ตอนที่ 1762 การประจบของเซิ่นเหล่าลิ่ว
ใบหน้าของสือโส่วซีดเผือด เมื่อได้เห็นหวังเสี้ยวเทียน องค์รัชทายาทแคว้นซีถัว ขณะที่เฮ่อเฉินและเสิ่นเสี่ยวซันก็รู้สึกสะท้านในใจ
เมื่อเปรียบเทียบกับหวังยี่หานแล้ว ทักษะยุทธของหวังเสี้ยวเทียนไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไร อย่าว่าแต่พวกสือโส่วสามคนเลย แม้กระทั่งหวังเสี้ยวเทียนต้องการทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็ก ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากอย่างนั้น
เวลานี้ เมื่อสือโส่วถูกหวังเสี้ยวเทียนนำพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาล้อมเอาไว้ จึงปราศจากความมั่นใจขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
สือโส่วอดที่จะหันมองไปที่หลี่ชิเย่ ขณะที่หลี่ชิเย่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีที่เรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ครั้นสือโส่วมองเห็นหลี่ชิเย่ยังคงมีท่าทีที่มั่นใจอย่างนั้น จึงรู้สึกโล่งอกและคลายความกังวลลง ได้แต่ฝืนกล่าวออกไปว่า “องค์รัชทายาทเรื่อง เรื่อง เรื่องนี้มีการเข้าใจผิด มีการเข้าใจผิด”
เวลานี้สือโส่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี การที่ทุบจนใบหน้าของเหลียงยี่หานจนแหลกเละ มันไม่สามารถอาศัยคำว่าเข้าใจผิดมาเป็นข้ออ้างได้อยู่แล้ว แต่ว่า ในขณะนี้สือโส่วก็ไม่มีคำพูดใดสามารถนำมาพูดได้อีก ได้แต่อาศัยอ้างคำว่าเข้าใจผิดออกไป
กล่าวสำหรับสือโส่วแล้ว เวลานี้พวกเขาเหมือนขี่หลังเสืออยู่ สิ่งที่ไม่ควรไปเหย่ก็ทำไปแล้ว แต่หากว่าจะแบ่งสถานะกับหลี่ชิเย่ให้มันชัดเจนในเวลานี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเลย
“เข้าใจผิด เข้าใจผิดงั้นรึ” แววตาของหวังเสี้ยวเทียนพลันเยือกเย็นเผยให้เห็นปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวขึ้นมา แต่ว่าเขาไม่ได้บันดาลโทสะออกมาทันที กล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “ถ้าหากสำนักต้นไม้เหล็กพวกเจ้ายังคิดจะอยู่ต่อไป ตามข้ากลับไปเดี๋ยวนี้ เรื่องนี้จะต้องมีข้อสรุปอยู่แล้ว!” กล่าวพลางเขาไม่เพียงจ้องมองไปที่พวกของสือโส่ว ขณะเดียวกันยังจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่อีกด้วย
เนื่องจากเรื่องที่เกี่ยวกับสำนักต้นไม้เหล็กนั้นเขาได้ข่าวบางอย่างอยู่ในมือ การกระทำทุกอย่างของเถี่ยซู่องเขาก็ได้ข่าวมาบ้างเหมือนกัน รู้ว่าเถี่ยซู่องหวังอาศัยการสอบคัดเลือกของตระกูลราชันฉีหลินมาเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลราชันฉีหลิน ดังนั้น จึงทำให้หวังเสี้ยวเทียนจับจ้องหลี่ชิเย่เอาไว้
“เรื่องนี้” ภายในใจของสือโส่วรู้สึกเย็นวาบ หัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อย ข้าน้อยมีธุระสำคัญติดตัว เกรง เกรงว่าคงไม่สะดวก”
