ตอนที่ 1581 ร้านเหล้าเล็กๆ
หลี่ชิเย่พาข่งเชียะหมิงหวางเข้าไปในเมืองฟงเหวิน รับรู้ถึงกลิ่นอายความโบราณและเรียบง่ายของเมืองฟงเหวินที่โชยมาปะทะกับใบหน้า เขาถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง
กลิ่นอายที่โบราณของเมืองฟงเหวินคล้ายดั่งก่อตัวขึ้นมานานนับพันล้านปีแล้วอย่างนั้น ยามที่สูดลมหายใจลึกๆ กับกลิ่นอายของเมืองฟงเหวินเข้าไปลึกๆ นั้น กลิ่นอายดังกล่าวเหมือนว่าได้นำมาซึ่งกาลเวลาอันยาวไกลนับพันล้านปี ท่ามกลางกลิ่นอายที่โบราณและเรียบง่ายแฝงไว้ซึ่งความสุขและเศร้ารันทดของเมืองโบราณแห่งนี้
“เมืองฟงเหวินน่ะ” หลี่ชิเย่ถึงกับจุปากออกมาเบาๆ พึมพำว่า “รสชาติแบบนี้นับว่ายากจะลืมเลือนจริงๆ”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่หันกลับไปยิ้มนิดหนึ่ง พูดกับข่งเชียะหมิงหวางที่ปลอมตัวเป็นเด็กรับใช้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่? ในเมืองฟงเหวินมีอาหารว่างที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง เรียกได้ว่ากินไม่รู้จักเบื่อ”
“อาหารว่างที่เป็นเอกลักษณ์?” ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้บำเพ็ญตนจะไม่ใช่ประเภทที่ตะกละ โดยเฉพาะผู้ที่ก้าวถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว เรียกได้ว่าสามารถไม่แตะต้องกับอาหารปรุงสุกเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ธัญพืชและพืชรวมอื่นๆ ในโลกมนุษย์ พวกเขาสามารถไม่ทานสิ่งเหล่านี้ได้เป็นหมื่นปี
เวลานี้ จู่ๆ หลี่ชิเย่กลับพูดถึงเรื่องหยุมหยิมของมนุษย์ปุถุชนขึ้นมากะทันหัน ซึ่งสร้างความตกตะลึงให้กับข่งเชียะหมิงหวางเป็นอันมาก
“ไปเถอะ ข้าพาเจ้าไปชิมดู หากให้เจ้าไปหาเองล่ะก็ เจ้ายังหาไม่เจอด้วยซ้ำ” หลี่ชิเย่พูดแล้วหัวเราะออกมา กล่าวจบคำเดินไปยังถนนสายหนึ่งและเดินไปข้างหน้าต่อไป
เดิมเมืองฟงเหวินก็คือเมืองโบราณแห่งหนึ่งอยู่แล้ว ในเมืองฟงเหวินมีประชาชนอาศัยอยู่จำนวนนับล้านคน ซึ่งปรกติก็จะมีความคึกคักเป็นพิเศษ และเดินเบียดเสียดกันอยู่แล้ว
ขณะที่เมืองฟงเหวินในเวลานี้ดูจะคึกคักมากไปกว่าเดิมอีก เมื่อผู้ยิ่งใหญ่จากทุกสารทิศทั่วหล้าต่างทยอยกันมาเพื่อไปอวยพร ณ บ้านตระกูลยวี แม้ว่าการออกจากการกักตนมรณะของยวีไท่จวินไม่ได้ส่งเทียบเชิญผู้คนใต้หล้า แต่ว่า เมื่อข่าวถูกแพร่ออกมาแล้ว ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีระดับทั่วหล้าต่างเดินทางมาอวยพร และต้องการคารวะต่อยวีไท่จวิน
สำหรับคลื่นมนุษย์ที่เดินเบียดเสียดภายในเมืองนั้น ท่าทีของหลี่ชิเย่เหมือนมองไม่เห็น นำพาข่งเชียะหมิงหวางเดินทะลุผ่าไปยังถนนสายแล้วสายเล่า
ข่งเชียะหมิงหวางเคยมาที่เมืองฟงเหวินเช่นกัน แต่ว่า เมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่แล้วนับว่าห่างชั้นกันมากทีเดียว ดูเหมือนหลี่ชิเย่จะคุ้นเคยกับถนนทุกสายที่อยู่ในเมืองฟงเหวินมากเป็นพิเศษอย่างนั้น
