ตอนที่ 1453 ราชินีเทพเจ็ดสมุทร
“คำพูดคำเดียวของราชันเซียนเจียวเหิงทรงพลังขนาดนั้นเลยเชียวหรือ?” ซือหม่ายวี่เจี้ยนที่ฟังอยู่ข้างๆ ยังอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
ชื่อเสียงของราชันเซียนเจียวเหิงใช่จะเป็นชื่อเสียงจอมปลอม ประกาศิตสูงสุดราชันที่ประทับลงบนร่างนั้น ชั่วชีวิตคิดจะเอาออกก็คงยาก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เพราะคำพูดคำเดียวของราชันเซียนเจียวเหิงนี่แหละ ทำให้นับจากนั้นเป็นต้นมา ทวนสามง่ามออกห่างจากตัวเขา ปฏิเสธที่จะเข้าใกล้ตัวเขา! เท่ากับเป็นการบ่งบอกว่าความฝันที่จะได้เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลพังทลายลงแล้ว…”
“…แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นถึงเทพเจ้าแห่งทะเล แต่ว่า ก็ไม่สามารถแก้ไขคำพูดคำนี้ของราชันเซียนเจียวเหิงได้” หลี่ชิเย่กล่าวว่า “สุดท้าย บิดาของเขาได้แต่จับเขาผนึกร่างเอาไว้แล้วเนรเทศไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของช่องว่าง หวังจะอาศัยพลังจากกาลเวลาอันยาวนานมาทำลายคำสาปของราชันเซียนเจียวเหิง ที่ประทับลงบนตัวนั่น”
“พูดแบบนี้แสดงว่าคำสาปที่ฝังอยู่บนตัวของจักกรพรรดิหอยสังข์คงหายไปแล้วสิ” เย่เสี่ยวเสี่ยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ถ้านับตามเวลาก็คงใกล้แล้วล่ะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “สำนักแตรสังข์ได้ทำตัวค่อมต่ำมากในเวลาต่อมา อันสืบเนื่องมาจากการไปล่วงเกินต่อราชันเซียนเจียวเหิง กระทั่งถึงยุคของเหล่าราชัน จึงได้ปรากฎตัวออกมาอีกครั้ง ในยุคของเหล่าราชัน เจ้าจักกรพรรดิหอยสังข์ผู้นี้เคยลักลอบกลับออกมาอย่างเงียบๆ แล้วไปเป็นผู้คุ้มครองให้กับเทพเจ้าแห่งทะเลทุนเจียงที่อยู่ในวัยหนุ่ม เสียดาย เขาทำหน้าที่ผู้คุ้มครองอยู่ได้ไม่นาน ยังคงไม่สามารถทนรับกับการทำร้ายจากรอยประทับที่ยังคงอยู่นั้นได้ จึงต้องแอบกลับไปซ่อนตัวอยู่ตามเดิม”
“เวลานี้ เขาถึงกับกล้าออกมาอย่างเปิดเผย ดูท่าหลังจากกาลเวลาอันยาวนานผ่านพ้นไป คำพูดดำเดียวของราชันเซียนเจียวเหิงคงถูกทำลายไปตามกาลเวลาเสียแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย
“เขาต้องการเป็นผู้คุ้มครองให้กับโอรสสวรรค์ปกสมุทร เพื่อให้โอรสสวรรค์ปกสมุทรได้เป็นราชันเซียน” ซือหม่ายวี่เจี้ยนพึมพำออกมา
“ฮึ โอรสสวรรค์ปกสมุทรไม่แน่หรอกนะว่าจะทำอะไรได้ แม้ว่าจะมีจักกรพรรดิหอยสังข์คอยให้การคุ้มครองอยู่ก็ตาม แม้แต่เทพธิดาเจินหวู่ก็หวนคืนนสู่ยุทธภพแล้ว ข้าว่าเทพธิดาเจินหวู่มีโอกาสที่จะได้เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลมากกว่า” เย่เสี่ยวเสี่ยวเอ่ยขึ้น
“เทพธิดาเจินหวู่นะหรือ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของเย่เสี่ยวเสี่ยว ทอดถอนใจและกล่าวว่า “เทพธิดาเจินหวู่จะไม่เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลหรอกนะ”