สือโส่วก็ไม่โง่ ถ้าหากเขาตามหวังเสี้ยวเทียนไปล่ะก็ เกรงว่าอย่าหวังจะมีชีวิตรอดกลับมาอีก จะต้องมีข้อสรุปอะไรนั่น มันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ไปจากเมืองฉีหลิน เกรงว่าหวังเสี้ยวเทียนจะต้องสังหารพวกเขาทันที กระทั่งให้พวกเขาตายเสียดีกว่าอยู่ และหรือเป็นไม่พบตัว ตายไม่พบศพ
เหลียงยี่หานเป็นคนสนิทของหวังเสี้ยวเทียน เวลานี้ใบหน้าของเขาถูกทุบจนเละ หวังเสี้ยวเทียนต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน
“ตาเฒ่าสือ เจ้าไตร่ตรองให้รอบคอบ การปองร้ายต่อจวิ้นหวังเป็นโทษมหันต์ สำนักต้นไม้เหล็กพวกเจ้ารับผิดชอบไหวรึ?” หวังเสี้ยวเทียนกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นในเวลานี้
แน่นอนที่สุด หวังเสี้ยวเทียนไม่เพียงต้องการสังหารพวกของสือโส่วเท่านั้น เขายังต้องการทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็ก จัดการถอนรากถอนโคนสำนักต้นไม้เหล็กเสียในคราเดียว
เขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู! แต่ว่า ณ ตอนนี้เขายินดีให้พวกของสือโส่วยังคงมีชีวิตอยู่ เนื่องจากพวกของสือโส่วจะกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่เขานำมาอ้างเพื่อทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็ก
ผู้อาวุโสของสำนักต้นไม้เหล็กปองร้ายจวิ้นหวังของแค้วนซีถัว อาศัยข้ออ้างนี้มันเพียงพอที่จะทำให้แค้วนซีถัวจัดการทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็กได้อย่างสง่าผ่าเผย
ขณะเดียวกัน หวังเสี้ยวเทียนก็มีความกังวล เขาเองก็เป็นคนที่มากด้วยแผนการ ที่นี่คือเมืองฉีหลินหาใช่แค้วนซีถัว เขาเองก็ไม่อยากทำตัวเด่นดังมากเกินไปบนสถานที่แห่งนี้
ถ้าหากว่าเขาจับกุมตัวพวกของสือโส่วกลางเมืองฉีหลิน หรือสังหารพวกเขากลางถนน เกิดเรื่องนี้เข้าไปถึงหูของตระกูลราชันฉีหลิน การก่อเรื่องที่เมืองฉีหลินเป็นการไม่ให้เกียรติกับตระกูลราชันฉีหลิน เกิดตระกูลราชันฉีหลินไม่พอใจขึ้นมาล่ะก็ ต้องการทำลายล้างแค้วนซีถัวเสียก็เป็นเรื่องที่ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปากเช่นกัน
ดังนั้น หวังเสี้ยวเทียนจึงต้องการให้พวกของสือโส่วติดตามเขาไปในลักษณะมีชีวิต เป็นการกระทำที่ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวของเขา
สีหน้าของสือโส่วเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขารู้ว่าหวังเสี้ยวเทียนวางแผนอะไรอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวลานี้เขาจะติดตามหวังเสี้ยวเทียนไปจากที่นี่ไม่ได้อย่างเด็ดขาด หากคิดจะต่อต้านกับแคว้นซีถัว ได้แต่หวังพึ่งการเจรจาของศิษย์พี่กับทางโน้นบรรลุผลแล้ว
