บทที่ 639 ช่วยเลียรองเท้าให้สะอาดหน่อย
ฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาพร้อมกับความเงียบสงัด!
ความตกตะลึงเพิ่มสูงขึ้นทันทีในสายตาของทุกคนพวกเขาไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะกลายร่างเป็นปีศาจได้
ช่างเป็นฉากที่เหลือเชื่อมาก!ดูเหมือนว่าในวินาทีถัดมานั้นหัวของหยวนหูจะถูกหลินเฟิงเหยียบย่ำลงไปในดงซอสมะเขือเทศแล้ว!
”ฮึหมดแล้วเรอะ?” ในความเงียบนี้ เสียงดูถูกของหลินเฟิงดังออกมา
หยวนหูนอนอยู่บนพื้นและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
หลินเฟิงเตะหัวของเขาเบาๆ และกล่าวว่า: “อย่าแกล้งทำเป็นตายเลย ความสามารถระดับ SS ไม่ได้ตายง่ายแบบนี้หรอกนะ”
หยวนหูลืมตาขึ้นและกระอักเลือดลงไปบนพื้นหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสยดสยอง
ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในกำมือของหลินเฟิงเขาได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของหลินเฟิงแล้ว
ฮึก!
แม่จ๋าวันนี้ผมเจอปีศาจมาด้วยหละ!
ระดับSS และระดับ SSS แม้จะเป็นเพียง S ตัวเดียว แต่ก็ต่างชั้นกันจริง ๆ เช่นเดียวกับพลังของเขาที่จัดการกับระดับ S ได้ ระดับ SSS เองก็เพียงพอที่จะเล่นงานเขาให้ตายเช่นกัน!
ในขณะนี้เขาไม่ได้เหลือความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้แล้วเขารีบร้องขอความช่วยเหลือ: “บ๋อย มานี้เร็ว บ๋อย!”
“คราวหน้าจะกล้าขนาดนี้มั้ยนะ” หลินเฟิงกล่าว
”ไม่ไม่แล้วครับ ไม่!”
หยวนหูดูเหมือนหนูที่กลัวจนตัวสั่น
หลินเฟิงถอนเท้าออกจากหัวของเขาและถีบเขาออกไปไกลสามหรือสี่เมตร
หยวนหูลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็วใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลดวงตาที่เหมือนเสือคู่นั้นจับจ้องหลินเฟิงอย่างใกล้ชิด ดวงตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด
วันนี้ต่อหน้าผู้คนมากมายหลินเฟิงทำให้เขาเสียหน้าอย่างมากซึ่งทำให้เขารู้สึกอับอาย
แต่เขาจะไม่โง่ถึงขนาดที่จะต่อสู้เพื่อมันผลสุดท้ายคือเขารักตัวกลัวตายมาก จะให้งมหาแหวนเพชรในนรกก็ไม่คุ้มกันเลย
หลินเฟิงตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ อย่างรวดเร็ว เขายังเห็นความหยิ่งเล็กน้อยในดวงตาของอีกฝ่าย: “แกมองฉันด้วยสายตาแบบไหนกัน แกคงไม่ได้คิดล้ำเส้นใช่ไหม?”
หยวนหูพูดอย่างขมขื่น“อย่าภูมิใจในตัวเองนักเลย แกกล้าแตะต้องฉัน แกหนะจบแล้ว”
หลินเฟิงเลิกคิ้ว:”ระดับ SS แบบไหนกันกล้าพูดแบบนี้?”
หยวนหูกัดฟันและพูดว่า”แกก็เป็นแค่คลาส SSS ระดับต้น ๆ แล้วไงล่ะ?”
“ขอบอกเอาไว้เลยศิษย์พี่ของข้ามาถึงจุดสูงสุดของระดับ SSS แล้ว! แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ไม่ห่างกับเขามาก”
”ถ้าแกไม่เชื่อฉันจะไปพาเล่นงานแกเอง!”
หลินเฟิงหัวเราะเยาะ:”ยังปากกล้าอยู่อีกนะ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างงั้นเรอะ!”
”งั้นก็ไปเรียกเขามาที่นี่สิ!”
หยวนหูโกรธมาก:”ตกลงแกไม่เชื่อเหรอ เขาอยู่แถว ๆ นี้แหละ ฉันจะโทรหาเขาที่นี่ตอนนี้เลยก็ได้”
“จะให้ฉันยืนรอจนเป็นตะคริวรึยังไงโทรมาสิ!”
