ตอนที่ 1794 เสิ่นจินหลง
หลี่ชิเย่มองดูหมอกควันสีดำที่ดั่งหมึกแล้วกล่าวว่า “ศพของเทพกำแหงใกล้จะปรากฏตัวออกมาแล้ว เวลานี้มีวิธีเดียวก็คือต้องอาศัยดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้ามาคำนวณเพื่อกำหนดจุด น่าเสียดาย ครั้งนั้นเทพกำแหงได้ทำการกลืนฟ้ากลืนดิน ณ บริเวณนี้ ทำให้ดวงดาวบริเวณนี้ถูกกลืนกินจนหมดสิ้น ท้องฟ้าที่คลาคล่ำด้วยดวงดาวถูกทำลาย เวลานี้ได้แต่อาศัยท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหงมาคำนวณโดยอ้อมแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษออกโรงเอง ย่อมสำเร็จตามปรารถนาทันที” เซิ่นเหล่าลิ่วรีบพูดประจบทันที
หลี่ชิเย่เหลือบมองเขาทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ไม่ต้องมาไม้นี้เลย เจ้าเฝ้าดูอยู่ตรงนี้ให้ดีๆ ข้าจะออกไปด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหง อาศัยดวงดาวบนท้องฟ้าและสถานการณ์ต่างๆ มากำหนดจุดถ้าหากศพของเทพกำแหงโผล่ขึ้นเหนือน้ำเมื่อไหร่ ข้าก็จะส่งตำแหน่งที่แน่นอนให้เจ้า เจ้าก็จัดการขุดมันออกมา…”
“…รอให้ได้ศพของเทพกำแหงแล้ว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียเปรียบ ข้าต้องการเพียงชุดตัวอ่อนชาวบริสุทธิ์ชุดนั้นก็พอ ส่วนสมบัติอื่นๆ ของเทพกำแหงทั้งหมดล้วนเป็นของเจ้า”
เซิ่นเหล่าลิ่ว รีบกล่าวว่า “การรับใช้ใต้เท้าเป็นเกียรติยศของข้าน้อย สามารถทำงานให้กับท่านบรรพบุรุษบ้าง เป็นสิ่งที่ข้าน้อยสมควรไปทำ เรื่องค่าตอบแทนข้าน้อยไม่กล้าคิดอะไรมาก”
ที่เซิ่นเหล่าลิ่วพูดมานับว่าไม่ได้ฝืนใจตนเอง ผู้คนมากมายต้องการได้พบกับผู้ยิ่งใหญ่ระดับเช่นนี้กลับไม่มีโอกาสได้พบ การที่สามารถรับใช้ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ด้วยการใช้แรงงานบ้างก็นับเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว ส่วนเรื่องของค่าตอบแทนจะมีหรือไม่นั้นไม่สำคัญอีกแล้ว
“พูดพร่ำให้น้อยๆ หน่อย” หลี่ชิเย่หนึ่งฝ่ามือซัดเข้าไปที่ท้ายทอย หัวเราะเยาะเย้ยและด่าว่า “ข้ารึจะไม่รู้ว่าเจ้าฉลาดเป็นกรด? วางใจเถอะ คนที่ทำงานให้กับข้า ข้าไม่เคยให้เขาต้องเสียเปรียบอยู่แล้ว!”
