ตอนที่ 1747 เสิ่นเสี่ยวซัน
คำพูดนี้ของเถี่ยซู่องนับว่าพูดออกมาจากใจ อย่าว่าแต่ทั่วทั้งชิงโจวเลย กระทั่งเฉพาะบริเวณห่างไกลติดพรมแดนด้านตะวันตก สำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาก็เป็นเพียงสำนักขนาดเล็กที่ดิ้นรนอย่างยากลำบากในโซนที่ต่ำชั้นเท่านั้นเอง
เฉกเช่นเสิ่นเสี่ยวซัน และเฮ่อเฉินที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่พวกเขาไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งนี้ได้ เสิ่นเสี่ยวซัน และเฮ่อเฉินได้รับการฟูมฟักจากเถี่ยซู่องมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะเสิ่นเสี่ยวซันนั้นเถี่ยซู่องคาดหวังในตัวของนางสูงมาก ดังนั้น จึงทำให้เสิ่นเสี่ยวซันได้รับเงื่อนไขที่ดีมาตลอด ภายในใจย่อมมีความหยิ่งยโสอยู่บ้าง จะว่าอย่างไรนางก็คือองค์หญิงของสำนักต้นไม้เหล็ก
เถี่ยซู่องต่างกับศิษย์ของตนที่รู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีคือความรู้สึกที่เป็นกังวล ในฐานะเจ้าสำนักเขาผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ในใจของเขารับรู้อย่างดีว่า สำนักต้นไม้เหล็กที่เป็นสำนักขนาดเล็กของพวกเขาจะต้องเชื่อมต่อกับตระกูลราชันฉีหลินเท่านั้น
ถ้าหากสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์แม้แต่น้อยล่ะก็ หากวันใดสำนักต้นไม้เหล็กที่ตั้งอยู่ติดชายแดนด้านทิศตะวันตกที่ห่างไกลถูกใครเขาทำลายล้างสำนัก อาจไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ
ยกตัวอย่างแคว้นซีถัวที่สำนักต้นไม้เหล็กพวกเขาขึ้นตรง หากวันใดแคว้นซีถัวต้องการทำลายล้างพวกเขา เรียกได้ว่าอาศัยนิ้วๆ เดียวก็ทำได้แล้ว กระทั่งให้ระดับผู้อาวุโสคนใดสักคนมาก็สามารถเหยียบสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาจนจมดินได้อย่างง่ายดาย
จากการที่เถี่ยซู่องมองเห็นความแข็งแกร่งของแคว้นเจ้าลัทธิ จึงทำให้ภายในใจของเขารู้สึกเป็นกังวลอยู่ลึกๆ
แทนที่สำนักต้นไม้เหล็กต้องพึ่งพาขึ้นกับแคว้นซีถัว สำนักต้นไม้เหล็กอยากจะขึ้นตรงต่อตระกูลราชันฉีหลินมากกว่า สิ่งนี้หาใช่เพราะเหตุผลด้านความแข็งแกร่งของตระกูลราชันฉีหลิน ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลราชันฉีหลินอยู่ห่างไกลจากสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขามากทีเดียว
เมื่อตระกูลราชันฉีหลินอยู่ห่างคนละขอบฟ้า ย่อมไม่มาก้าวก่าย หรือต้องการปกครองสำนักขนาดเล็กดั่งเช่นสำนักต้นไม้เหล็กอยู่แล้ว ต่างจากแคว้นซีถัวที่พวกเขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม สามารถก้าวก่ายกิจการของสำนักต้นไม้เหล็กพวกเขาได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น สำหรับสำนักต้นไม้เหล็กแล้ว หากสามารถเกาะตระกูลราชันฉีหลินได้ล่ะก็ ย่อมทำให้มีเกราะป้องกันสำหรับสำนักต้นไม้เหล็กเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
“วิถีทางทุกข์ยากยิ่งนัก ไม่เพียงหมายถึงวิถีทางการฝึกฝนของผู้บำเพ็ญตนเท่านั้น สำหรับสำนักใดสำนักหนึ่งก็เช่นกัน” หลี่ชิเย่แสดงออกเรียบเฉยมากกับคำพูดของเถี่ยซู่อง
เรื่องราวเช่นนี้ ไม่ว่าจะที่เก้าแดนหรือแดนที่สิบ นับว่ามีมากมายเหลือเกิน
เถี่ยซู่องหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่งและไม่อาจพูดอะไรให้มากไปกว่านี้ จากนั้นถูมือไปมา และกล่าวว่า “ท่านสามารถไขปริศนาของอักขระยันต์โบราณนี้ได้หรือไม่หละ?” กล่าวพลางชี้ไปที่ม้วนผ้าไหมนั้น