ด้วยเหตุนั้นหลินเฟิงก็ปล่อยลมหายใจออกมา
หลินเฟิงรู้ดีว่านี่คือสัญญาณถ้าพี่ชายของหยวนหูอยู่ใกล้ ๆ จริง เขาจะสัมผัสสึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายได้
หยวนหูกล่าวอย่างมืดมน:”พี่ชายของฉันให้ข้อเสนอแก ตอนนี้เขากำลังมาแล้ว”
”ฉันแนะนำให้แกคุกเข่าลงโดยเร็วที่สุดพี่ชายของฉันจะได้เห็นโอกาสที่จะไว้ชีวิตคนอย่างแก”
“ไม่งั้นแกได้ตายจริงๆ แน่!”
หลินเฟิงไม่ได้สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดด้วยซ้ำเขาหันกลับมาและกินถั่วลิสงในจานของว่างช้า ๆ
ไม่นานชายร่างใหญ่อีกคนก็เดินเข้ามาในโรงแรมด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ชายคนนี้มีชื่อว่าเฉินตุ๋นเป่ย เขาสูงมาก เอวกลม และแผ่นหลังกว้าง เขามีเครายาวบนใบหน้าและพลังของเขาค่อนข้างดุร้าย
เขาเดินเข้ามาและพูดว่า”มีเรื่องอะไร”
ดูเหมือนว่าหยวนหูจะพบพระผู้ช่วยให้รอดของเขาแล้วเขาและรีบคลานเข้าไปหาทันที: “พี่ชายในที่สุด พี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว!”
“ถ้าช้าอีกหน่อยผมตายแน่!”
เมื่อมองไปที่เลือดบนใบหน้าของหยวนหูเฉินตุ๋นเป่ยกลับขมวดคิ้วแน่นแทน “มีใครที่สามารถทำร้ายแกได้อย่างงั้นเรอะ ใครเป็นคนทำ?”
หยวนหูชี้ไปที่หลินเฟิงทันที:”นั่นเขา!”
เฉินตุ๋นเป่ยมองไปที่หลินเฟิงเขาพบว่าหลินเฟิงเองก็ไม่ได้มองมาที่เขาเลยด้วยซ้ำ ไฟลุกท่วมในใจของเขาทันที
เขาเดินไปแล้วพูดว่า”เฮ้มองมาที่ฉันสิ!”
หลินเฟิงหันกลับมาและยังคงเคี้ยวถั่วลิสงอยู่ในปากของเขา:”ใครหนะ? มาแล้วเรอะ”
ท่าทางที่ไร้กังวลของหลินเฟิงทำให้เฉินตุ๋นเป่ยโกรธมาก และเปล่งเสียงของเขาออกมา: “แกพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นได้ไง แกรู้จักฉันไหม?”
“ตอบฉันมาทำไมแกกล้าทำร้ายไอ้น้องชายของฉัน”
หลินเฟิงกล่าวว่า:”ถ้านายรู้จักเขาดีนายก็น่าจะรู้เหตุผล เขาเป็นคนเริ่มก่อน ที่เหลือมันเป็นเพียงการป้องกันตัวเองเท่านั้น”
“ดูแลน้องของนายให้ดีด้วยบอกมันว่าอย่ายุ่งกับแฟนของคนอื่น”
“นายไม่คิดว่าจะแพ้ยังงั้นหรอวันนี้?”
เฉินตุ๋นเป่ยมองมาที่หลินเฟิงด้วยสองตา:”ระดับ SSS ขั้นต้นอย่างงั้นเรอะ คนระกับแกกล้าพูดกับฉันแบบนี้เมื่อไหร่กัน?”
”ฉันเตือนแกตอนนี้เลยคุกเข่าลงซะ เลียรองเท้าของฉันแบบไม่ต้องการหยุดจนกว่าฉันจะพอใจ”
”ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นของแกมาปัดรองเท้าแทน!”
หลินเฟิงยักไหล่:“พวกแกมีพลังเพียงเล็กน้อย แต่กล้าหาเรื่องคนอื่นเขาไปทั่ว วันนี้พวกแกจะสัมผัส ว่าคนธรรมดารู้สึกยังไงกับพวกแกบ้าง”
อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยดวงตาของเขากระพริบแสงจาง ๆ: “เปิดหูเปิดตา ของแกซะดูให้ชัดเจน นี่คือสิ่งที่ SSS ระยะแรกทำไม่ได้?”