หลี่ชิเย่ปฏิบัติต่อผู้ที่ทำงานให้กับเขา ผู้ที่อยู่ข้างกายเขาดีมากเสมอมา ต่อให้เซิ่นเหล่าลิ่วจงใจประจบตน หลี่ชิเย่ก็ไม่ถือสา ขอเพียงเซิ่นเหล่าลิ่วทำงานด้วยความจริงจัง เขาก็จะปฏิบัติต่อเซิ่นเหล่าลิ่วเป็นอย่างดี
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่ส่งเสริม คำพูดเพียงคำเดียวของท่านบรรพบุรุษก็ทำให้ข้าน้อยได้รับประโยชน์มหาศาลไปชั่วชีวิต” เซิ่นเหล่าลิ่วพลันมีอาการยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวด้วยท่าทียิ้มแต้ออกมา
“รู้แล้วหน่า วันหน้าหากได้พบกับฉวี่กง จะพูดชมเจ้าให้สักสองสามคำ” หลี่ชิเย่ได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าสำหรับท่าทีความเจ้าเล่ห์ของเซิ่นเหล่าลิ่ว
เซิ่นเหล่าลิ่วรู้สึกเป็นสุขยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้ กล่าวสำหรับเขาแล้ว เพียงคำพูดคำเดียวของหลี่ชิเย่ สามารถทดแทนสมบัติวิเศษทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด
กล่าวสำหรับสำนักของเซิ่นเหล่าลิ่วแล้ว หากผู้เยาว์คนใดสามารถเข้าตาบรรพบุรุษของพวกเขาก็คือวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และเป็นเกียรติสูงสุด บรรพบุรุษของพวกเขาคือระดับเซียนหวังที่ปราศจากผู้ต่อกรองค์หนึ่ง
ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์เฉกเช่นเซิ่นเหล่าลิ่ว ต่อให้เซิ่นเหล่าลิ่วที่มีสายเลือดแข็งแกร่งเช่นนี้ก็ยากที่จะเข้าตาของบรรพบุรุษพวกเขาได้ เวลานี้หากมีหลี่ชิเย่ไปพูดชมต่อหน้าบรรพบุรุษของพวกเขาสักสองสามคำ นั่นก็คือวาสนาที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วหละ
“เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน รอให้ขาส่งพิกัดตำแหน่งให้กับเจ้า” ขณะที่เซิ่นเหล่าลิ่วกำลังรู้สึกเป็นสุขอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้สั่งการออกไป
“แน่นอน แน่นอน” เซิ่นเหล่าลิ่วพลันตั้งใจเต็มที่ ทำท่าอกผายไหล่ผึ่ง ตบหน้าอกตัวเองเสียงดังปักๆ ให้คำมั่นต่อหลี่ชิเย่ว่า “ใต้เท้าวางใจได้เต็มที่ ข้าน้อยจะต้องทำให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาแม้แต่น้อย ใต้เท้าโปรดวางใจในการทำงานของข้า”
หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มและส่ายหน้าเมื่อเห็นท่าทีโอ้อวดตนเองของเซิ่นเหล่าลิ่ว จากนั้นเดินจากไป
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยได้เข้ามายังแดนอาถรรพ์เทพกำแหง ส่วนใหญ่แล้วยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์ของบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิที่อยู่ในอาณาจักรของฉีหลิน หลังจากที่พวกเขามาถึงแดนอาถรรพ์เทพกำแหง ต่างทยอยกันค้นหาไปทั่วแดนอาถรรพ์เทพกำแหง พวกเขาก็ต้องการได้สมบัติที่อยู่ในตำนานของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง บางทีอาจได้รับวาสนาที่ยอดเยี่ยมก็เป็นได้
เพียงแต่ว่า ภายในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงแห่งนี้ นอกเหนือจากความเงียบสงัดแล้วก็ยังคงเป็นความเงียบสงัด ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย ยิ่งไม่มีสมบัติหรือโชควาสนาอะไรตามที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้
แต่ยังคงมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่ยินยอม พวกเขาต้องการเข้าไปยังบริเวณที่ลึกเข้าไปอีกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง แต่ว่าภายในบริเวณที่ลึกเข้าไปของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงมันคือบริเวณที่หมอกควันดำมิดดั่งน้ำหมึก พลังกัดกร่อนรุนแรงเป็นพิเศษ ยอดฝีมือจำนวนมากไม่สามารถทนรับกับพลังเช่นนี้ได้ ดังนั้น ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยจึงได้แต่เข้าไปเพียงเท่านั้นและไม่กล้าลึกเข้าไปกว่านั้นอีก
