ตอนที่ 1750 ไม่มีอะไรแกร่งยิ่งกว่าการจู่โจมเข้าไปในใจ
หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะออกมาตามอารมณ์กับคำพูดของเสิ่นเสี่ยวซัน กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “ผู้หญิงไม่ได้อยู่ที่จำนวนมาก ต้องอยู่ที่นางสามารถเข้าไปอยู่ในใจของเจ้า ขอมีเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วหละ”
“ว้าว พูดคุยโม้เสียใหญ่โต ไหนว่าเจ้าเคยเห็นเรือนร่างของสุดยอดหญิงงามคนไหนมาบ้างหละ” เสิ่นเสี่ยวซันส่งเสียงฮึและกล่าวพร้อมกับรู้สึกไม่สบายภายในใจ
“สุดยอดหญิงงาม ไหนเลยคู่ควรจะกล่าวถึง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวไปตามอารมณ์ว่า “ก็แค่ความงามที่เป็นเปลือกนอกเท่านั้น แค่กายเนื้อเท่านั้น ไหนเลยทำให้ใจข้าหวั่นไหวได้”
เสิ่นเสี่ยวซันถึงกับมองค้อนหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง กล่าวด้วยความสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ได้คุยโตโอ้อวดกระมัง ฮึ ไม่เคยได้เห็นเรือนร่างของผู้หญิงอะไรมาก่อนอยู่แล้ว”
คำพูดแช่นนี้ของเสิ่นเสี่ยวซันทำเอาหลี่ชิเย่เกือบหัวเราะก๊ากออกมา หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มกล่าวว่า “จำเป็นด้วยหรือที่ข้าต้องอวดอ้างตัวเอง?”
“ฮึ ใครจะไปรู้หละ” เสิ่นเสี่ยวซันหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เมื่อครู่ยังคุยโม้เสียใหญ่โตเลยนี่ เวลานี้ข้ากลับจะสงสัยว่า ในเมื่อเจ้าบอกว่าเคยพบสาวงามมานับไม่ถ้วน งั้นดีหละ สาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจวเจ้าเคยพบเห็นมาแล้วหรือไม่? เจ้าเคยเห็นเรือนร่างของสาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจวมาหรือไม่?”
“สาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจวเป็นใครรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ
“ฮึ จับโกหกได้แล้วสิ” เสิ่นเสี่ยวซันจ้องมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “แม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจวยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ยังคุยโม้ว่าเคยเป็นสาวงามมานับไม่ถ้วน ข้าว่าคนที่เจ้าเห็นมาเป็นเพียงหญิงชาวบ้านที่รู้จักแต่แต่งหน้าแต่งตัวเท่านั้น!”
ครั้นนึกถึงหลี่ชิเย่นำเอาตัวนางไปเปรียบเทียบกับหญิงชาวบ้านที่รู้จักแต่แต่งหน้าแต่งตัวเท่านั้น นางก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา นางเองก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าโกรธอะไร
สำหรับคำพูดของเสิ่นเสี่ยวซันนั้นหลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มๆ เท่านั้นเอง และไม่โต้แย้ง
“จริงๆ นะ เจ้าอย่าบอกว่าไม่รู้จักแม้แต่สาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจวกระมัง?” เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันเห็นหลี่ชิเย่ไม่พูดไม่จา จึงจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่และเอ่ยขึ้นมา
“ไม่รู้จัก เป็นใครกัน?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวโดยไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดว่า “ข้าจำเป็นต้องรู้จักนางด้วยหรือ?”
“แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินสาวงามอันดับหนึ่งแห่งชิงโจวก็ไม่รู้จัก ฮึ ยังคุยโตโอ้อวดว่าเคยพบเจอสาวงามมาจำนวนนับไม่ถ้วน ข้าว่าล่ะนะเจ้าน่ะโอ้อวดตัวเอง” เสิ่นเสี่ยวซันยิ้มกล่าวเยาะเย้ย
“ข้าจำเป็นต้องรู้จักรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แค่สาวงามอันดับหนึ่งชิงโจวเท่านั้น ไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งสิบสามทวีป ต่อให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งสิบสามทวีปข้าก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้จัก”
“ว้าว คุยโม้อีกแล้ว” เสิ่นเสี่ยวซันส่งเสียงฮึเย้ยหยันและกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าธิดาราชันฉีหลินเป็นบุคคลระดับใด? นางคือองค์หญิงแห่งตระกูลราชันฉีหลิน เป็นกิ่งทองใบหยก สูงส่งอย่าบอกใครเชียว กระทั่งเคยมีคำเล่าลือว่า นางมีสายเลือดของเซียนหวาง…”
ธิดาราชันฉีหลินคือองค์หญิงของตระกูลราชันฉีหลิน มีสายเลือดที่สูงส่งไร้ผู้เทียบเทียมอยู่ในครอบครอง ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามไม่มีผู้ใดเทียม ชื่อเสียงด้านความงามนั้นขจรไกล มีผู้เลื่องลือในกิตติศัพท์มากมาย
แน่นอนที่สุด สำนักต้นไม้เหล็กอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลิน แม้ว่าเสิ่นเสี่ยวซันไม่เคยได้เห็นหน้าของธิดาราชันฉีหลินมาก่อน แต่ที่นางได้รับรู้เป็นอันดับแรกก็คือ ธิดาราชันฉีหลินคือสาวงามอันดับหนึ่งของชิงโจว
แน่นอน ธิดาราชันฉีหลินที่ว่าจะงดงามเพียงใดนั้น ตัวเสิ่นเสี่ยวซันเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“แค่สายเลือดเซียนหวางเท่านั้นเอง หาใช่เป็นธิดาราชันแท้จริงไม่” หลี่ชิเย่ยิ้มไปตามอารมณ์และกล่าวว่า “แค่องค์หญิงตระกูลขุนนางโบราณคนหนึ่ง หากข้าต้องการให้นางมาร่วมหลับนอนก็แค่พูดคำๆ เดียวเท่านั้น”
“เจ้าบ้าไปแล้วรึ” ขณะที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา เสิ่นเสี่ยวซันไม่ได้หัวเราะเยาะหลี่ชิเย่ และยิ่งไม่ได้พูดไปคนละแนว นางตระหนกตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง รีบเร่งใช้มือป้องปากของหลี่ชิเย่เอาไว้ทันที
คราวนี้ทำเอาเสิ่นเสี่ยวซันตกใจจนใบหน้าขาวซีด ถ้าหากคำพูดนี้แพร่งพรายออกไปแล้วล่ะก็ มันคือการนำมาซึ่งภัยถูกล้างสำนักเลยเชียว!
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?” เสิ่นเสี่ยวซันที่ตกใจจนใบหน้าขาวซีดกล่าวตำหนิด้วยความโกรธว่า “เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกแล้ว แต่สำนักต้นไม้เหล็กไม่ได้เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่! เจ้าต้องการรนหาที่ตายก็ไปตายเอง อย่าทำให้พวกเราต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย!”
ในเวลานี้ เสิ่นเสี่ยวซันกล่าวตำหนิด้วยความโกรธและร้อนรน ซึ่งจะโทษเสิ่นเสี่ยวซันที่กล่าวตำหนิแช่นนี้ก็ไม่ถูก เรียกได้ว่านางถูกทำให้ตกใจจนแทบช็อก
สำนักต้นไม้เหล็กของพวกเขาเป็นเพียงสำนักขนาดเล็กเท่านั้นเอง สำนักเฉกแช่นสำนักต้นไม้เหล็กนี้อย่าว่าแต่ชิงโจวเลย ต่อให้อาณาเขตแว่นแคว้นที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลินก็มีมากดั่งดอกเห็ดนับไม่ถ้วน
ดั่งแช่นสำนักต้นไม้เหล็กที่เป็นเพียงสำนักขนาดเล็กพวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ยิ่งใหญ่แช่นตระกูลราชันฉีหลินแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง กระทั่งแม้แต่ฝุ่นผงยังเป็นไม่ได้
อย่าว่าแต่ธิดาราชันฉีหลิน ต่อให้เป็นศิษย์ระดับธรรมดาคนหนึ่งของตระกูลราชันฉีหลิน สำหรับสำนักต้นไม้เหล็กพวกเขาแล้ว ก็คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงส่งยิ่ง
เวลานี้ หลี่ชิเย่กล่าวคำที่ไม่ให้เกียรติต่อธิดาราชันฉีหลินแช่นนี้ออกมา เมื่อไหร่ที่คำพูดคำนี้ไปเข้าหูตระกูลราชันฉีหลิน ขอเพียงตระกูลราชันฉีหลินพูดออกมาคำเดียว สำนักต้นไม้เหล็กก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป!