“ทำไม เจ้าไม่เชื่อใจข้ารึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว และมองดูเถี่ยซู่องทีหนึ่ง
เถี่ยซู่องรีบโบกมือไปมา และกล่าวว่า “ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ข้าเชื่อว่าท่านมีความรู้เต็มอก เพียงแต่ แหะ แหะ ท่านก็ควรจะรู้ว่า การทดสอบลักษณะเช่นนี้รับสมัครจำนวนจำกัดเสมอ ล้วนแล้วแต่ผ่านการคัดเลือกมาก่อน ข้ามีความสัมพันธ์อยู่บ้าง สามารถให้ท่านได้ไปแสดงฝีมือที่ตระกูลราชันฉีหลิน แต่ว่า หากข้าคิดจะแนะนำท่านก็ต้องมีการแสดงความสามารถแท้จริงให้เบื้องบนได้เห็น มิฉะนั้นล่ะก็ลำพังอาศัยคำพูดของข้าไม่สามารถทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้”
“ทดสอบรึ พวกเจ้าก็แค่คนตาบอดคลำช้างเท่านั้นเอง พวกเจ้าไหนเลยจะรู้ว่าคำตอบคืออะไร” หลี่ชิเย่หัวเราะ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าว่าแต่เจ้า หรือคนที่อยู่เบื้องบนผู้มีสิทธิ์แนะนำใครคนนั้น ต่อให้เป็นตระกูลราชันฉีหลินก็ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่พวกเขากำลังคลำหาคืออะไร เพียงแค่ตีความไปตามที่ได้เห็นเท่านั้น เคล็ดลับที่อยู่ภายในไม่รู้เลยสักนิดเดียว!”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่มองดูเถี่ยซู่องทีหนึ่ง และกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าสามารถได้สิ่งของเช่นนี้มาได้ ก็ควรจะได้รับคำตอบที่ว่ามาแล้วกระมัง ต่อให้ข้าให้คำตอบกับเจ้า และอธิบายตัวอักขระยันต์กับเจ้า เจ้าก็มองไม่เห็นว่ามันมีความลึกซึ้งพิสดารอะไรซ่อนอยู่ภายในอยู่ดี”
ความจริงแล้ว สิ่งที่อักขระยันต์ในนั้นเกี่ยวพันถึงมีความละเอียดลึกซึ้งเหลือเกิน อย่าว่าแต่บุคคลระดับเถี่ยซู่องเหล่านี้เลย ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษเหล่านั้นของตระกูลราชันฉีหลินก็ไม่สามารถไขปริศนาภายในที่ละเอียดลึกซึ้งไม่ได้ มีเพียงระดับจอมราชันหรือเซียนหวางเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงความละเอียดลึกซึ้งในนั้นได้
บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลราชันฉีหลินก็แค่คนตาบอดคลำช้าง ตีความไปตามสิ่งที่ได้เห็นเท่านั้นเอง พวกเขารู้เพียงแค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้นเอง
“เหอะ เหอะ เหอะ ไม่ขอปิดบังท่าน เป็นความจริงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ถึงความละเอียดลึกซึ้ง แต่ คนที่อยู่เบื้องบนย่อมมีมาตรฐานการคัดเลือกอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องบนนั้นคงไม่ปิดกั้นความสามารถของท่าน”
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “เอาเถอะ ช่วยเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน” กล่าวจบจับพู่กันเขียนเป็นบทความที่ปี่ยมด้วยเนื้อหาที่ครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้นมาบทหนึ่ง สิ่งที่เขียนถึงในบทความนั้นละเอียดลึกซึ้ง โดยเฉพาะความหมายและหลักกฎเกณฑ์แห่งสัจธรรม ไม่ใช่สิ่งที่เถี่ยซู่องสามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว
แน่นอน การที่หลี่ชิเย่ตอบตกลงจะไปทดสอบนั้น ไม่ได้เป็นเพราะเถี่ยซู่อง และไม่ได้เป็นเพราะสำนักต้นไม้เหล็ก แต่เป็นเพราะเขารู้สึกสนใจในสิ่งที่ตระกูลราชันฉีหลินได้มา ขณะที่ตระกูลราชันฉีหลินยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตนได้มานั้นคืออะไร ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงมีการทดสอบเช่นนี้ขึ้นมา คาดหวังว่าจะมีผู้ที่รู้ถึงความหมายของอักขระยันต์ในนั้น!
