย เผ่าพันธุ์เงือกจะอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำสงครามต่อไปได้ มันอาจจะถูกเผ่าพันธุ์อื่นๆจากทะเลบูรพาเวิ้งว้างยึดครองไปด้วยซ้ำ
  “อ๊ากอ๊ากกก! ไอ้สารเลวนี่กล้าสังหารลูกๆของข้าผู้นี้! เจ้าตายแน่ๆ!”
  ในขณะนั้นเองเสียงคำรามก็ดังก้องมาจากเบื้องบน เหมือนมีอุกกาบาตลูกหนึ่งกำลังพุ่งลงมาที่เจียงอี้
  จักรพรรดิเงือกกำลังมาหาเขาแล้ว
  ….
บทที่ 544 รูปแบบเต๋าราตรี
  จักรพรรดิอสูรเงือกจำต้องมาที่นี่ไม่เช่นนั้นลูกน้องของเขาทั้งหมดก็จะถูกกวาดล้างไปและเขาจะกลายเป็นผู้บัญชาการเพียงตนเดียว ความแข็งแกร่งของเฟิ่งหลวนอยู่ในระดับเดียวกับเขา อย่าว่าแต่เวลาสั้นๆเลย แม้ว่าพวกเขาจะสู้กันทั้งวันทั้งคืนก็คงจะยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ
  เขาโจมตีด้วยพลังอันทรงพลังซึ่งมันได้ทำให้เฟิ่งหลวนต้องถอยร่นไปก่อนที่เขาจะรีบลงมาและฟาดฝ่ามือยักษ์ของเขามาด้วย
  “จี๊!จี๊!”
  จากนั้นก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น
  ตอนที่ร่างของเขายังคงอยู่กลางอากาศฝ่ามือยักษ์ก็ได้ขยายใหญ่ขึ้น ในพริบตาเดียวมันก็ขยายออกมากกว่าสิบห้าเมตร มีหนามแหลมหกหนามเปล่งแสงสีเขียวเข้มซึ่งมันงอกขึ้นมาพร้อมกับกรงเล็บอันแหลมคม และด้วยความเร็วที่เร็วเกินไปมันจึงทำให้เกิดเสียงแหลมอยู่ในอากาศ
  วิชาอสูร!
  ชิงหยีต้องการที่จะตะโกนออกมาเพื่อให้เจียงอี้หนีไปวิชาอสูรของเผ่าพันธุ์เงือกนั้นไม่สามารถกันได้และหนามแหลมของมันก็มีพิษร้ายแรงมาก หากเจียงอี้ถูกฝ่ามือฟาด เขาจะต้องตายในทันที
  “นายน้อยหลบไปเร็ว!”
  จากท้องฟ้าเบื้องบนมีร่างร่างหนึ่งพุ่งลงมาขณะที่เสียงอันอ่อนโยนดังก้องอยู่ในใจของเจียงอี้ เฟิ่งหลวนต้องเร่งฝีเท้าของนาง เพราะหากเจียงอี้ตาย ทั้งนางและชิงหยีก็ต้องตายไปในฐานะทาสวิญญาณของเขาและทวีปเฟิ่งหมิงก็จะจบสิ้น
  “ฮึฮึ!”
  เจียงอี้ไม่ได้ขยับไปไหนแต่เขากลับเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและดวงตาที่มั่นใจออกมาแทน มันเป็นความกล้าหาญที่แทบจะไม่รู้สึกรู้สาแม้จะมีภูเขายักษ์กำลังทุ่มลงมา ภาพนี้ได้ตราตรึงอยู่ในใจชิงหยีและจิตใจของทุกคน มันได้เปลี่ยนความคิดที่ผู้หญิงในทวีปนี้ไปมากมายนัก
  วินาทีถัดมา!
