ตอนที่ 1789 หนึ่งเกาทัณฑ์สังหารหนึ่งเทพ
หลังจากที่ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนขึ้นมาอยู่ในแดนที่สิบแล้ว เขาได้กลับมาฝึกเคล็ดวิชาเกาทัณฑ์อีกครั้ง เนื่องจากเขาชื่นชอบในเคล็ดวิชาเกาทัณฑ์เป็นอันมาก กล่าวสำหรับเขาแล้ว เคล็ดวิชาเกาทัณฑ์เป็นสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนาภายในใจของเขาเสมอมา
เพียงแต่ในขั้นตอนระหว่างการบรรลุเป็นราชันเซียนนั้น ด้วยเหตุผลต่างนานา ทำให้เขาละทิ้งการอาศัยวิชาเกาทัณฑ์มาสืบทอดชะตาฟ้าเท่านั้นเอง
ขณะที่อยู่ในแดนสิบนั้นราชันเซียนตี้อิเจี้ยนได้หวนกลับมาเริ่มต้นฝึกวิชาเกาทัณฑ์ใหม่ เขาฝึกอย่างหนักมายุคแล้วยุคเล่า สุดท้าย จึงทำให้วิชาเกาทัณฑ์ของเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
ขณะที่เขาได้อาศัยเกาทัณฑ์เพียงดอกเดียว จากท้องฟ้าที่พราวพร่างด้วยดวงดาวซึ่งห่างไกลถึงหนึ่งล้านล้านลี้ ยิงไปสังหารเทพกำแหงนั้น นับว่าไม่เสียทีสมญาราชันเซียนตี้อิเจี้ยน เขาคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้าอย่างแท้จริง ในด้านวิชาเกาทัณฑ์นั้น เขาเป็นผู้ยืนอยู่เหนือสุดยอดที่ไม่มีใครก้าวล้ำเขาได้
แม้ว่าราชันเซียนตี้อิเจี้ยนอาศัยเกาทัณฑ์เพียงดอกเดียวยิงสังหารเทพกำแหงไปได้ แต่จากการที่เขาผงาดปรากฎตัวออกมาเช่นนี้ได้นำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ ต่อให้ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนมีวิชาเกาทัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมปานใดก็ตาม แต่ว่า ยังคงไม่สามารถยืนหยัดรับมือภายใต้สวรรค์ลงทัณฑ์ได้ ท้ายที่สุด เขาก็ต้องตายอนาถภายใต้สวรรค์ลงทัณฑ์จนได้
จากการที่ราชันเซียนตี้อิเจี้ยนต้องตายอนาถ เทพกำแหงถูกยิงสังหาร ขณะที่พื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าผืนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ที่เงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ ทั้งสิ้นนับแต่นั้นมา และกลายเป็นพื้นที่มรณะ
พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต่างรู้สึกหวั่นไหวสุดเปรียบเปรย เมื่อได้ฟังนิทานที่หลี่ชิเย่เล่าเจื้อยแจ้วออกมา ราชันเซียนองค์หนึ่งที่อยู่ห่างไกลถึงหนึ่งล้านล้านลี้ อาศัยเกาทัณฑ์เพียงดอกหนึ่งยิงสังหารจอมเทพ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสะเทือนหวั่นไหวเพียงใด
แม้ว่าพวกเขาไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้ที่สะเทือนหวั่นไหวตลอดกาล แต่ว่าพวกเขาสามารถจินตนาการได้ สามารถจินตนาการได้ว่าภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นมันสะเทือนหวั่นไหวเช่นใด เกรงว่าคงสะเทือนหวั่นไหวไปทั่วทั้งสิบสามทวีป กระทั่งมีความเป็นไปได้ที่สะเทือนหวั่นไหวถึงบรรดาจอมราชันและเซียนหวังที่ปลีกตัวออกจากโลกภายนอกทั้งหมด!