ครั้นหลี่ชิเย่เขียนเสร็จแล้ว เถี่ยซู่องรับมามองดู แน่นอน เขามองไม่รู้ถึงความละเอียดลึกซึ้งในนั้นได้ ในสายตาของเขามองว่าตัวอักษรเหล่านั้นเสมือนดั่งตำราสวรรค์ มีความไม่แน่นอน เขามองดูจนตาลาย ปวดหัวเวียนเกล้า แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เถี่ยซู่องยังคงพับเก็บมันเอาไว้อย่างดี และเก็บเอาไว้กับอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
กล่าวสำหรับเถี่ยซู่องแล้ว ผ้าไหมบางๆ ม้วนนี้ได้แบกรับชะตาของสำนักต้นไม้เหล็กเอาไว้ สำนักต้นไม้เหล็กพวกเขาสามารถเกาะตระกูลราชันฉีหลินได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับผ้าไหม้บางๆ ม้วนนี้แล้วหละ
แน่นอน กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้วทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อย่างไรก็ได้ ใครก็ห้ามในสิ่งที่เขาอยากเห็นไม่ได้
หลี่ชิเย่มองออกไปข้างนอก มองไปที่ท้องฟ้า เงียบขรึมเป็นเวลานาน ภายในใจรู้สึกหนักอึ้ง การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายเป็นหัวข้อสนทนาที่หนักมาก
แม้ว่าราชันเซียนฉวี่เจินได้ก่อเกิดศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายครั้งที่หกขึ้น โดยที่เขาไม่ได้เห็นกับตาตนเอง แต่ว่า เขารู้ถึงผลของสงครามครั้งนี้แล้วว่าเป็นอย่างไร
เวลานี้ ภายในใจของหลี่ชิเย่ถึงกับรู้สึกว่ามันหนักอึ้ง พันล้านปีผ่านไป เขาสามารถลืมสิ้นความเศร้าโศกความเจ็บปวดและยินดี แต่ว่าเวลานี้ในใจของเขายังคงรู้สึกหนักอึ้ง
เถี่ยซู่องเห็นหลี่ชิเย่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา จึงยืนคอยเงียบๆ อยู่ข้างๆ ไม่กล้ารบกวน
หลังจากผ่านไปนานมาก เมื่อหลี่ชิเย่ได้สติกลับมา มองดูเถี่ยซู่องทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเมื่อย อยากชำระล้างร่างกายสักหน่อย”
“ข้าจะให้คนไปตระเตรียมให้ท่านเดี๋ยวนี้” เถี่ยซู่องรีบเร่งกล่าวตอบ
“ให้ศิษย์สาวของเจ้ามาปรนนิบัติข้า” หลี่ชิเย่สั่งการออกไปตามอารมณ์
“เอ่อก” พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ได้ทำให้เถี่ยซู่องตะลึงงันอยู่ตรงนั้น แม้ว่าภายในใจของเถี่ยซู่องจะเคยคิดเช่นนี้ หากว่าหลี่ชิเย่สามารถเข้าไปยังตระกูลราชันฉีหลินได้ เขาคาดหวังจะได้เห็นเสิ่นเสี่ยวซันและหลี่ชิเย่ไปด้วยกัน แต่ เรื่องดังกล่าวออกจะเร็วเกินไปในเวลานี้