ข่งเชียะหมิงหวางติดตามหลี่ชิเย่เดินเลาะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปเรื่อย กระทั่งนางเริ่มรู้สึกเวียนหัว หากยังคงเดินต่อไปในลักษณะเช่นนี้ นางเกือบจะแยกแยะทิศออกตกเหนือใต้ไม่ออกเสียแล้ว และไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ ณ สถานที่แห่งใดของเมืองฟงเหวิน รู้เพียงว่าตัวเองอยู่ในเมืองฟงเหวินเท่านั้น
หลังจากก้าวเดินทะลุผ่านถนนสายแล้วสายเล่าไปแล้ว ในที่สุด หลี่ชิเย่ก็พาข่งเชียะหมิงหวางมาถึงตรอกขนาดยาวตรอกหนึ่ง โดยที่ตรอกนี้มีขนาดยาวและคับแคบ เห็นเพียงแสงรำไร เป็นตนอกที่สงบเงียบมาก มีผู้คนเดินผ่านไปมาน้อย
เหมือนว่าสถานที่แห่งนี้คือแหล่งสลัมของเมืองฟงเหวินอย่างนั้น สิ่งปลูกสร้างบริเวณนี้ดูทรุดโทรมมาก และมีคนอาศัยอยู่น้อยมาก บ้านที่เก่าแก่หลายหลังได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว ผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ส่วนมากจะเป็นคนชรา เด็ก และผู้ป่วยอ่อนแอ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้พาข่งเชียะหมิงหวางมาถึงด้านหน้าร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง ร้านเหล้าขนาดเล็กนี้เล็กมาก ประตูร้านมีขนาดพอให้คนเข้าออกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หน้าร้านแขวนธงผืนหนึ่งเขียนอักษรคำว่า “ฟง” ธงผืนนี้ทั้งเก่าและขาด ตัวอักษรคำว่า “ฟง” ดูเลือนรางจนแทบจะอ่านไม่ออกแล้ว
ร้านเหล้าขนาดเล็กที่เก่าซอมซ่อเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาก็ไม่อยากจะรั้งอยู่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญตนว่ายากจะหยุดแวะอยู่ที่นี่
หลี่ชิเย่มองดูตัวอักษรคำว่า “ฟง” ที่อยู่บนธงผืนนั้น ถึงกับเผยใบหน้าที่ยิ้มจางๆ ก้าวเท้าเข้าไปในร้านเหล้าเล็กๆ
ข่งเชียะหมิงหวางยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่จะต้องพานางไปร้านประเภทร้านโบราณอายุร้อยปีอะไรทำนองนั้นไปทานอาหารว่างที่มีกลิ่นอายของท้องถิ่น ไม่นึกว่าจะพามายังร้านที่เก่าซอมซ่อเช่นนี้
หลังจากเข้าไปภายในร้านแล้ว จึงพบว่าร้านเหล้าร้านนี้มันเล็กจริงๆ ภายในร้านมีโต๊ะขนาดเล็กอยู่สองถึงสามตัวเท่านั้นเอง และมีเก้าอี้อยู่สามถึงห้าตัวที่ถูกวางเอาไว้อย่างนั้น
บริเวณมุมหนึ่งของร้านที่ไม่สะดุดตามีโต๊ะสำหรับเถ้าแก่ร้านที่โค้งงอดั่งไม้บรรทัดโค้งตั้งอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะจุดตะเกียงน้ำมันที่มีแสงสลัวออกมา แลดูไปแล้วแสงจากตะเกียงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย เหมือนว่าเพียงลมพัดมาแผ่วเบาก็สามารถทำให้มันดับลงได้อย่างนั้น