“จอมเทพที่มีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงนะเนี่ย” หลังจากผ่านไปนานมาก เมื่อเถี่ยซู่องได้สติกลับมาถึงกับตระหนกจนหน้าถอดสี และพึมพำออกมา
แม้ว่าเทพกำแหงจะไม่ใช่ระดับเทพโบราณ แต่ว่าเขาหาใช่จอมเทพธรรมดา เขาคือจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์ถึงสิบเอ็ดดวง กล่าวได้ว่า จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงเท่ากับได้ยืนอยู่จุดสูงสุดของจอมเทพแล้ว
แต่ทว่า แม้ว่าเทพกำแหงจะมีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง แต่ในที่สุดยังคงถูกราชันเซียนตี้อิเจี้ยนที่ยืนอยู่ห่างไกลถึงหนึ่งล้านล้านลี้ยิงสังหารด้วยเกาทัณฑ์เพียงดอกเดียวเท่านั้น ช่างเป็นเกาทัณฑ์หนึ่งดอกที่น่ากลัวเพียงใด เป็นเกาทัณฑ์หนึ่งดอกที่ปราศจากผู้ต่อกร ความน่ากลัวของเกาทัณฑ์ดอกนี้เรียกได้ว่าสร้างความสะเทือนในอดีตจนถึงปัจจุบัน
“ถูกต้อง เกาทัณฑ์ดอกนี้เรียกได้ว่าสะเทือนอดีตถึงปัจจุบันได้โดยแท้จริง ยุคหลังนี้เกรงว่าคงยากจะมีใครสามารถยิงเกาทัณฑ์ที่ปราศจากผู้ต่อกรตลอดกาลเช่นนี้ได้อีกแล้ว” หลี่ชิเย่รู้ว่าพวกของเถี่ยซู่องกำลังคิดอะไรอยู่ พยักหน้าและกล่าวขึ้นมา
“หนึ่งเกาทัณฑ์สังหารจอมเทพ” พวกเสิ่นเสี่ยวซันที่เป็นระดับผู้เยาว์ยิ่งไม่สามารถจินตนาการได้อยู่แล้ว ในใจของพวกเขาจอมเทพอยู่ในฐานะที่สูงส่งมาก เป็นผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า แต่ท้ายที่สุดยังคงถูกราชันเซียนตี้อิเจี้ยนยิงจนเสียชีวิต
ซึ่งสามารถจินตนาการได้ว่า ราชันเซียนที่มาจากเก้าแดนนั้นมีความแข็งแกร่งเช่นใด มีความน่ากลัวอย่างใด แต่ เมื่อนึกดูให้ละเอียดรอบคอบแล้ว ที่น่ากลัวที่สุดหาใช่เทพโบราณ และไม่ใช่ราชันเซียน แต่เป็นสวรรค์ลงทัณฑ์!
“เอาหละ พวกเราเดินดูต่อไปเรื่อยๆ เถอะ” ขณะที่พวกของเสิ่นเสี่ยวซันกำลังงงงันอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้พูดขึ้นและเดินหน้าต่อไป เมื่อพวกของเสิ่นเสี่ยวซันได้สติกลับมาแล้วจึงรีบตามขึ้นไปให้ทัน
ขณะที่พวกของเสิ่นเสี่ยวซันติดตามหลี่ชิเย่เดินอยู่ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงอยู่นั้น พวกเขาพบว่ามีหมอกควันจางๆ ล้อมรอบตัวของพวกเขาอยู่ เป็นหมอกควันสีดำที่ไม่จางหายแลดูคล้ายดั่งหมอกควันมารอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกซู่ในใจ
ที่ทำให้พวกของเสิ่นเสี่ยวซันต้องรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นในใจก็คือ ขณะที่หมอกควันก้อนนี้ที่ล้อมรอบอยู่ข้างกายและไปเกาะอยู่บนผิวหนังของพวกเขา ทำให้รู้สึกเจ็บเหมือนมีอะไรมาทิ่งแทง กระทั่งบังเกิดเสียงดัง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ขึ้นมา และเนื้อหนังเริ่มเกิดการเหี่ยวแห้งขึ้นมา
สิ่งนี้ได้สร้างความตระหนกให้กับพวกของเสิ่นเสี่ยวซันรีบเร่งขับเคลื่อนเคล็ดวิชา และกลิ่นอายขมุกขมัวมาคุ้มกาย เสริมด้วยพลังลมปราณ เพื่อต่อต้านการกัดกร่อนของหมอกควันสีดำ
“นี่คืออะไร?” สีหน้าของเสิ่นเสี่ยวซันแปรเปลี่ยนไป ดูจะให้ความระวังต่อหมอกดำลักษณะเช่นนี้
“เป็นคำสาปรึ?” เฮ่อเฉินเองก๊อกสั่นขวัญแขวนเช่นกัน จะอย่างไรเสียที่ตรงนี้เคยมีจอมเทพกลืนฟ้ากลืนดินอยู่ที่ตรงนี้ ทำให้สถานที่ตรงนี้กลายเป็นที่ร้าง กลายเป็นที่ที่เงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ การเดินเหินอยู่ในสถานที่เช่นนี้แล้วบอกว่าไม่รู้สึกกังวลคือเรื่องโกหกทั้งสิ้น