ดังนั้น เรื่องนี้จะไม่ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันตกใจจนใบหน้าซีดเผือดได้อย่างไร? นี่มันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
แน่นอน มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่มากเกินเหตุของเสิ่นเสี่ยวซันเท่านั้น สำหรับหลี่ชิเย่แล้วไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เพราะธิดาราชันหรือเทพธิดาอะไรนั่นก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนธรรมดาเท่านั้น
หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองเสิ่นเสี่ยวซันด้วยรอยยิ้มที่อึมครึม หลังจากผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ เสิ่นเสี่ยวซันที่ตกใจจนขวัญหายจึงได้สติกลับมา
“เจ้ากำลังเอาเปรียบข้าแล้วรู้หรือไม่?” ขณะที่เสิ่นเสี่ยวซันกำลังได้สติกลับมา ปรากฏเสียงของหลี่ชิเย่ดังแว่วขึ้นที่ข้างหูของนาง
ได้ยินคำพูดแช่นนี้ เสิ่นเสี่ยวซันตะลึงงัน พริบตาเดียวนี้เองเสิ่นเสี่ยวซันจึงรู้สึกว่าเขาและเธอทั้งสองคนแนบชิดติดกัน ที่ถูกต้องมากไปกว่านั้นคือเสิ่นเสี่ยวซันนอนทับอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่
เวลานี้ทั้งสองคนต่างแช่อยู่ในน้ำ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเสิ่นเสี่ยวซันเปียกปอนไปทั้งตัว เรือนร่างของนางก็วับๆ แวมๆ รูปร่างที่อวบอัด ร่องอกที่กระเพื่อมขึ้นลง พื้นที่ราบเรียบขาวดั่งหิมะ ต้นหญ้าที่ขึ้นอุดมสมบูรณ์…ภาพที่สวยงามต่างๆ เก็บภาพกันไม่หวั่นไม่ไหว
ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือหลี่ชิเย่อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า พวกเขาสองคนต่างแนบชิดติดกัน และร่างของเสิ่นเสี่ยวซันทับอยู่บนตัวของเขา
พริบตาเดียวนั้น เสิ่นเสี่ยวซันที่ได้สติกลับคืนมารู้สึกว่าร่างทั้งร่างของตนกำลังลุกไหม้ขึ้นมา ร้อนผ่าวไปทั่วร่าง มีความผิดปรกติบางอย่างลุกลามขยายไปทั่วร่างอย่างบอกไม่ถูก
“ว้าย” เสิ่นเสี่ยวซันร้องเสียงแหลมออกมา พลันกระโดดตัวลอยจนน้ำในสระแตกกระจาย เวลานี้นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
หลี่ชิเย่กลับเอ้อระเหยไม่สะทกสะท้าน เหมือนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปรกติที่สุด เขาเพียงยิ้มแต้จ้องมองดูเสิ่นเสี่ยวซันเท่านั้นเอง
“มองอะไร” เวลานี้เสิ่นเสี่ยวซันอายจนแทบแทรกแผ่นดิน จึงร้องตวาดออกมา และนั่งยองๆ ลง ให้ร่างกายทั้งร่างจมแช่อยู่ในน้ำ เพื่อป้องกันสิ่งที่ควรปกปิด
เวลานี้ ใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวซันแดงก่ำ รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว นางไม่เคยต้องมาอับอายลักษณะแช่นนี้มาก่อน เวลานี้นางอายจนอยากจะมุดเข้าไปอยู่ในรู
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งกล่าวเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านว่า “ที่ควรเห็นก็เห็นมาหมดแล้ว เจ้าเองไม่ใช่รึก็เห็นข้าจนหมด แค่กายเนื้อเท่านั้นเอง”
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความอับอายและโกรธให้กับเสิ่นเสี่ยวซัน ถึงกับบังเกิดอารมณ์อยากจะอัดผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าให้น่วมไปเลย อยากสั่งสอนให้เข็ดหลาบให้มันรู้แล้วรู้รอดไปได้เปรียบผู้อื่นแล้วยังทำอวดฉลาด
“เอาหละ ข้าไม่ทำให้เจ้าต้องอึดอัด” หลี่ชิเย่ยิ้มพลางส่ายหน้าและหลับตาทั้งสองลงช้าๆ ปล่อยให้ร่างกายจมอยู่ใต้น้ำอุ่น เสพสุขกับการได้แช่อยู่ในน้ำอุ่น
ไม่ง่ายนักกว่าเสิ่นเสี่ยวซันที่อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินค่อยๆ ปรับอารมณ์จนกลับคืนสู่ปรกติ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพื่อไม่ทำให้ตัวเองต้องรู้สึกอึดอัดและอับอายไปกว่านี้ นางชักสีหน้ากล่าวเตือนหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีน่าเกรงขามว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีความรู้ความสามารถแค่ไหน และข้าก็ไม่สนใจว่าเจ้าจะความรู้ประสบการณ์เพียงใด เจ้ามีฐานะสูงส่งในสำนักต้นไม้เหล็กของพวกเราก็ดี สำนักต้นไม้เหล็กมีเรื่องร้องขอต่อเจ้าก็ช่าง แต่เจ้าห้ามพูดพล่ามไร้สาระ…”
“…ยิ่งไปกว่านั้น ห้ามพูดถึงเรื่องธิดาราชันฉีหลิน มิฉะนั้นล่ะก็ หากคำพูดนี้แพร่งพรายถึงตระกูลราชันฉีหลิน ต่อให้เจ้ามีความรู้ความสามารถมากกว่านี้ ตระกูลราชันฉีหลินก็สามารถอาศัยนิ้วมือนิ้วเดียวสังหารเจ้า กล่าวสำหรับ ตระกูลราชันฉีหลินแล้วเจ้านับเป็นอะไร? ต่อให้มีความรู้ความสามารถแล้วไง ต่อให้มีประสบการณ์แล้วไง? หากพวกเขาจะสังหารเจ้ามันก็แค่คำพูดคำเดียวเท่านั้น เจ้าอยู่ที่สำนักต้นไม้เหล็กพวกเรายังพอจะอวดดีได้บ้าง เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลราชันฉีหลิน เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่น้อยนิด!”