“วางใจเถอะ ข้ายังไม่ได้มองความงามของศิษย์เจ้าอยู่ในสายตา ให้นางมาปรนนิบัติข้า นวดหลังให้ข้า” หลี่ชิเย่กล่าวออกไปตามอารมณ์เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเถี่ยซู่อง
“ข้าจะให้นางมาปรนนิบัติท่าน” เมื่อเถี่ยซู่องมองเห็นแววตาที่เย็นชาของหลี่ชิเย่แล้ว รู้สึกสะท้านภายในใจ เวลานี้เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้หลงใหลในอิสตรี
“ว่าไงนะ” เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับร้องเสียงดังขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของเถี่ยซู่อง นัยน์ตาทั้งสองของนางเบิกกว้าง ร้องกล่าวเสียงดังว่า “อาจารย์ ท่าน ท่าน ท่านให้ข้าไปปรนนิบัติเขา?”
“ถูกต้อง” เถี่ยซู่องเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ปรนนิบัติท่านให้ดี อย่าได้ผิดพลาด! สิ่งนี้สำหรับเจ้า สำหรับสำนักต้นไม้เหล็ก ล้วนแล้วแต่เป็นภารกิจที่สำคัญ!”
“อาจารย์ นี่ นี่มันเกินไปแล้ว” เฮ่อเฉินอดที่จะร้องเสียงดังขึ้นมา ศิษย์พี่ของเขาคือสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักต้นไม้เหล็ก เป็นองค์หญิงของสำนักต้นไม้เหล็ก ไม่รู้ว่ามีศิษย์พี่ศิษย์น้องของสำนักต้นไม้เหล็กจำนวนเท่าไรที่รักใคร่ชื่นชมในตัวของศิษย์พี่ เวลานี้กลับให้ศิษย์พี่ไปปรนนิบัติมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เสมือนดั่งขอทานคนหนึ่ง เฮ่อเฉินไม่รู้ว่าอาจารย์ของตนไปต้องมนต์สะกดอะไรเข้า
“อาจารย์ มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนนี้บังอาจมากไปแล้ว ได้คืบเอาศอก!” เฮ่อเฉินอดร้องเสียงดังออกมา
“บังอาจ” เถี่ยซู่องตวาดเสียงเข้ม กล่าวเสียงทุ้มต่ำกว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร! ต่อให้ท่านเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ความฉลาดมองการณ์ไกลและความมุ่งมั่นปรารถนาก็หาใช่พวกเจ้าสามารถเทียบเคียงได้! ต่อให้ท่านเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็เป็นผู้ที่มีสติปัญญาความสามารถเหนือผู้อื่น! การอยู่ในสังคมอย่าได้วัดคนที่หน้าตา มิฉะนั้นล่ะก็ สักวันจะต้องเสียเปรียบ!”