  ฉากอีกฉากที่น่าตกตะลึงก็เกิดขึ้นซึ่งมันเป็นฉากที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของทุกคน
  ดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าฝุ่นที่ตลบอบอวลอยู่เหนือนภา ฝ่ามือยักษ์ฟาดลงมาราวกับมือของเทพแห่งความตาย กลิ่นอายการทำลายล้างทำให้มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจหายใจไม่ออกและรู้สึกสิ้นหวัง แต่ที่กลางอากาศ มีร่างเล็กๆที่กวัดแกว่งดาบยาวสีแดงของเขาโดยไม่หวาดหวั่นและวาดดาบไปที่ฝ่ามือยักษ์
  “จี๊!จี๊!”
  ไข่มุกสีแดงที่ด้ามดาบมังกรเพลิงสว่างขึ้นจากนั้นก็มีเปลวเพลิงสีขาวพวยพุ่งออกมาพร้อมกับแสงอันหนาวเหน็บ เปลวเพลิงทุกก้อนที่ถูกปล่อยออกมามีใบหน้าของภูติผีอยู่ภายในนั้น
  ทันทีที่เปลวเพลิงอเวจีปรากฏขึ้นมังกรก็พุ่งไปอย่างรวดเร็ว พวกมันถูกยิงออกมาพร้อมกับมังกรเพลิงทั้งสองตัวจากดาบและพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์ในอากาศอย่างไร้ปรานี
  “ในเมื่อเจ้าขุดหลุมฝังตัวเองเช่นนั้นเจ้าก็ตายซะเถอะ!”
  หากจักรพรรดิอสูรเงือกตนนี้ใช้ความสามารถอื่นๆหรือโจมตีด้วยแรงปกติหรือไม่ก็ใช้กลิ่นอายที่ทรงพลังเพื่อกดเจียงอี้เอาไว้ เจียงอี้ก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน
  แต่จักรพรรดิอสูรเงือกกลับเลือกที่จะปล่อยวิชาอสูร?มันต้องพึ่งหนามแหลมและใช้พิษสังหารเจียงอี้? นี่เป็นการขุดหลุมฝังตัวเองจริงๆ
  หากเป็นคนอื่นแม้แต่เฟิ่งหลวนเองก็คงจะหวาดกลัวฝ่ามือนี้ การป้องกันของฝ่ามือนี้แข็งแกร่งเกินไปและแม้ว่าจะมีคนสร้างบาดแผลให้ฝ่ามือนี้ได้ แต่คนผู้นั้นก็อาจถูกพิษบนหนามแหลมสังหารไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
  แต่เจียงอี้กลับไม่กลัว!
  เปลวเพลิงอเวจีที่ผ่านการปรับแต่งมาแล้วสามารถเผาราชันปีศาจขั้นสูงสุดได้อย่างง่ายดายเจียงอี้อาจไม่รู้ว่าเขาจะสามารถเผาจักรพรรดิอสูรเงือกได้หรือเปล่า แต่มันก็คงไม่ใช่ปัญหาถ้าหากเขาจะเผาฝ่ามือนี้ แม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด จักรพรรดิอสูรเงือกก็คงจะถอนมือกลับไปโดยสัญชาตญาณซึ่งจะทำให้เจียงอี้มีเวลาย้ายร่างฉับพลันอยู่ดี
  “ฟึ่บฟั่บ!”
  ฝ่ามือบนท้องฟ้าเร็วมากและการโจมตีของเจียงอี้ก็เช่นกันระยะห่างระหว่างการโจมตีทั้งสองขั้วเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็วและเมื่อมังกรเพลิงสองตัวที่มีเปลวเพลิงอเวจีได้ปะทะเข้ากับฝ่ามือยักษ์ก็มีกลิ่นไหม้ออกมา เปลวเพลิงอเวจีไม่ทำให้เจียงอี้ผิดหวังจริงๆ ฝ่ามือยักษ์นั่นถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นฝ่ามือนั้นก็ได้กลายเป็นเพียงขี้เถ้า
  “อ๊ากกก!”