ด้วยแสงสว่างที่มาจากเปลวไฟขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองนี้เอง ทำให้ร้านเหล้าที่มีเพียงแสงสลัวๆ ดูสว่างขึ้นมานิดหนึ่ง มิฉะนั้นล่ะก็ ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้ก็จะดูมืดไปกว่านี้อีก
ด้านหลังโต๊ะเถ้าแก่ร้านมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่ ผู้เฒ่าผู้นี้สวมเสื้อสีเขียวอ่อน ชุดที่เขาสวมใส่ดูเรียบง่ายยิ่งนัก ไม่มีสิ่งประดับใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งเสื้อของเขาไม่รู้ว่าสวมใส่มานานเท่าไรแล้ว ถูกซักล้างจนออกสีขาว สีเขียวบนเสื้อเกือบถูกซักออกไปจนหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าเสื้อที่ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่จะดูเก่ามาก แต่ กลับสะอาดสะอ้านมาก กระทั่งเรียกได้ว่าปราศจากฝุ่นแม้แต่น้อย เหมือนว่าเขาจะเป็นคนขยันซักเสื้อผ้าเหลือเกิน
ท่าทางของผู้เฒ่าผู้นี้ดูมีชีวิตชีวามาก แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยรอยย่น แต่เส้นโครงหน้ากลับดูมีพลังยิ่ง เหมือนว่าเส้นโครงหน้าของเขาเกิดจากการสลักขึ้นมา
ผู้เฒ่าคนนี้ขดตัวอยู่ด้านในโต๊ะเถ้าแก่ร้าน เหมือนว่านอนหลับไปแล้วอย่างนั้น เขาหลับได้สงบมาก เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ข่งเชียะหมิงหวางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี เมื่อได้เห็นร้านเหล้าเล็กๆ ลักษณะเช่นนี้ ขณะที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปภายในร้านนั้น นางยังเข้าใจว่าข้างในจะต้องเป็นเหมือนโลกอีกโลกหนึ่ง เวลานี้ดูไปแล้วนางคิดผิด
เวลานี้ หลี่ชิเย่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะเถ้าแก่ เคาะหน้าโต๊ะเบาๆ กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “มีแขกมาแล้ว”
ผู้เฒ่าที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกให้ตื่น เมื่อได้ยินเสียงเคาะโต๊ะของหลี่ชิเย่ เขาค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างช้าๆ ยามที่ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นของเขาลืมขึ้นมานั้น ถึงกับจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ เหมือนว่าต้องการมองดูหลี่ชิเย่อย่างละเอียดอย่างนั้น ขณะที่ดวงตาพร่ามัวคู่นั้นไม่ว่าจะเบิกกว้างอย่างไรก็ตาม เหมือนว่ายังมองหลี่ชิเย่ได้ไม่ชัดเจน ดังนั้น เขาถึงกับต้องขยี้ตา
“ทำไมรึ หน้าของข้ามีดอกไม้ขึ้นรึ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะกับท่าทางขยี้ตาของผู้เฒ่า ยิ้มกล่าวเอ้อระเหยว่า “หรือว่าข้ารูปงามยิ่งกว่าสาวงามเสียอีก”
ผู้เฒ่าถึงกับนิ่งเงียบนิดหนึ่ง จากนั้น จึงกล่าวด้วยท่าทางที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงว่า “นายท่าน ต้องการสั่งอะไร?”