หลินเฟิงปล่อยลมหายใจออกมาทันใดนั้นเฉินตุ๋นเป่ยก็เริ่มรุกเข้ามาทันที
แผ่นหลังของเฉินสั่นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจทันที
ข้างหลังของเขาหยวนหูซึ่งถูกเล่นงานมาก่อนก็หน้าแข็งถื่อเช่นกัน
”กะ…แกบรรลุผ่านดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว?” เฉินตุ๋นเป่ยรู้สึกว่าลำคอของเขาถูกปิดกั้นด้วยเสมหะในคอของเขาเอง
หลินเฟิงมองกลับมาและถามอย่างแผ่วเบา: “เป็นอะไรรึ? พวกแกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นเฉินตุ๋นเป่ยไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
มีช่องว่างตามธรรมชาติระหว่างดินแดนศักดิ์สิทธิ์และระดับSSS อยู่แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว ผู้บรรลุดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงพระเจ้า พวกเขาไม่กล้าละลานอย่างแน่นอน
ทุกอย่างนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งเขาและหยวนหูกลายเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือดอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาไม่กล้าแม้แต่ขยับ
”คุกเข่าลง!”ทันใดนั้นหลินเฟิงก็ส่งเสียงที่ดุดันออกมา เสียงของเขาดังเหมือนฟ้าร้อง
พวกเขาทั้งหมดตกตะลึงแต่เฉินตุ๋นเป่ยและหยวนหูไม่มีอะไรเหลืออยู่ในใจแล้ว
“พูดไม่ฟังอย่างงั้นเรอะ?” หลินเฟิงมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่แรงกดดันนั้นมากขึ้นเกิดกว่าที่จะปกปิดเอาไว้ได้ “ฉันพูดว่า คุกเข่าลง!”
แนวป้องกันด้านจิตใจและร่างกายของทั้งสองถูกทำลายลงในพริบตา พวกเขาคุกเข่าด้วยท่าทางป๋อมแป๋มและไม่กล้าเงยหัวขึ้นมาแม้แต่น้อย
น้องเล็กคนอื่นๆ เห็นสิ่งนี้เข้า พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
คนรอบข้างต่างก็ภูกหลอกกันหมดเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่ เรื่องราวทั้งหดเจะนำไปสู่การพลิกผันได้อย่างไร?
หลินเฟิงเดินไปและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“พวกแกกล้ามากหรือ?”
“เมื่อกี้พวกนายไม่ถือเกียตรแล้วเหรอ ลุกขึ้นมาสู้กับฉันสิ!”
เฉินคุกเข่าลงและตัวสั่น:”ผมไม่กล้าทำแบบนั้นกับท่านผู้ใหญ่หรอกครับ ผมผิดเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงปล่อยพวกผมไปเถอะ!”
คนอื่นๆ ที่ตามพวกเขามาต่างก็ร้องฟูมฟาย
หลินเฟิงกล่าวกลับไปว่า”นายไม่ต้องการให้ฉันเลียรองเท้าแล้วอย่างงั้นหรือ ทำไมนายถึงเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้หละ”
เฉินตุ๋นเป่ยรู้สึกว่าทุกนาทีและทุกวินาทีที่กำลังผ่านไปนั้นช่างทรมานเหลือเกินเขากลัวที่จะพูดว่า”ผมแค่พูดเล่น อย่าจริงจังกับมันเลย!”
“พูดเล่น?”หลินเฟิงพยักหน้า “ตกลงแล้ว ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่ามันเป็นอย่างไรถ้านายพูดไม่ระวังปากแบบนี้”
เขาวางปลายรองเท้าของเขาให้เฉิและพูดเบาๆ ว่า “มาช่วยเลียมันให้สะอาดหน่อยสิ”
บทที่ 640 ความรู้สึกอ่อนโยนของคนเหล็ก
เมื่อมองไปที่ปลายรองเท้าข้างหน้าเฉินตุ๋นเป่ยรู้สึกอับอายอย่างมาก แต่เขาทำไม่ได้และเขาไม่กล้าด้วย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับหลินเฟิงเอาปลายรองเท้าแตะหน้าผากของเขาโดยตรง: “ว่าไง นายฟังไม่ออกเหรอ?”