“คำสาปจากที่ไหนกัน” หลี่ชิเย่ส่ายหน้า ยิ้มและกล่าวว่า “นี่คือกลิ่นอายการฆ่าฟันของราชันเซียนตี้อิเจี้ยนกับความเคียดแค้นของเทพกำแหง เพียงแต่พันล้านปีที่ผ่านไป มันได้หลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว ดังนั้น การก้าวเดินอยู่ในพื้นที่แห่งนี้จึงต้องถูกกัดกร่อนจากสิ่งนี้”
พวกของเสิ่นเสี่ยวซันยิ่งรู้สึกกลัวด้วยความหวาดระแวง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ กลิ่นอายการสังหารของราชันเซียนตี้อิเจี้ยนช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรปานนั้น แม้จะเป็นเพียงกลิ่นอายสังหารก็เพียงพอที่จะทำลายสำนักได้สำนักหนึ่ง ส่วนความอาฆาตเคียดแค้นของเทพกำแหงก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งเช่นกัน ความสิ้นหวังและความไม่เต็มใจก่อนที่เทพกำแหงจะตาย ความอาฆาตเคียดแค้นสายนี้ย่อมสามารถสั่นคลอนต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินได้อย่างปแน่นอน
“วางใจเถอะ ตรงนี้แค่ริมขอบเท่านั้นเอง อีกอย่างมันได้ผ่านการชำระล้างด้วยกาลเวลาที่เนิ่นนานมาก พลังอำนาจของหมอกดำกลุ่มนี้มีความอ่อนแอลงมากแล้ว ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าน้อยมาก เว้นแต่พวกเจ้าคิดจะเข้าไปส่วนที่ลึกกว่านี้” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มกล่าวสำหรับความรู้สึกกังวลใจของพวกเสิ่นเสี่ยวซัน
พวกของเสิ่นเสี่ยวซันจึงได้โล่งอกไปเปราะหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ แม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญตน กระทั่งเถี่ยซู่องยังก้าวไปถึงระดับราชาสัจธรรม แต่ว่า หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดากลับมีฐานะที่สูงส่งภายในใจของพวกเขา ในสายตาของพวกเขามองว่าไม่มีอะไรที่หลี่ชิเย่ทำไม่ได้ ไม่มีอะไรทีหลี่ชิเย่ไม่รู้
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง หมอกดำกลับส่งผลกระทบน้อยกว่าพวกของเสิ่นเสี่ยวซันมากทีเดียว ขณะเดินอยู่ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหง
แม้ว่าหลี่ชิเย่ในขณะนี้คือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่ทว่าจะอย่างไรก็ตามก็เคยเป็นราชันเซียนองค์หนึ่งมาก่อน เคยเป็นร่างที่เป็นสี่ยอดกายเซียนขั้นสมบูรณ์ซึ่งปราศจากผู้ใดเทียมในหล้า ดังนั้น ต่อให้เป็นร่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่สร้างขึ้นใหม่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าพวกของเถี่ยซู่อง
ขณะที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินอยู่บนแดนอาถรรพ์เทพกำแหง เหลียวมองไปรอบๆ ทั้งยังหยุดก้มตัวลงหยิบคว้าเอาดินขึ้นมา ทั้งที่แดนอาถรรพ์แห่งนี้ได้กลายเป็นที่ทิ้งร้างไปแล้ว แต่หลังจากที่หลี่ชิเย่หยิบฉวยเอาดินที่ไหม้เกรียมขึ้นมาแล้วยังคงทำการรับรู้มันอย่างตั้งใจเป็นระยะๆ สูดดมกลิ่นอายของดินบริเวณนี้
“ท่านกำลังสำรวจสิ่งใดอยู่รึ?”ครั้นเถี่ยซู่องมองเห็นหลี่ชิเย่ดมกลิ่นดินไหม้เกรียมที่ตรงนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่า การที่หลี่ชิเย่ดั้นร้นเดินทางไกลนับพันลี้มาที่นี่คงไม่เพียงแค่เนดูเฉยๆ เท่านั้น และไม่เพียงแค่ต้องการพาพวกเขามาเพิ่มพูนประสบการณ์เท่านั้น