แน่นอน ย่อมมี*ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มั่นใจว่าตัวเองมีความแข็งแกร่งพอ เสี่ยงภัยก้าวลึกเข้าไปด้านในแดนอาถรรพ์เทพกำแหง และ ณ บริเวณส่วนลึกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงพวกเขาก็ได้เห็นตาน้ำนั่น และมองเห็นน้ำเลือดสีดำที่ผุดขึ้นมาเช่นกัน
“นั่นคืออะไร?” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่เสี่ยงอันตรายเขามายังแดนอาถรรพ์เทพกำแหงต่างทยอยกันวิพากวิจารณ์กันไปต่างๆ นานา พวกเขาต่างรู้สึกแปลกใจว่ามันคืออะไรกันแน่
กระทั่งมียอดฝีมือที่ไล่ตามตาน้ำปากนี้ แต่ว่า ตาน้ำปากนี้ไปมาไร้ร่องรอย หาใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถตามล่าได้อยู่แล้ว อีกทั้งบ่อยครั้งที่ตาน้ำปากนี้ไปปรากฎอยู่ในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงบริเวณส่วนที่ลึกเข้าไปอีก ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะติดตามเข้าไปได้
ผู้ที่สามารถเข้าไปยังบริเวณที่ลึกเข้าไปของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงได้อีกเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดมังกรกษัตริย์ บนชุดปักลายมังกรทองเอาไว้ ท่าทางของเขามีความฮึกเหิมและลำพองใจ ขณะที่เข้าสู่ส่วนที่ลึกเข้าไปในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงนั้น ปรากฏกลิ่นอายขมุกขมัวพวยพุ่ง กฎเกณฑ์จอมราชันรายล้อม เสมือนหนึ่งมีเสียงเทศนาธรรมของจอมราชันดังขึ้นมาอย่างนั้น
ชายหนุ่มผู้นี้อาศัยพลังที่รุนแรงและพาลเข้าไปยังบริเวณที่ลึกที่สุดของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง เขาเองก็กำลังตามไล่ล่าตาน้ำปากนี้อยู่ แต่ว่า ตาน้ำปากนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สุดจะคาดเดา ไม่สามารถคาดเดาจุดที่มันจะปรากฏตัวได้เลย ชายหนุ่มที่มีความแข็งแกร่งยากจะหาผู้ใดเทียมก็ไม่สามารถกำหนดร่องรอยของตาน้ำปากนี้ว่าจะปรากฏที่ใด
“นายน้อยเจอเยื่อแข็งแกร่งโดยแท้จริงนะเนี่ย ไม่เสียทีที่มีชาติกำเนิดเป็นถึงผู้สืบทอดของสายสำนักราชันเซียน ต้องประสบความสำเร็จในอนาคตแน่นอน” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยต่างชมเปาะเมื่อได้เห็นภาพนี้ ภาพของชายหนุ่มที่เข้าไปยังแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเพียงลำพัง
“เสิ่นจินหลงอายุเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ ก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับธรรมมังสัจธรรมแล้ว ด้วยวาสนาเช่นนี้ย่อมสามารถยกย่องเป็นดาวรุ่งได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับจินเก๋อ ฉินไป่หลี่ที่เป็นสุดยอดดาวรุ่งได้ แต่ว่าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่โดดเด่น” แม้แต่รุ่นอาวุโสเมื่อได้เห็นความสามารถของชายหนุ่มผู้นี้แล้ว ก็อดที่จะชมเปาะไม่ได้ “สำนักเจอเยื่อนับว่ามีผู้สืบทอดแล้ว ไม่เสียทีที่เป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลินแล้ว”
เสิ่นจินหลงคือนายน้อยของสำนักเจอเยื่อ และเป็นผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อด้วย ตัวเขานับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นของฉีหลิน กระทั่งมีผู้กล่าวว่า ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ยกเว้นธิดาราชันฉีหลินแล้ว เขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
สำนักเจอเยื่อตั้งขึ้นโดยราชันเทพเจอเยื่อ แม้ว่าราชันเทพเจอเยื่อจะมีชาติกำเนิดเป็นเผ่าเทพ แต่เล่าลือกันว่า ขณะที่ราชันเทพเจอเยื่อยังอยู่ในวัยหนุ่มเคยเป็นศิษย์ของตระกูลราชันฉีหลินมาก่อน
ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าสำนักเจอเยื่อจะเป็นสายสำนักราชันเซียน แต่พวกเขายังคงขึ้นตรงและอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลิน เพียงแต่ตระกูลราชันฉีหลินไม่เคยก้าวก่ายกิจการงานใดๆ ของสำนักเจอเยื่อเลย
สำนักเจอเยื่อเป็นสายสำนักราชันเซียนหนึ่งสำนักหนึ่งราชันเซียน ตามตำนานเล่าว่า ราชันเทพเจอเยื่อเป็นจอมราชันที่มีหกลัคนา และได้ครอบครองชะตาฟ้าสามสาย เรียกได้ว่าในบรรดาจอมราชันทั้งหมดแล้วถือเป็นจอมราชันที่ค่อนข้างมีพื้นฐาน แต่ทว่า สำนักเจอเยื่อผ่านการบริหารงานมารุ่นสู่รุ่น มันยังคงมีความแข็งแกร่งยิ่งนักอยู่เหมือนเดิม
แม้ว่าสำนักเจอเยื่อจะไม่สามารถแข่งรัศมีกับตระกูลราชันฉีหลินที่เป็นยักษ์ใหญ่ขนาดนั้นได้ และราชันเทพเจอเยื่อก็เทียบไม่ได้กับเซียนหวังฉีหลินที่มีสิบลัคนาแปดชะตาฟ้าได้ ราชันเทพเจอเยื่อยิ่งไม่สามารถเทียบได้กับเซียนหวังเย่หลินที่เป็นเซียนหวังระดับสูงมีสิบเอ็ดลัคนาสิบเอ็ดชะตาฟ้าในครอบครอง
แต่ ราชันเทพเจอเยื่อในขณะที่ขึ้นเป็นราชันเทพได้รับการดูแลจากบรรดาเซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลิน และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เพราะอะไรหลังจากที่ราชันเทพเจอเยื่อก่อตั้งสำนักเจอเยื่อแล้ว ยังคงยินดีอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลราชันฉีหลิน
ขณะเดียวกัน เนื่องเพราะราชันเทพเจอเยื่อมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับบรรดาเซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลินนี่เอง จึงทำให้สำนักเจอเยื่อในยุคหลังจึงมีฐานะที่แตกต่างในตระกูลราชันฉีหลิน พวกเขากระทั่งได้ชื่อว่าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสำนักทั้งหมดที่ขึ้นตรงต่อตระกูลราชันฉีหลิน
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเคารพนับถือในตัวเสิ่นจินหลง เมื่อเห็นเขาสามารถลึกเข้าไปยังบริเวณที่ผู้อื่นไม่สามารถเข้าไปได้
หมอกควันสีดำบริเวณที่ลึกเข้าไปในแดนอาถรรพ์เทพกำแหงรุนแรงเหลือเกิน เสิ่นจินหลงเองก็ไม่สามารถรั้งอยู่ได้นาน สุดท้าย เมื่อเขาไม่สามารถยืนยันถึงการเคลื่อนไหวของตาน้ำปากนั้นได้ จึงได้แต่ล่าถอยออกมาจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหงมารออยู่ด้านนอก
ความจริงแล้ว ผู้ที่ถอนตัวออกมาจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหงใช่จะมีเพียงเสิ่นจินหลงเท่านั้น ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากก็ไม่สามารถรับได้กับพลังแห้งเหี่ยวได้ ต่างทยอยกันถอนตัวออกมาจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหง และรอคอยโอกาสอยู่ด้านนอก
เนื่องจากพวกเขาต่างเข้าใจได้ว่า ถ้าหากมีสมบัติวิเศษปรากฎตัวออกมาที่แดนอาถรรพ์เทพกำแหงก็ต้องมีความเคลื่อนไหว และมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น พวกเขาเฝ้าดูอยู่ด้านนอกของแดนอาถรรพ์เทพกำแหงก็ได้แล้ว ดังนั้น ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยต่างพยายามมองหาภูมิประเทศที่เหมาะแก่การเฝ้าดูชมมากที่สุด
พวกของเถี่ยซู่องทำตามที่หลี่ชิเย่ได้สั่งการเอาไว้ พวกเขาได้ขึ้นไปยังยอดเขาชมเทพที่อยู่ด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหงเพื่อรอคอยหลี่ชิเย่
ยอดเขาชมเทพคือยอดเขาซึ่งตั้งอยู่ด้านนอกแดนอาถรรพ์เทพกำแหงที่สูงที่สุด การยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาแห่งนี้สามารถมองเห็นทั่วทั้งบริเวณของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด
ขณะที่พวกของเถี่ยซู่องสี่คนมาถึงยอดเขาชมเทพนั้นยังมีผู้คนอยู่ไม่มาก แต่ จากเวลาที่ผ่านไป ปรากฏมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนขึ้นมายังยอดเขาชมเทพเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการหาที่ที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของแดนอาถรรพ์เทพกำแหง สำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้แล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ยอดเขาชมเทพคือทางเลือกที่ดีที่สุด
บรรดาผู้ที่ขึ้นมายังยอดเขาชมเทพล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเจ้าลัทธิ เรียกได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นประเภทมีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนฉีหลินทั้งสิ้น
แม้ว่าเถี่ยซู่องจะมีฐานะเป็นประมุขสำนัก แต่เขาเป็นเพียงบุคคลเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น เถี่ยซู่องเกรงจะมีเรื่อง ดังนั้น จึงพาศิษย์ในสำนักไปยืนอยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตา ห่างไกลจากผู้คนไม่กล้าแย่งชิงพื้นที่กับผู้อื่น
จังหวะที่พวกของเถี่ยซู่องไปหลบอยู่ที่มุมที่ไม่เป็นที่สะดุดตานั้น กลุ่มของพวกหลี่เทียนเหานายน้อยแห่งตระกูลขุนนางโบราณหนานหยางก็ได้ก้าวขึ้นมาที่ยอดเขาชมเทพ ในกลุ่มของพวกเขามีรัชทายาทซีถัวหวังเซี่ยวเทียนร่วมขบวนมาด้วย
เถี่ยซู่องถึงกับตกใจยิ่งนักกับการมาถึงของพวกหลี่เทียนเหา เขารู้สึกกังวลขึ้นมา เนื่องจากพวกเขาได้เป็นศัตรูกับตระกูลขุนนางโบราณหนานหยาง และแคว้นซีถัวแล้ว เวลานี้ไม่มีหลี่ชิเย่ คอยหนุนอยู่ด้านหลัง หากพวกของหลี่เทียนเหาต้องการสังหารพวกเขาล่ะก็ เกรงว่าคงยากที่จะพ้นเคราะห์กรรม
แต่ว่า เวลานี้พวกของหลี่เทียนเหาก็ขี้คร้านจะไปหาเรื่องกับพวกของเถี่ยซู่องที่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น กล่าวสำหรับบุคคลเช่นหลี่เทียนเหาแล้ว การที่จะสังหารพวกของเถี่ยซู่องมันเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
หลังจากที่หลี่เทียนเหาได้ขึ้นมายังยอดเขาแล้ว ได้ทักทายปราศรัยกับบรรดายอดฝีมือและเจ้าถิ่นจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่มีเวลาที่จะมองพวกของเถี่ยซู่องมากกว่าแวบหนึ่งด้วยซ้ำ
สำหรับรัชทายาทซีถัวหวังเซี่ยวเทียนก็ถือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้ หวังจะได้คบหาสมาคมกับยอดฝีมือและผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ให้ได้เป็นจำนวนมาก
“นายน้อยเสิ่นมาแล้ว” ยอดเขาชมเทพกำลังคึกครื้นอยู่ทีเดียว ไม่รู้ว่าเสียงของใครได้ตะโกนขึ้นมา เห็นชายหนุ่มที่สวมชุดมังกรผู้หนึ่งเหินฟ้าเข้ามา เขาคือเสิ่นจินหลง ผู้สืบทอดของสำนักเจอเยื่อนั่นเอง
ผู้คนจำนวนมากเมื่อเห็นเสิ่นจินหลงมาถึงต่างทยอยกันเข้าไปให้การต้อนรับด้วยความอบอุ่นยิ่ง ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากทยอยกันเข้าไปสานสัมพันธ์กับเสิ่นจินหลง
เดิมทีเสิ่นจินหลงก็เปรียบดั่งมังกรหรือหงส์ท่ามกลางผู้คนอยู่แล้ว การมีชาติกำเนิดเป็นสายสำนักราชันเซียนยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งยิ่งขึ้นไปอีก ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างยินดีคบหาสมาคมกับเขา
“ฝ่าบาทกำลังจะเสด็จ ทุกคนเตรียมตัวให้การต้อนรับ” หลังจากที่เสิ่นจินหลงได้กล่าวทักทายไปครู่หนึ่งก็ได้เอ่ยขึ้นช้าๆ เป็นการแจ้งข่าวที่น่าตระหนกเรื่องหนึ่งให้กับทุกคน
“ธิดาราชันเสด็จมาด้วยตนเอง!” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจ เมื่อได้ยินคำพูดคำนี้
ในเขตของฉีหลิน ผู้ที่กล้าเอ่ยชื่อ “ธิดาราชัน” สามารถให้บุคคลระดับเช่นเสิ่นจินหลงเรียกว่า “ฝ่าบาท” คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือผู้สืบทอดของตระกูลราชันฉีหลิน ธิดาราชันฉีหลินนั่นเอง!