  เสียงร้องโหยหวนบนฟ้าสั่นสะเทือนจนทำให้หูของเจียงอี้และมนุษย์และสัตว์อสูรตนอื่นๆเลือดไหลออกมาพลังและกลิ่นอายจิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาจากจักรพรรดิอสูรเงือกและกดเจียงอี้ลงจากกลางอากาศ
  เมื่อมองไปที่จักรพรรดิเงือกที่จับแขนที่ถูกตัดขาดและร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวดชิงหยีและคนอื่นๆก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ตอนที่เปลวเพลิงอเวจีของเจียงอี้ปรากฏขึ้นมา ร่างกายของทุกคนก็เกือบจะกลายเป็นเนื้อแดดเดียวและสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดไปแล้ว
  จักรพรรดิเงือกเป็นจักรพรรดิอสูรแห่งยุคนี้!
  มันเป็นปีศาจที่น่าสยดสยองของทวีปเฟิ่งหมิงมาโดยตลอดจักรพรรดิเงือกตนนี้อยู่มานานกว่าสองพันปีแล้วและจะบุกมายังทวีปนี้ทุกๆหนึ่งศตวรรษ ทุกๆคนเกลียดชังจักรพรรดิเงือกและรู้สึกราวกับว่ามันเป็นปีศาจที่ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะได้ แต่ตอนนี้แขนของปีศาจตนนี้ถูกชายคนนี้ตัดขาดภายในกระบวนท่าเดียว
  บูม!บูม! ตูม!
  ราชันปีศาจที่ยังเหลืออยู่และผู้เชี่ยวชาญเผ่าพันธุ์มนุษย์รวมไปถึงเจียงอี้ต่างก็ถูกกลิ่นอายของจักรพรรดิเงือกกดเอาไว้พวกเขาทั้งหมดล้มลงไปกับพื้น ทั้งมนุษย์และปีศาจต่างก็พากันตกตะลึง แม้แต่เฟิ่งหลวนที่อยู่กลางอากาศเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
  เมื่อเฟิ่งหลวนกวาดสายตาไปมองเจียงอี้อย่างไม่ได้ตั้งใจนางก็รีบคืนสติทันที ดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยความโกรธและใบหน้าของเขาเหมือนมีคำว่า “โง่เง่า” อยู่ตรงหน้าตัวเบ้อเริ่ม
  และแน่นอนว่าคนโง่เง่านั่นก็คือเฟิ่งหลวนช่วงเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ นางกลับยืนแข็งทื่อ หากนางประสานการโจมตีของนางในทันที ป่านนี้จักรพรรดิเงือกก็คงตายไปแล้ว!
  มือทั้งสองของนางเปล่งประกายด้วยแสงสีดำซึ่งโบยบินไปรอบๆ
  ในขณะที่มือของนางโบยบินมิติอากาศก็ถูกปกคลุมไปด้วยรังสีสีดำ ท้องฟ้าทั้งหมดมืดมนลงในทันทีและมันมืดมากจนแทบจะมองไม่เห็นมือของตัวเอง เจียงอี้ตระหนักได้ว่าคนอื่นๆและสัตว์อสูรรอบๆทั้งหมดได้หายไป แม้แต่จักรพรรดิเงือกเองก็หายไป โลกทั้งใบกลับกลายเป็นความมืดมิด
  “รูปแบบเต๋าราตรีหรอ?ยัยลูกเจี๊ยบนี่ก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นล่ะนะ!”