แต่ทว่า อันตรายอยู่แค่ตรงหน้านี้เท่านั้น เวลานี้สือโส่วก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังเสี้ยวเทียนอยู่แล้ว ในเวลานี้เขาได้แต่มองไปที่หลี่ชิเย่ หวังว่าหลี่ชิเย่สามารถทำให้รอดพ้นจากภัยอันตรายนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม หลี่ชิเย่ในเวลานี้ กลับอมยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา เพียงมองดูเหตุการณ์ด้วยความสงบยิ่งนัก
ขณะที่พวกของสือโส่วต่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นใดอยู่นั้น พลันภายในตรอกเล็กๆ ตรงมุมโค้งปรากฏเสียงล้อรถที่บดกับถนนดัง “เอี๊ยด เอี๊ยด” ขึ้นมา เวลานี้ปรากฎคนเจ็ดถึงแปดคนที่กำลังเข็นรถเข็นไม้มุ่งมาทางนี้ โดยทั้งเจ็ดแปดคนมาในชุดของพ่อค้าและสมุนรับใช้ทั้งสิ้น
พวกเขาช่วยกันเข็นรถที่บรรทุกสินค้าเต็มคันรถ สินค้าที่กองผะเนินสูงดั่งภูเขาขนาดเล็ก โดยคนทั้งเจ็ดแปดคนได้เข็นรถดังกล่าวมาในลักษณะคดเคี้ยวไปมา
“หลีกไป หลีกไป หลีกไปเร็ว หยุดไม่อยู่แล้ว” เวลานี้หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่เข็นรถรถเข็นร้องเสียงดังขึ้นมา
“ฟิววส์ ฟิววส์ ฟิววส์” รถเข็นนั้นถูกเข็นให้วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลันอย่างกับบินได้ พุ่งเข้าใส่ตรงที่หลี่ชิเย่ยืนอยู่ โดยที่ชายเจ็ดแปดคนเข็นรถไปพลางร้องเอะอะโวยวายไปพลาง
“ฮึ” ยอดฝีมือผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายหวังเสี้ยวเทียนเห็นรถเข็นพุ่งชนเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลันยื่นมือออกไปก็สยบรถเอาไว้ได้
กล่าวสำหรับยอดฝีมือระดับพวกเขาแล้ว แค่รถเข็นเท่านั้นนับเป็นอะไรได้ เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก
จังหวะที่รถเข็นถูกสยบหยุดเอาไว้นั้น ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดแปดคนพลันพุ่งตัวเข้าหายอดฝีมือที่อยู่ข้างกายของหวังเสี้ยวเทียนทั้งหมด
เสียง “ปัง ปัง ปัง” ดังขึ้น พริบตาเดียวกันนี้เอง ยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายหวังเสี้ยวเทียนถูกชายเจ็ดแปดคนนี้สยบกดทับร่างเอาไว้กับพื้นได้ทั้งหมด
“พวกเจ้าเป็นใคร” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หวังเสี้ยวเทียนตกใจยิ่งนัก ร้องเสียงดังออกมาและขยับตัวจะหลบหนีไปจากที่ตรงนี้
“ปัง” หวังเสี้ยวเทียนยังไม่ทันได้หลบหนี พลันถูกสกัดขาจนล้มลง ปรากฎคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินกะทันหัน และลงมือสกัดจนหวังเสี้ยวเทียนล้มลง จากนั้นพลิกตัวขึ้นนั่งทับอยู่บนตัวของหวังเสี้ยวเทียน
หวังเสี้ยวเทียนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ร้องออกมาด้วยความตระหนก “เจ้าเป็นใคร”
“ปู่หกบ้านเจ้า” ผู้ที่นั่งทับร่างของหวังเสี้ยวเทียนยิ้มตาหยี
จากนั้น “ปัง” หวังเสี้ยวเทียนถูกทำให้สลบ เขาพลันรู้สึกหน้ามืด จากนั้นก็ไม่รู้ตัวอีกเลย