เฉินตุ๋นเป่ยคิดว่าการเอาชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่าสิ่งใดดังนั้นหัวใจของเขารู้สึกได้เลยว่าชีวิตของตัวเองกำลังถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาจึงเงยหน้าขึ้นจากนั้นก็ยื่นลิ้นออกมา
แต่ในเวลานี้หลินเฟิงเอาปลายรองเท้าของเขากลับเข้าหาตัวเสียก่อน เขาแสดงสีหน้ารังเกียจและพูดว่า: “น่าขยะแขยงจริง ๆ ”
“ถ้านายเลียเข้าจริงๆ ฉันยอมโยนรองเท้าทิ้งดีกว่า”
เฉินตุ๋นเป่ยกยังคงรักษาท่าทางในการแลบลิ้นของเขาซึ่งทำให้เขาดูเหมือนหมามาก ๆ
ในเวลานี้การเลียเป็นทางออกเดียวของเขาการเคลื่อนไหวของหลินเฟิง สามารถจัดการพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าประโยคนั้นจะทำให้เขาโกรธแต่แล้วยังไงหละ? แม้ว่าความเคารพจะเป็นสิ่งที่ใครๆ ต้องการในยุคนี้ แต่ถ้าคุณต้องแลกมันมาด้วยชีวิตของตัวเองหละ
หลินเฟิงเล่นมากพอแล้วทำให้เขาเริ่มถามอย่างจริงๆ จังๆ: “ตอบฉันมาตรง ๆ ว่าพวกนายมาทำอะไรที่นี่?”
หัวใจของเฉินตุ๋นเป่ยสั่นสะท้าน เขาพูดอย่างแห้ง ๆ ว่า “พวกเรามาที่นี่เพื่อหาอะไรผ่อนคลายทำ!”
”ฮื่ม?”“ เงยหน้าขึ้นได้แล้ว” หลินเฟิงกล่าว
ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาก็ยังคงเงยหน้าขึ้นตามนั้น
หลินเฟิงยกมือขึ้นพร้อมกับตบหน้าก่อนที่จะพูดอย่างไร้ความปรานี: “แกโกหก แกไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นอย่างแน่นอน”
”เมืองของเราไม่มีทิวทัศน์ที่สวยงามไม่มีมรดกทางวัฒนธรรม พวกแกมาเล่นอะไรกันแน่”
”ยิ่งไปกว่านั้นยกเว้นคนในกลุ่มเทียนกงแล้วมีไม่กี่คนที่ถึงมีระดับ S คราวนี้แกมาที่นี่ทั้ง ๆ ที่เป็นระดับ SS กับ SSS แกคิดว่า ฉันจะมองไม่ออกหรอ?”
เมื่อฟังคำพูดของหลินเฟิงมู่ซินซินก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในจิตใจที่ละเอียดอ่อนนี้ของเธอ ดูเหมือนว่าหลินเฟิงในวันนี้เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาเพิ่งพบกันนั้นเติบโตขึ้นไปมาก
เฉินตุ๋นเป่ยก็ยังคงเสียใจและยืนยันเหมือนเดิมว่า:”พี่ใหญ่ ฉันไม่ได้โกหก พวกเรามาที่นี่เพื่อหาอะไรทำจริง ๆ !”
“ยังจะโกหกอีกเหรอ”ดวงตาของหลินเฟิงจ้องมองไปที่หยวนหู ทันใดนั้นฝ่ามือข้างขวาของหลินเฟิงก็ตบเข้าไปเต็มหน้าอีกฝ่าย
หยวนหูป้องใบหน้าของเขาพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนเลือดพุ่งออกมาบนใบหน้าของเขาทำให้ใบหน้าของเขาบอบช้ำมากขึ้น
ฉากนี้ทำให้คนรอบข้างเริ่มเป็นห่วงหลายคนจากไปเพราะพวกเขากลัวเกินกว่าจะทนกินข้าวไปด้วยได้ หลินเฟิงจะทำสิ่งที่น่ากลัวเอาไว้กับพวกเขาเนื่องจากข้อกล่าวหาที่พวกเขาเพิ่งทำ
เฉินตุ๋นเป่ยกลัวจนเหงื่อไหลออกมาความแข็งแกร่งของทั้งร่างกายดูเหมือนจะถูกดึงออกไปทั้งคนเกือบหมด
หลินเฟิงเป็นเหมือนปีศาจเลือดเย็นเขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะให้แกพูดอีกครั้ง และแกจะต้องตอบคำถามของฉันอย่างตรงไปตรงมา!”