“เฮ่อ เอาเหล้าเก่ามากาหนึ่ง ถั่วปากอ้าปรุงรสที่หนึ่ง” หลี่ชิเย่สั่งเสร็จแล้วก็หาเก้าอี้นั่งลง
“ได้เลย” ผู้เฒ่าตอบรับด้วยท่าทางมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรง จากนั้นเดินเข้าไปด้านหลังของร้าน และมีเสียงดังเป็นระลอกขึ้นมา
ข่งเชียะหมิงหวางไม่เข้าใจว่าหลี่ชิเย่มาที่นี่เพื่อทำอะไร นางอดพิเคราะห์พิจารณาร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้ไม่ได้
หลี่ชิเย่เอามือตบที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มกล่าวกับข่งเชียะหมิงหวางว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องไปมองแล้ว นั่งลงดื่มเหล้ากันเถอะ”
ข่งเชียะหมิงหวางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่นั่งลงเป็นเพื่อนหลี่ชิเย่อยู่ข้างๆ
หลังจากผ่านไปครู่เดียว ผู้เฒ่าได้ยกเหล้ากาหนึ่งมาวาง พร้อมกับถั่วปากอ้าปรุงรสจานหนึ่งวางบนโต๊ะ กล่าวว่า “เชิญตามสบาย” จากนั้นเดินกลับไปนั่งยังด้านหลังโต๊ะเถ้าแก่ตามเดิม เขานอนคว่ำโดยมีคางเชยอยู่บนโต๊ะ จ้องมองดูหลี่ชิเย่กับข่งเชียะหมิงหวาง ที่ถูกต้องควรจะพูดว่าจ้องมองหลี่ชิเย่มากกว่า
หลี่ชิเย่ไม่ใส่ใจกับการจ้องมองของผู้เฒ่าแม้แต่น้อย เขารินเหล้าถ้วยหนึ่งให้ตัวเอง จากนั้นได้รินให้ข่งเชียะหมิงหวางถ้วยหนึ่ง กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “เหล้าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ดื่มเถอะ” กล่าวพลางเขายกถ้วยเหล้าค่อยๆ จิบอย่างช้าๆ
ข่งเชียะหมิงหวางมองเห็นท่าทางลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้ว เข้าใจว่าเหล้านี้ต้องมีรสชาติที่ดีเลิศ จึงยกถ้วยเหล้าขึ้นมาดื่ม
“เอกก…” พลันที่เหล้าลงคอ ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับชะงัก แทบจะสำลักเหล้าที่อยู่ในคอพ่นออกมา เกรงว่านี่คงเป็นเหล้าที่มีรสชาติแย่ที่สุดที่นางเคยดื่มมาชั่วชีวิต และคงเป็นเหล้าชั้นเลวราคาถูกๆ ที่นางเคยได้ดื่มมาชั่วชีวิตนี้ของนาง
ข่งเชียะหมิงหวางถึงกับประเมินเหล้าชั้นเลวนี้ว่า เกรงว่าคงเป็นเหล้าสำหรับมนุษย์ปุถุชนที่มีฐานะต่ำชั้นยากจนที่สุด เหล้าขวดหนึ่งคงมีค่าไม่ถึงหนึ่งอีแปะเสียด้วยซ้ำ คุณภาพต่ำจนสุดพรรณนา ดื่มยากเสียยิ่งกว่านมม้าเสียอีก
ปัญหาก็คือ หลี่ชิเย่กลับมีท่าทีเหมือนไม่ได้ดื่มยากตรงไหน เขาค่อยๆ จิบอย่างช้าๆ ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนว่านี่คือเหล้าชั้นเลิศที่สุดในปฐพี เหมือนว่าเหล้าเลิศรสนี้ดื่มแล้วสามารถบรรลุเป็นเซียนได้อย่านั้น
ข่งเชียะหมิงหวางไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ได้แต่กลืนเอาเหล้าที่คุณภาพต่ำและดื่มยากที่สุดคำนี้ลงท้องไป นางถึงกับรู้สึกขนหัวลุก หลังจากดื่มเหล้านี้ไปคำหนึ่ง นางจึงไม่ต้องการดื่มมันอีกและวางถ้วยเหล้าลง
หลี่ชิเย่กลับดื่มกินอย่างออกรสออกชาติ หลังจากดื่มไปสักพัก จึงกล่าวกับข่งเชียะหมิงหวางว่า “อยากจะลิ้มลองถั่วปากอ้าปรุงรสสักสองสามเม็ดไหม?”