“เพราะอะไร?” เย่เสี่ยวเสี่ยวกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ข้ารู้สึกว่านางมีโอกาสได้เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลมากที่สุด ฮึ จักกรพรรดิหอยสังข์มีอะไรดี เกรงว่าเทพเจ้าแห่งทะเลหอยสังข์ก็ไม่เท่าเทพเจ้าแห่งทะเลเจินหวู่ ต่อให้จักรพรรดิหอยสังข์เป็นบุตรเทพเจ้าแห่งทะเลแล้วไง เทพธิดาเจินหวู่ก็เป็นธิดาของเทพเจ้าแห่งทะเลเหมือนกัน”
“พรสวรรค์ของเทพธิดาเจินหวู่นั้นไร้ข้อติติง อีกทั้งประสบการณ์ในสมรภูมิการสู้รบก็มีมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านประสบการณ์ หรือด้านสติปัญญา ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่สิ่งที่จักกรพรรดิหอยสังข์จะสามารถเทียบเคียงได้ แต่ว่า นางจะไม่เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลแน่นอน กระทั่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลตลอดไป”
“เพราะอะไร? เพราะอะไรนางถึงไม่เป็นเทพเจ้าแห่งทะเล?” เย่เสี่ยวเสี่ยวรู้สึกแปลกใจ อดถามไม่ได้ว่า ในฐานะที่เป็นลูกสาวเทพเจ้าแห่งทะเล เทพธิดาเจินหวู่มีโอกาสและมีคุณสมบัติมากกว่าใครๆ กับการได้เป็นเทพเจ้าแห่งทะเล
“ไม่เพราะอะไร” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเมินเฉย มองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดต่างๆ ที่เนิ่นนานมากได้ผุดขึ้นกลางใจ
เมื่อเย่เสี่ยวเสี่ยวมองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่แล้วก็เข้าใจได้ทันที หลี่ชิเย่ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้มากนัก
เดิมทีหลี่ชิเย่รั้งอยู่ที่เมืองต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อรอคอยการมาถึงของนางผู้นั้น แต่นางผู้นั้นไม่ได้มา กลับกลายเป็นคนอีกคนที่มา
เย่เสี่ยวเสี่ยวเข้ารายงานต่อหลี่ชิเย่ว่า “ผู้อาวุโสสามแห่งหอสัตตะยุทธขอเข้าพบ”
“ให้พวกเขาเข้ามา” หลี่ชิเย่ละสายตาจากนอกหน้าต่าง กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย
เพียงครู่เดียว ผู้อาวุโสสามได้เดินเข้ามา แต่ว่า ผู้อาวุโสสามไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขายังมีผู้หญิงมาด้วยอีกคนหนึ่ง
ยามที่ผู้หญิงผู้นี้ก้าวเดินเข้ามาภายในห้องนั้น พลันทำให้ห้องนี้สว่างไสวขึ้นมา ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้นำพาแสงสว่างมาสู่ที่พำนักอันต่ำต้อยอย่างนั้น
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ว่าจะก้าวเดินไปที่ใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน นางไม่เพียงมีความงดงามเท่านั้น บนตัวของนางยังมีกลิ่นอายสายหนึ่ง กลิ่นอายลักษณะเช่นนี้ทำให้นางมีคุณสมบัติเฉพาะตัวเป็นพิเศษ ทำให้นางก้าวย่างไปที่ใดก็สามารถดึงดูดสายตาของผู้คนได้
ผู้หญิงคนนี้สวมใส่ชุดเกราะวิเศษ โดยที่เกราะวิเศษได้เปล่งประกายสีเขียวจางๆ ออกมา ถึงแม้นางจะสวมเสื้อเกราะแต่ไม่อาจซ่อนเร้นส่วนเว้าส่วนโค้งของนางเอาไว้ ภายใต้เสื้อเกราะยังคงมองเห็นโครงร่างของความงดงามที่ประทับใจถึงเอวบางที่คอดกิ่ว อกที่กลมกลึง ช่วงขาที่เรียวยาว…ทรวดทรงองค์เอวเหล่านี้ภายใต้เสื้อเกราะวิเศษยังคงเห็นได้อย่างชัดแจน
สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนของผู้หญิงคนนี้หาใช่ความงดงามของรูปโฉม และไม่ใช่รูปร่างที่น่าประทับใจของนาง แต่เป็นกลิ่นอายของนาง เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของนาง
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้ ได้ส่งกลิ่นอายสายหนึ่งที่เป็นดั่งมหาสมุทรออกมาทั่วตัว เมื่อมองดูตัวนางแล้วก็คล้ายดั่งมองเห็นน้ำทะเลสีเขียวท้องฟ้าสีครามอย่างนั้น ทำให้มีความสุข และจิตใจเบิกบาน
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายมหาสมุทรที่อยู่บนตัวนางไม่ใช่ประเภทอ่อนปวกเปียก แต่เป็นประเภทแข็งแกร่ง ซึ่งลักษณะของกลิ่นอายเช่นนี้ทำให้นึกถึงน้ำทะเลที่ไม่ใช่ประเภทนุ่มนวล แต่เป็นประเภทของคลื่นที่โหมสาดซัดและขยายวงกว้างออกไป ประดุจนางคือคลื่นทะเลที่พร้อมโจมตีท้องฟ้าและหน้าผาสูงชันด้วยความดุร้ายและอันธพาลยิ่ง หาใช่ประเภทคลื่นเล็กๆ ที่สัมผัสทั่วตัวอย่างนุ่มนวลอ่อนหวาน
“รวมแก่นเจ็ดสมุทร ท่วงท่าน่าเกรงขามอยู่ในตัว ยกย่องเป็นราชินีเทพเจ็ดสมุทรนับว่าไม่เกินเลย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย มองดูผู้หญิงที่อยู่ข้างกายของผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสสามยังไม่ทันได้แนะนำ แต่หลี่ชิเย่ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ใดแล้ว
“คุณชายหลี่ ผู้นี้ก็คือเจ้าหอของพวกเรา” ผู้อาวุโสสามถือโอกาสนี้กล่าวแนะนำตัวต่อหลี่ชิเย่ทันที
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ขณะที่สายตาของราชินีเทพเจ็ดสมุทรก็ได้ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ สายตาของนางเปี่ยมด้วยพลังและเด็ดเดี่ยว เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นคลอนนางได้อย่างนั้น
“ชื่อของพี่หลี่ดังก้องในหู วันนี้ได้พบนับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
หลี่ชิเย่อมยิ้ม มองหน้านางทีหนึ่ง พยักหน้ากล่าวว่า “เชิญนั่ง”
ราชินีเทพเจ็ดสมุทรก็นั่งลงโดยไม่เกรงใจ ผู้อาวุโสสามรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี เขาพาตัวเองล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“ข้าหวังว่าเจ้าจะนำข่าวดีมาให้” หลังจากที่ราชินีเทพเจ็ดสมุทรนั่งลงแล้ว หลี่ชิเย่ได้เอนกายกับพนักพิงอย่างช้าๆ และกล่าวท่าทีเรียบเฉยออกมา
“บรรพบุรุษเจ็ดพวกเราได้ตอบตกลงแล้ว เห็นด้วยให้พี่หลี่ได้พบกับปฐมบรรพบุรุษของพวกเรา” ราชินีเทพเจ็ดสมุทรสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กล่าวด้วยท่าทีที่หนักแน่นจริงจังยิ่ง