  เจียงอี้ถอนหายใจเงียบๆและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจพื้นที่รอบๆและมันก็ว่างเปล่าเขาเลื่อมใสพลังของรูปแบบเต๋าราตรีขึ้นมาทันที แต่ก็คงเป็นเพราะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนปลดปล่อยมันออกมา หากเป็นขอบเขตจินกังทำเช่นนี้ มันอาจจะไม่สามารถจับเขาเอาไว้ได้
  เขาแอบรื่นเริงเล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะเฟิ่งหลวนอยากทำให้เขากลายเป็นทาสวิญญาณและอักขระสีดำลึกลับจากศาสตร์นิรนามมาช่วยเขาไว้ เขาก็คงจะตายไปตั้งแต่ที่เผชิญหน้ากับเฟิ่งหลวนโดยที่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตายได้อย่างไร
  การต่อสู้ระหว่างเฟิ่งหลวนกับจักรพรรดิเงือกไม่ใช่เรื่องของเขาอีกต่อไปและตอนนี้จักรพรรดิเงือกเสียแขนไปข้างหนึ่งและได้รับบาดเจ็บหนัก หากเฟิ่งหลวนยังสังหารหรือทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่ได้ นางก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ปกครองทวีปนี้
  แต่เขาก็ยังคงปลดปล่อยเจตจำนงสังหารและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปทั่วพื้นที่อยู่ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาเองก็เปล่งแสงออกมาตลอดและพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ
  รูปแบบเต๋าราตรีนี้น่าทึ่งชะมัด!
  หลังจากผ่านไปสักพักเจียงอี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใดๆ เขาไม่พบศัตรูหรือแม้แต่กลิ่นอายของจักรพรรดิเงือกเองก็ยังหายไป
  เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาทและรอผลการต่อสู้ใจเขารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย หากเฟิ่งหลวนเอาชนะจักรพรรดิเงือกไม่ได้ เจียงอี้ก็อาจจะถูกจักรพรรดินั่นสังหาร
  “ไม่ได้สิข้าต้องระมัดระวังกว่านี้อีกนิดแล้ว!”
  ดวงตาของเจียงอี้กระพริบเล็กน้อยขณะที่ดาวทั้งสามดวงในตันเทียนของเขาสว่างขึ้นสายพลังดาราเก้าสวรรค์ถูกถ่ายออกมาและมันคือไพ่ตายสุดท้ายของเขา
  พลังของดาราเก้าสวรรค์นั้นทรงพลังมาก!
  จริงๆแล้วมันทรงพลังขนาดไหนกัน?เจียงอี้นั้นไม่รู้ แต่เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของจีทิงยวี่ในตอนที่อยู่หุบเหวอเวจีนั้นมีพลังมากเพียงใด เขาก็เลยคิดว่าพลังของมันน่าจะใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุน
  แต่น่าเสียดายที่พลังนี้มีน้อยเกินไปและทุกครั้งที่เจียงอี้ใช้มันมันก็ค่อยๆหมดลงทีละนิด พลังของดาราเก้าสวรรค์สามารถเพิ่มพลังให้เปลวเพลิงได้และถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เขาก็จะไม่ใช้มันสุ่มสี่สุ่มห้า
  บรึฟ…
  และเมื่อเจียงอี้ปล่อยพลังของดาราเก้าสวรรค์ออกมาเล็กน้อยท้องฟ้าก็แปรปรวนในทันใดและความมืดมิดก็ค่อยๆหายไป ทิวทัศน์รอบๆเริ่มกลับเข้าสู่ดวงตาของเจียงอี้อย่างช้าๆ เขากวาดสายตาไปในอากาศทันทีและเห็นว่าเสื้อคลุมห้าสีของนางกำลังเปียกโชกไปด้วยเลือด และมีศพกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าโดยไร้กำลังใดๆ
  ฮู่ฮู่วว!
  เจียงอี้ปล่อยลมหายใจออกมาและยิ้มแย้มเฟิ่งหลวนไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ ความแข็งแกร่งของยัยลูกเจี๊ยบนี่น่าเกรงขามจริงๆและจักรพรรดิอสูรก็ถูกนางสังหารไปแล้ว…

อ่านตอนอื่นๆของ เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven คลิกเลย

แฟนเพจ