“เออก…” ข่งเชียะหมิงหวางส่ายหัวเมื่อมองดูถั่วปากอ้าปรุงรสจานนั้น นางรู้สึกหมดอารมณ์อย่างสิ้นเชิง จึงไม่อยากพูดอะไรอีก
หลี่ชิเย่หัวเราะก๊าก โดยไม่ได้ฝืนใจข่งเชียะหมิงหวาง เขาจิบเหล้าไปคำหนึ่งอย่างออกรส จากนั้นหยิบเอาถั่วปากอ้ามากะเทาะให้เปลือกหลุดออกแล้วใส่ปากเคี้ยวกรอบแกรบเพลิดเพลินอารมณ์ยิ่ง เหมือนว่ามันมีรสชาติหอมกรอบเป็นพิเศษอย่างนั้น
หลี่ชิเย่จิบเหล้าไปคำหนึ่งสลับกับถั่วเม็ดหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน เหมือนดั่งนี่คือสิ่งที่มีรสชาติดีที่สุดในหล้าอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้ข่งเชียะหมิงหวางมองดูด้วยความอึ้ง หรือว่านี่ก็คืออาหารว่างที่มีเอกลักษณ์พิเศษที่หลี่ชิเย่พูดถึงอย่างนั้นรึ? ซึ่งทำให้ข่งเชียะหมิงหวางไม่สามารถเข้าใจในตัวของหลี่ชิเย่ได้ หรือว่านี่คือคนโหดอันดับหนึ่งกระมัง ย่อมมีความชอบส่วนตัวที่ไม่เหมือนใคร
หลี่ชิเย่จิบเหล้าไปคำหนึ่งแล้วหยิบถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่งกะเทาะเปลือกออกแล้วโยนเข้าปากเคี้ยวเสียงดังกรอบแกรบ ท่าทางเอ้อระเหยสบายๆ เหมือนเป็นเทวดาที่เจียดเวลามาพักผ่อนสักครึ่งวันอย่างนั้น
ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังดื่มเหล้าแกล้มถั่วปากอ้าอยู่นั้น ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเถ้าแก่ได้จ้องมองหลี่ชิเย่ตลอดเวลา เขาไม่ได้สนจจะมองดูข่งเชียะหมิงหวางแม้แต่แวบบเดียว มองแต่หลี่ชิเย่ เหมือนว่าบนตัวของหลี่ชิเย่มีของอะไรบางอย่างดึงดูดเขาเป็นพิเศษ
ขณะที่หลี่ชิเย่เพลิดเลินอยู่กับการดื่มเหล้าแกล้มถั่ว ไม่ได้มองดูผู้เฒ่าสักครั้งด้วยซ้ำ
ในเวลานี้เอง ปรากฏเสียงดังอึกทึกขึ้นที่ด้านนอก จากนั้นปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเดินเรียงหนึ่งเข้ามาภายในร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้
คนเหล่านี้เข้ามารวดเดียวสิบกว่าคน ทำให้ร้านเหล้าที่มีขนาดเล็กอยู่แล้วแออัดไปด้วยผู้คนจนแน่นร้าน เงาดำทมึนพลันครอบคลุมตัวของหลี่ชิเย่และข่งเชียะหมิงหวางเอาไว้
ข่งเชียะหมิงหวางมองดูผู้ที่เข้ามาแออัดยัดเยียดในร้าน จากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ทำให้รู้สึกตกใจ นี่มันคนของตระกูลยวี
“อาสี่ ไอ้หนูคนนี้แหละ” เวลานี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งชี้หน้าหลี่ชิเย่และร้องกล่าวเสียงดังออกมา