“เทพเจ้าแห่งทะเลเทียนสื่อ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง ค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ กล่าวว่า “เขานับเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลที่ยอดเยี่ยมโดยแท้จริงคนหนึ่ง เป็นคนที่มองการณ์ไกล ด้วยเหตุนี้เองจึงได้สร้างรากฐานที่ยืนหยัดอยู่ได้เป็นพันล้านปีให้กับหอสัตตะยุทธของพวกเจ้า”
“เทพเจ้าแห่งทะเลยังมีชีวิต?”เวลานี้ แม้แต่ราชินีเทพเจ็ดสมุทรยังคงต้องถามคำถามนี้ออกมา ภายในใจของนางรู้สึกฉงนยิ่งนัก เนื่องจากนางรู้สึกไม่เข้าใจเลยกับเรื่องนี้
ตามหลักการแล้ว เทพเจ้าแห่งทะเลไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่หลี่ชิเย่ กลับเจาะจงต้องการพบเทพเจ้าแห่งทะเลเทียนสื่อ ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาให้ได้ อีกทั้งบรรพบุรุษเจ็ดของพวกเขาก็ตอบตกลงตามข้อเรียกร้องของหลี่ชิเย่อีกด้วย ซึ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
“คำถามนี้เจ้าสมควรไปถามตาเฒ่าเจ็ด ไม่ใช่มาถามข้า” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และยิ้มกล่าวออกมาอย่างช้าๆ
ราชินีเทพเจ็ดสมุทรถึงกับนิ่งเงียบไป เรื่องนี้หากบรรพบุรุษเจ็ดของพวกเขายอมบอกนาง นางก็คงไม่จำเป็นต้องถามจากหลี่ชิเย่
แม้ว่าเรื่องราวมากมายบรรพบุรุษเจ็ดก็ได้บอกเล่าให้กับนาง แต่ สำหรับเรื่องนี้บรรพบุรุษเจ็ดกลับนิ่งไม่พูดถึงสักคำ และหากจะพูดก็เป็นพูดถึงอย่างผิวเผินเท่านั้น ทำให้นางผู้มีฐานะเป็นถึงเจ้าหอก็ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน
“ไม่ทราบว่าพี่หลี่จะไปช่วยต่ออายุขัยให้กับบรรพบุรุษเจ็ดพวกเราเมื่อไหร่?” ในที่สุด ราชินีเทพเจ็ดสมุทรได้เอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ
“ไม่รีบ” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “รอให้ข้าเสร็จธุระต่างๆ แล้ว ข้าก็จะไปที่หอสัตตะยุทธของพวกเจ้าสักครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำการต่ออายุขัยให้กับบรรพบุรุษเจ็ดเอง พวกเจ้าแค่เตรียมสมุนไพรที่ต้องการใช้ให้พร้อมก็พอ”
ราชินีเทพเจ็ดสมุทรถึงกับนิ่งเงียบ นางเองก็เข้าใจ เมื่อมองดูท่าทีของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงนางคิดจะเร่งรัดหลี่ชิเย่ไปก็คงเปล่าประโยชน์
“ดูท่าเจ้าจะร้อนรนมากนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า “บรรพบุรุษของสำนักแตรสังข์หวนกลับคืนสู่ยุทธภพแล้วนี่ ทั้งเทพธิดาเจินหวู่ก็คืนสู่ยุทธภพเช่นกัน สิ่งนี้นับว่าสร้างความกดดันให้กับเจ้าไม่น้อยเลย เจ้าโอรสสวรรค์ปกสมุทรนั้นมีกำลังแค่ไหนข้าไม่รู้ แต่ว่า หากเขามีเจ้าเต่าหดหัวหอยสังข์คอยคุ้มครอง เกรงว่าหากเจ้าคิดเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลในชาตินี้ดูจะน่าเป็นห่วงอยู่บ้าง”
“ในฐานะเป็นผู้รับการคัดเลือกเทพเจ้าแห่งทะเล การแย่งชิงตำแหน่งเทพเจ้าแห่งทะเลนั้น หากสู้กันตัวต่อตัวข้าใยจะต้องหวั่น” ราชินีเทพเจ็ดสมุทรกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เมื่อถึงเวลาชี้ขาดสุดท้ายจริงๆ ต่อให้เทพธิดาเจินหวู่ท้าสู้กับข้า ข้าก็พร้อมสู้กับนางโดยไม่หวั่น!”