กล่าวได้ว่า เวลานี้เสิ่นเสี่ยวซันได้กล่าวเตือนหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีที่เข้มงวดยิ่ง นางไม่ต้องการถูกตระกูลราชันฉีหลินสังหาร ยิ่งไม่ต้องให้สำนักต้นไม้เหล็กถูกตระกูลราชันฉีหลินทำลายล้าง!
“ดูท่าเจ้าก็มีจังหวะที่เก็บงำความหยิ่งยโสเหมือนกันนี่” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย ขณะที่ยังคงหลับตาสองข้างและแช่น้ำอุ่น เป็นการพูดออกมาตามอารมณ์ยิ่ง
“เจ้า” เสิ่นเสี่ยวซันทั้งโมโหทั้งโกรธ เมื่อรู้สึกว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนางเลย
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์โกรธในใจให้สงบลงให้ได้ไม่ง่ายนัก และยังมีท่าทีที่หาได้ยากยิ่ง กระทั่งเรียกได้ว่ามีความอ่อนโยนในที และกล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถนั่นมันเรื่องของเจ้า แต่สำนักต้นไม้เหล็กพวกเราเป็นเพียงสำนักขนาดเล็ก ไม่สามารถต้านกับพายุได้ ดังนั้น ต่อให้เจ้าต้องการพูดคำพูดที่พาลเช่นนี้ ก็หวังว่าจะไม่พูดที่สำนักต้นไม้เหล็ก”
เวลานี้ หลี่ชิเย่ลืมตาทั้งสองข้าง มองดูเสิ่นเสี่ยวซันด้วยความรู้สึกเหนือความคาดคิดอยู่สามส่วน กล่าวเชื่องช้าขึ้นว่า “ท่าทีเช่นนี้สมควรมีได้จริงๆ เทียบกับท่าทีที่หยิ่งยโสก่อนหน้านั้นแล้วดีกว่ากันเยอะเลย การเปลี่ยนแปลงด้านสภาพจิตทำได้ไม่เลวนัก ไม่แน่นักอนาคตอาจมีท่วงทีของอาจารย์เจ้า”
คราวนี้ถึงคราวที่เสิ่นเสี่ยวซันต้องนิ่งเงียบบ้าง ความจริงแล้วนางเองก็หาใช่คนโง่ เพียงแต่ก่อนหน้านั้นเห็นหลี่ชิเย่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ในใจของนางย่อมมีความหยิ่งยโสอยู่บ้าง เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ย่อมอดที่จะมีความรู้สึกที่ว่าตนนั้นเหนือกว่าขึ้นมาบ้าง
หลังจากที่สัมผัสลึกๆ กับหลี่ชิเย่แล้ว รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป และไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ท่าที่ของนางจึงมีการแปรเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว และสภาพของจิตใจก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่มีท่าทีที่เย่อหยิ่งในตอนแรก และไม่มีความรู้สึกว่าตนเองนั้นเหนือกว่า
“เวลานี้ มองดูให้ละเอียดอีกครั้ง ดูจะชวนให้หลงใหลกว่ากันเยอะเลย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“เจ้า” เมื่อเสิ่นเสี่ยวซันได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ทั้งอายทั้งเคือง ไม่ง่ายนักกว่านางจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ใบหน้าของนางแดงก่ำ โดยเฉพาะขณะที่ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ที่พินิจพิเคราะห์บนเรือนร่างของนาง ทำให้นางรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
ภายใต้แววตาของหลี่ชิเย่ ปรากฏความรู้สึกที่ขนลุกซาบซ่านลุกลามไปทั่วร่าง ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนถูกไฟดูดอย่างนั้น หัวใจของนางถึงกับสะท้านทีหนึ่ง เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่บอกไม่ถูกสะท้อนอยู่ภายในใจ นางรู้สึกว่าตัวเองนั้นหมดแรง ยืนได้ไม่มั่นคงนัก
ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เสิ่นเสี่ยวซันที่เวลานี้ใบหน้าแดงก่ำไม่กล้าจ้องมองหลี่ชิเย่ ยิ่งไม่กล้าสู้กับสายตาของหลี่ชิเย่ นางก้มหน้าลง ท่าทีเขินอาย