บรรดายอดฝีมือที่อยู่ข้างกายของหวังเสี้ยวเทียนก็เช่นกัน “ปัง ปัง ปัง” ทั้งหมดถูกซัดจนสลบ นอนระเกะระกะอยู่บนพื้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน สร้างความงงงันให้กับพวกสือโส่วสามคน ผู้ที่โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินกะทันหันไม่ใช่ใครที่ไหน คือเซิ่นเหล่าลิ่วที่หนีไปก่อนหน้านั้นนั่นเอง
ส่วนชายเจ็ดแปดคนยิ่งไม่ต้องพูดถึง พวกเขาคือศิษย์พรรคอันธพาลนั่นเอง พวกเขาก็สามารถจัดการกับยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายหวังเสี้ยวเทียนให้สลบเหมือดได้ในพริบตาเช่นกัน
ภาพที่เห็นทำให้พวกของสือโส่วถึงกับอ้าปากค้าง เป็นที่ทราบว่าทักษะยุทธของหวังเสี้ยวเทียนนั้นสูงมาก อาศัยกำลังความสามารถของเขาสามารถทำลายล้างสำนักต้นไม้เหล็กได้อย่างง่ายดาย เวลานี้แค่สองสามกระบวนท่าก็ถูกเซิ่นเหล่าลิ่วจัดการจนสลบ ย่อมสามารถประเมินถึงความแข็งแกร่งของเซิ่นเหล่าลิ่วได้แล้ว
ก่อนหน้านั้น เฉ่อเฉินยังเยาะเย้ยเซิ่นเหล่าลิ่วว่าใจเสาะ แค่คำพูดคำสองคำก็กลัวจนวิ่งหนี ก่อนหน้านั้นยังเข้าใจว่าเซิ่นเหล่าลิ่วเป็นอันธพาลที่ทักษะยุทธไม่แข็งแกร่ง เวลานี้ดูท่าความแข็งแกร่งของเซิ่นเหล่าลิ่วเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาต้องหวาดกลัวจนขนลุก
“ลากออกไป อย่าให้ต้องแปดเปื้อนสายตาของท่าน” เซิ่นเหล่าลิ่วสังการกับชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนนั่น
ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดแปดคนจัดการลากเอาตัวพวกหวังเสี้ยวเทียนไปอย่างคล่องแคล่ว พวกเขาลากเอาพวกของหวังเสี้ยวเทียนไปถึงมุมที่เป็นทางแยกก็จัดการถอดเสื้อผ้าของพวกหวังเสี้ยวเทียนจนเปลือยเปล่า และปล้นเอาทรัพย์สินเงินทองทุกอย่างไปจนสิ้น
เสิ่นเสี่ยวซันที่มองเห็นภาพนี้จากระยะไกลพลันต้องหน้าแดงและหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ไม่ไปดูภาพเช่นนี้ต่อไป
“เหอะ เหอะ เหอะ พวกตัวก่อกวนกระจอกไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงในสายตาของท่าน เพื่อไม่ให้แปดเปื้อนมือของท่าน ข้าน้อยจึงยินดีรับใช้จัดการไล่พวกแมลงวันเหล่านี้ไป” เวลานี้เซิ่นเหล่าลิ่งเห็นหลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงอาการโกรธออกมา จึงใจกล้าเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
เซิ่นเหล่าลิ่วแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ทั้งคำนับ ทั้งคารวะแบบจีน กระทั่งให้โขกศีรษะเขาก็ยอม
แม้ว่าเซิ่นเหล่าลิ่วจะไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ แต่เขาเข้าใจว่าตัวเองได้พบเจอยักษ์ใหญ่เข้าให้แล้ว อีกทั้งยักษ์ใหญ่เช่นนี้หาใช่ผู้ดำรงอยู่ในสถานะของบรรพบุรุษที่ออกจากปากของผู้บำเพ็ญตนทั่วไป
ยักษ์ใหญ่ที่เซิ่นเหล่าลิ่วพบเจอนั้นเป็นประเภทที่ยึดครองอยู่บนท้องฟ้า กางมือออกพลันสามารถคลุมสิบสามทวีปเอาไว้ได้ทั้งหมด เป็นยักษ์ใหญ่ที่ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนต้องแหงนมอง