คำพูดของราชินีเทพเจ็ดสมุทรหนักแน่นมีพลัง สายตาของนางมั่นคงยิ่งนัก การที่นางกล่าวคำเช่นนี้ออกมา ใช่ว่านางจะกล่าววาจาสามหาวอวดดี แต่เป็นการเชื่อมั่นในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
“ดีมาก” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่เสียทีที่เป็นทายาทของเทียนสื่อ พูดได้มั่นใจมาก อาศัยที่เจ้าสามารถเชื่อมเจ็ดกระบวนท่าเข้าด้วยกันได้ นับว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะพูดเช่นนี้ได้ ขอเพียงให้เวลาเจ้าอย่างเพียงพอ รอให้เจ้ามีความชำนาญได้ที่แล้วล่ะก็ เป็นความจริงที่เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสู้กับเทพธิดาเจินหวู่สักตั้ง แต่ว่า การช่วงชิงบางครั้งเวลาก็ไม่คอยท่า”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาราชินีเทพเจ็ดสมุทรถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา คำพูดของหลี่ชิเย่มีเหตุผล เป็นความจริงที่นางมีความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มเปี่ยม นางมั่นใจว่าในอนาคตจะต้องมีสักวันต้องได้ต่อสู่กับเทพธิดาเจินหวู่แน่นอน แต่ว่า เวลานี้ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ จะอย่างไรเสีย นางยังขาดความชำนาญความลึกซึ้งอยู่
ราชินีเทพเจ็ดสมุทรก็รู้ตัวดีว่า เมื่อเทียบกับลูกสาวของเทพเจ้าแห่งทะเลแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดที่นางขาดไปก็คือประสบการณ์และความชำนาญที่สู้เขาไม่ได้ เฉกเช่นเทพธิดาเจินหวู่ที่เคยได้รับการยอมรับจากทวนสามง่ามมาก่อน ต่อให้นางมั่นใจว่าในอนาคตนางมีกำลังเพียงพอที่จะสู้กับเทพธิดาเจินหวู่ก็จริง แต่ ในขณะนี้ช่วงความห่างระหว่างกันนั้นยากจะชดเชยได้ภายในระยะเวลาอันสั้นได้
“ดังนั้น เจ้าจึงจำเป็นต้องอาศัยตาเฒ่าบรรพบุรุษเจ็ด ต้องการให้เขาช่วยรับหน้าแทนเจ้าช่วงระยะเวลาหนึ่ง” หลี่ชิเย่ที่กึ่งนั่งกึงนอนอยู่ตรงนั้น ยิ้มกล่าวขณะหลับตาพักผ่อนกายา
ราชินีเทพเจ็ดสมุทรถึงกับนิ่งเงียบ ด้วยสาเหตุนี้เอง บรรพบุรุษเจ็ดของพวกเขาจึงต้องการกลับคืนสู่ยุทธภพเพื่อทำหน้าที่คุ้มครองให้กับนาง!
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “อยากจะเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลหรือไม่?”
“ในอนาคตข้าจะต้องเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลแน่นอน!”
สายตาของราชินีเทพเจ็ดสมุทรมั่นคงและมีพลัง คำพูดที่นางพูดออกมาคล้ายดั่งเป็นการเล่าเรื่องราวที่เป็นความจริงอย่างนั้น
“วิถีแห่งการเป็นเทพเจ้าแห่งทะเลไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก” หลี่ชิเย่ยังคงไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด กล่าวว่า “โอรสสวรรค์ปกสมุทร หรือจักรพรรดิหอยสังข์อะไรนั่น เป็นเพียงพวกที่มีชื่อเสียงจอมปลอมฝูงหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงข้าลงมือให้กับเจ้า ก็สามารถจัดการพวกเขาจนหมดสิ้นได้ทุกเมื่อ”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้ราชินีเทพเจ็ดสมุทรถึงกับงงงัน
………………………..