น้อยครั้งนักที่เถี่ยซู่องจะตวาดอย่างเข้มงวดต่อศิษย์ของตน เวลานี้เมื่อเขาแสดงอำนาจออกมาเช่นนี้ ทำให้เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับขนลุกซู่ในใจ
“แต่ว่า อาจารย์ การให้ศิษย์พี่ไป ไป ไปปรนนิบัติเขา มัน มันออกจะเกินไปแล้วกระมัง” สุดท้าย เฮ่อเฉินได้แต่พูดเสียงเอื่อยๆ ออกมาเบาๆ
“เรื่องบางเรื่องใครจะไปรู้ได้เล่า” เถี่ยซู่องเอ่ยขึ้นมาช้าๆ จากนั้นสั่งการต่อเสิ่นเสี่ยวซันว่า “ไปเถอะ อย่าดื้อ เจ้าไม่ได้ทำเพื่อตนเอง บ่าของเจ้ายังแบกรับสำนักต้นไม้เหล็กเอาไว้ เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ สมควรแสดงจิตใจของความเป็นศิษย์พี่ใหญ่ออกมาให้เป็นแบบอย่างกับศิษย์น้อง อย่าใช้แต่อารมณ์”
แม้ว่าในใจของเสิ่นเสี่ยวซันจะไม่ยินยอมอย่างยิ่ง แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งของอาจารย์ ได้แต่พกพาความรู้สึกกลุ้มอกกลุ้มใจชักสีหน้าเดินเข้าไป
ในใจของเฮ่อเฉินไม่พอใจยิ่งนัก ศิษย์พี่ของเขาที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสำนักต้นไม้เหล็ก ถึงกับต้องไปปรนนิบัติมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งที่เสมือนดั่งขอทาน ทำให้เขาแค้นอยู่เต็มอก ถึงกับกระทืบเท่ากับพื้นอย่างแรง
ท่าทีและการแสดงออกของศิษย์ล้วนอยู่ในสายตาของเถี่ยซู่อง เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เฉินเอ๋อร์ เจ้าทำให้อาจารย์ต้องผิดหวังยิ่งนัก!”
“อาจารย์” คำพูดของเถี่ยซู่องสร้างความตกตะลึงให้กับเฮ่อเฉิน การที่อาจารย์พูดเช่นนี้ออกมากะทันหัน เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งนี้มาก่อนเลย
“เจ้ากับศิษย์พี่ของเจ้าต่างก็มีพรสวรรค์ไม่เลวนัก สูงกว่าอาจารย์มาก แต่พวกเจ้ากลับหยิ่งยโสเกินไป คิดว่าตัวเองนั้นสูงส่งกว่าผู้อื่น เย่อหยิ่งถือดี ดูถูกผู้อื่น เป็นข้าเองที่ก่อนหน้านั้นโปรดปรานพวกเจ้ามากเกินไป ไม่ได้อบรมขัดเกลาพวกเจ้าให้ดี ข้าเป็นอาจารย์ที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ เถี่ยซู่องถึงกับทอดอถอนใจและส่ายหน้า
“อาจารย์” ประเด็นคำพูดของเถี่ยซู่องสร้างความตื่นตระหนกให้กับเฮ่อเฉินยิ่งนัก
เถี่ยซู่องถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้าควรจะรู้ว่า สักวันหนึ่ง ภาระอันหนักหน่วยของสำนักต้นไม้เหล็กก็ต้องตกอยู่บนบ่าของพวกเจ้า อย่างไรเสียอาจารย์ก็แก่แล้ว การจะรับผิดชอบสำนักๆ หนึ่ง ใช่ว่าแค่ฝึกยุทธก็เพียงพอแล้ว การที่จะรับผิดชอบต่อสำนักๆ หนึ่ง ต้องอาศัยสติปัญญา ต้องมีแววตาที่มองคนออก มีจิตที่ยอมรับผู้อื่นได้ มิฉะนั้นล่ะก็ สำนักจะต้องถูกเจ้าทำลายในมือพวกเจ้า ซึ่งจะต้องละอายต่อบรรพชนใต้ดิน…”
“เป็นความจริงที่พรสวรรค์พวกเจ้าศิษย์พี่น้องสองคนดีกว่าผู้เป็นอาจารย์มากทีเดียว แต่ว่า พวกเจ้ากลับไม่มีความอดกลั้น ไม่อาศัยแววตาที่เปี่ยมด้วยปัญญาไปพิจารณาผู้คนให้ดี คิดว่าตัวเองแน่ พวกเจ้าไม่ยอมขัดเกลาตนให้ดีๆ ไม่แก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ แล้วจะให้อาจารย์วางใจมอบสำนักต้นไม้เหล็กให้กับพวกเจ้าได้อย่างไร”