ด้วยเหตุนี้เอง ก่อนหน้านั้นเซิ่นเหล่าลิ่วจึงตกใจแทบช็อก ดังนั้น จึงต้องหันหลังวิ่งหนีไปทันที
แต่ว่า หลังจากที่เซิ่นเหล่าลิ่วหนีไปแล้วมานั่งไตร่ตรองอย่างละเอียด ถ้าหากยักษ์ใหญ่เช่นนี้ต้องการลงมือสังหารตน ต่อให้เขามีสิบชีวิต ไม่ ต่อให้มีร้อยชีวิตก็ไม่พอ ดังนั้น การที่ตัวเองสามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นการบ่งบอกว่าฝ่ายตรงขามไม่ได้มีความคิดที่จะสังหารเขา
เซิ่นเหล่าลิ่วเป็นคนที่เย็นชาและมีแผนการในใจมากมาย เขาเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง ดังนั้น หลังจากที่เขาคิดอย่างละเอียดแล้ว การที่เขาล่วงเกินต่อยักษ์ใหญ่เช่นนี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่คิดจะสังหารตน ย่อมบ่งชี้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงรู้จักกับบรรพบุรุษของเขาเท่านั้น ไม่แน่นักอาจจะเป็นสหายเก่าก็เป็นได้
ดังนั้น เซิ่นเหล่าลิ่วที่เย็นชาและมีแผนการในใจมากมายจึงได้ย้อนกลับมา จัดการกับหวังเสี้ยวเทียนเสีย เพื่อประจบหลี่ชิเย่เอาไว้
“เจ้านี่ฉลาดมากนี่” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะ เมื่อเห็นเซิ่นเหล่าลิ่วที่ทั้งคำนับทั้งโขกศีรษะ
“เหอะ เหอะ เหอะ ข้าน้อยโง่เขลา ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ดังนั้นจึงได้ล่วงเกินท่านเข้า” เซิ่นเหล่าลิ่วรอยยิ้มเต็มใบหน้า ต้องการประจบหลี่ชิเย่อย่างหน้าด้านๆ ท่าเดียว
หลี่ชิเย่ถึงกับส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “เสียดายพรสวรรค์ที่เจ้ามี ไม่ยอมฝึกยุทธให้ดี กลับทำแต่เรื่องตลกก่อความวุ่นวายไปทั่ว”
เมื่อเซิ่นเหล่าลิ่วถูกหลี่ชิเย่พูดว่ากล่าวเช่นนี้แล้ว ถึงกับหัวเราะแห้งๆ เดิมทีเขามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว และมีสายเลือดที่สุดยอดมาก ทั้งชาติกำเนิดก็น่าตกใจ แต่เขากลับไม่ตั้งใจฝึกให้เป็นเรื่องเป็นราว หรือเรียกว่ากลายเป็นดาวรุ่งที่ผู้คนเคารพเลื่อมใส
เขาหลบหนีออกจากสำนัก มั่วสุมอยู่กับพวกสำนักต่างๆ ก่อเรื่องต้มตุ๋นหลอกลวง ใช่ว่าเขาจะเป็นคนไม่ดี เพียงแต่เขาชื่นชอบกับการใช้ชีวิตอยู่กับโลกโลกีย์ของมนุษย์ปุถุชนเท่านั้น
“ไปได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “อนาคตหากมีโอกาสได้พบกับฉวี่กง ข้าจะช่วยพูดให้เจ้าก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่าน” เซิ่นเหล่าลิ่วถึงกับร่างสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขารู้ดีว่ารางวัลเช่นนี้คนอื่นไม่สามารถได้มันมาชั่วชีวิต”
“ต่อไป หากท่านมีอะไรให้ผู้น้อยรับใช้ ขอเพียงสั่งการคำหนึ่ง” เซิ่นเหล่าลิ่วกล่าวพร้อมกับโขกศีรษะ
“เจ้านับเป็นคนฉลาดมาก” หลี่ชิเย่ยิ้มส่ายหน้าและกล่าวว่า “ต่อไปหากมีอะไรที่ใช้เจ้าได้ ก็จะสั่งการอีกที”