“พื้นดินแห่งนี้เคยแปดเปื้อนเลือดของเทพกำแหงมาก่อน ถ้าหากเจ้าต้องการเข้าใจถึงสภาพของผืนดินแห่งนี้ล่ะก็ เจ้าก็ลองสูดดมกลิ่นคาวเลือดของดินบริเวณนี้ดู” หลี่ชิเย่ ยิ้มกล่าวเฉยเมย
เฮ่อเฉินที่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง จึงหยิบดินไหม้เกรียมขึ้นมากำหนึ่งแล้วดมดู แต่กลับไม่สามารถได้กลิ่นคาวเลือดอะไรเลย
ความจริงแล้วใช่จะมีเพียงพวกของหลี่ชิเย่ที่เดินทางมาที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหง ในขณะที่พวกของหลี่ชิเย่มาถึงแดนอาถรรพ์เทพกำแหงนั้น มีผู้คนจำนวนไม่น้อยได้มาถึงแดนอาถรรพ์เทพกำแหงอยู่ก่อนแล้ว
เนื่องจากเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอย่างกะทันหัน จึงนำมาซึ่งยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อย ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนี้ยังมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นเจ้าถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่ง เนื่องจากทุกคนต่างรู้ดีว่า ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเคยมีจอมเทพผู้หนึ่งตายอนาถอยู่ตรงนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่าแดนอาถรรพ์เทพกำแหงแห่งนี้ไม่ธรรมดา
ความจริงแล้ว ใช่จะง่ายดายเหมือนดั่งที่ทุกคนคาดเดา หลังจากที่เทพกำแหงถูกสังหารแล้วนั้น ศพของเขาได้หายไป มีผู้กล่าวว่า ศพของเทพกำแหงถูกคนอื่นลักเอาไป แต่ก็มีผู้ที่กล่าวว่าศพของเทพกำแหงกลายเป็นเถ้าธุลีไปจากการสังหารด้วยเกาทัณฑ์ของราชันเซียนตี้อิเจี้ยน ยังมีคำกล่าวจากผู้คนมากมายว่าศพของเทพกำแหงได้หลอมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับผืนแผ่นดินอาถรรพ์แห่งนี้ โดยหลอมรวมลึกลงไปใต้พื้นดินโดยสิ้นเชิง
ลองนึกภาพดู เป็นถึงจอมเทพผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นจอมเทพที่มีตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง เลือดความเป็นเทพของเขานั้นล้ำค่าเพียงใด ศพความเป็นเทพของเขาประเมินค่าไม่ได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมบัติต่างๆ ที่อยู่บนตัวของเขา
ดังนั้น ในยุคหลังจึงมีผู้คนที่แวะเวียนมายังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง หวังจะได้อะไรมากมายจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหง แต่ทว่าล้วนแล้วแต่กลับบ้านมือเปล่า มาคราวนี้แดนอาถรรพ์เทพกำแหงพลันปรากฎเหตุการณ์ประหลาดขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นจึงทำให้แคว้นเจ้าลัทธิต่างๆ โดยรอบจำนวนมากต่างส่งยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนมาตรวจสอบที่ตรงนี้
ขณะที่ผู้คนจำนวนมากกำลังเดินอยู่ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงนั้น ปรากฎชายหนุ่มผู้หนึ่งเป็นที่สะดุดตาผู้คนยิ่งนัก เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้นอกจากจะมีพลังลมปราณที่แข็งแกร่งแล้ว ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น
จังหวะที่ชายหนุ่มผู้นี้มองไปรอบๆ เหมือนมีกลิ่นอายเทพอยู่สายหนึ่ง โดยเฉพาะขณะที่เขาจงใจปล่อยพลังลมปราณออกมานั้น พลังลมปราณส่งเสียงดังตูมตาม เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเทศนาธรรมอย่างนั้น
“หลี่เทียนเหา…” มีคนที่เห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้วจดจำตัวเขาได้ ถึงกับส่งเสียงร้องออกมา
ชายหนุ่มผู้นั้นส่งสายตาจ้องมองไปตามเสียงทันที แววตาดั่งกระบี่เทวะมีความรุนแรงยิ่งนัก ทำเอาผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ตกใจจนร่างสั่นเทิ้ม และก้มหน้าก้มตาลงทันที
หลังจากที่ชายหนุ่มที่ชื่อหลี่เทียนเหาได้พายอดฝีมือข้างกายเดินจากไปแล้ว คนอื่นๆ จึงได้ทยอยกันโล่งอกขึ้นมา
“เจ้านี่เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสิ ถึงกับเรียกชื่อของเขาออกมาตรงๆ เขาเป็นหลานชายของจอมเทพเลยนะ หยิ่งยโสยิ่ง เจ้าเรียกชื่อของเขาออกมาตรงๆ เป็นการไม่ให้เกียรติเขา แค่เขาสั่งการออกมาคำหนึ่ง เกรงว่ายอดฝีมือของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางคงเด็ดหัวของเจ้าออกมาทันทีแล้ว” สหายที่อยู่ข้างๆ กล่าวกับผู้บำเพ็ญตนผู้นั้น
หลี่เทียนเหาก็คือชายหนุ่มคนเมื่อครู่นี้เอง เขาเป็นนายน้อยของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง ขณะที่ตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางคือหนึ่งในตระกูลขุนนางโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลิน ตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางเคยให้กำเนิดจอมเทพอยู่องค์หนึ่ง เคยมากด้วยอำนาจไปทั่ว
จอมเพทผู้นี้ก็คือปู่ของชายหนุ่มผู้นี้นั่นเอง จากการที่มีจอมเทพอยู่เบื้องหลังนั่นเอง ทำให้ตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางมีฐานะที่ไม่ธรรมดาในผืนแผ่นดินแห่งนี้ และตระกูลราชันฉีหลินก็ให้ความสำคัญต่อตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางอย่างยิ่ง
“โชคยังดี หัวยังอยู่” ผู้บำเพ็ญตนที่เรียกชื่อหลี่เทียนเหาออกมาตรงๆ ถึงกับทำคอหด ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง รู้สึกเหงื่อเย็นที่ไหลท่วมตัว
หลี่เทียนเหานำพายอดฝีมือของตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางมาที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงหวังจะได้พานพบวาสนาอัศจรรย์ ต้องการรู้ว่าสามารถจะได้สมบัติวิเศษอะไรจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหงหรือไม่
พวกของหลี่เทียนเหาเพิ่งเข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหงได้ไม่นานก็พบกับพวกของหลี่ชิเย่ แน่นอน หลี่เทียนเหาไม่มีความแค้นอะไรกับหลี่ชิเย่
“เป็นพกเจ้าอีกแล้ว…” เมื่อทั้งสองฝ่ายมาเจอะเจอกัน ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายหลี่เทียนเหาพลันร้องเสียงดังขึ้นมา สีหน้าดูปั้นยากยิ่งนัก
ชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่เทียนเหาหาใช่ใครอื่นไกล เขาคือหวังเซี่ยวเทียนรัชทายาทของแคว้นซีถัวนั่นเอง
“เจ้าหนู พวกเราพบหน้ากันอีกแล้ว เรียกว่าโลกนี้ช่างกลมเหลือเกิน!” หน้าตาของรัชทายาทซีถัวดูไม่จืดถึงขีดสุดเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่และเสิ่นเสี่ยวซันกับพวก หน้าตาบูดเบี้ยวดวงตาทั้งสองแทบจะพ่นเป็นเพลิงโกรธออกมา