“ไม่งั้นครั้งนี้หัวนายจะได้ระเบิดจริง ๆ แน่”
แนวป้องกันทางจิตวิทยาของเฉินตุ๋นเป่ยพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงในตอนนี้เขาไม่กล้าซ่อนอะไรไว้อีกแล้ว
น้ำเสียงของเขาเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
”ยอมแล้ว!ยอมแล้ว” พวกเราถูกส่งมาโดยสหพันธ์แห่งความมืด! ”
”สหพันธ์แห่งความมืดอย่างงั้นเหรอ?”เมื่อได้ยินชื่อนี้หลินเฟิงตื่นตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป
”พวกเขาขอให้แกมาทำอะไรที่นี่”
เฉินตุ๋นเป่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา:”พวกเขาขอให้เรามาตรวจสอบสถานการณ์ของเทียนกง ฉันสาบานได้! เราเพิ่งมาที่นี่! ไม่มีข้อมูลอะไรอย่างแน่นอน”
การแสดงออกของหลินเฟิงเริ่มกลับมาเข้าทีเข้าทางแบบที่ควรจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ :“ ทำไมพวกเขาถึงต้องการข้อมูลของกลุ่มเทียนกงกัน มันต้องมีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
เฉินตุ๋นเป่ยกล่าวว่า:”พวกเราเป็นแค่ม้าเร็ว สิ่งที่พวกเรารู้มีแค่นั้นจริง ๆ”
ขณะที่พูดทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาเงยหน้าขึ้น: “ใช่แล้ว หัวหน้าของพวกเรายังคงรอให้พวกเรากลับไปส่งข่าวอยู่! เขารู้มากกว่าพวกเราเยอะ คุณอยากจะไปหาเขาไหม”
หลินเฟิงหัวเราะเยาะ:”บ้าเปล่านั้นมันขุดหลุมฝังตัวเองชัด ๆ !”
เฉินตุ๋นเป่ยตัวสั่นอีกครั้งเขาแม้แต่จะส่ายหัวด้วยซ้ำ: “พะ…พวกเราจะช่วยคุณได้อย่างไร!”
หลินเฟิงเงียบไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็พยักหน้า:”ดีฉันจะไปกับพวกนายก็ได้”
เฉินตุ๋นเป่ยหรือแม้แต่มู่ซินซินก็ประหลาดใจเช่นกัน: “นายพูดว่ามันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองไปไม่ใช่หรอ?”
หลินเฟิงกล่าวต่อมาว่า“ถ้าไม่เข้าไปในถ้ำเสือก็ไม่มีทางที่จะได้ลูกเสือ มันเป็นการใหญ่ยังไงฉันต้องเสี่ยง”
มู่ซินซินต้องการที่จะหยุดหลินเฟิงเอาไว้เธอจึงรีบพูด แต่กลับถูกขัดเอาไว้: “ไม่ต้องกังวล ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่ถ้าเรื่องหนี มีไม่กี่คนที่สามารถจับฉันได้ และฉันจะไม่ถูกจับอย่างแน่นอน”
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของหลินเฟิงมู่ซินซินรู้ว่าหลินเฟิงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขนาดไหนเธอจึงได้แต่กัดริมฝีปากและไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
หลินเฟิงเรียกรถเพื่อส่งมู่ซินซินกลับสู่เทียนกงจากนั้นเข้าก็ออกจากโรงแรมไปพร้อมกับหยวนหูและเฉินตุ๋นเป่ยใช้ถนนนำทางเขาไปยังจุดหมายปลายทาง
…..
สุดทางไม่ไกลนักเป็นที่ดินแดนร้างแต่มีต้นไม้เปล่า ๆ เป็นส่วนประดับประดา
หลินเฟิงมองไปรอบๆ และถามว่า “เรากำลังจะไปที่ไหน”
เฉินตุ๋นเป่ยตัวสั่นไปหมดแต่ในขณะนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงดุร้าย : “แกหนะตายไปแล้ว!”
”นี่คือสุสานของแก!”
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงรีบหนีไปด้านหน้า
หลินเฟิงไม่แปลกใจเลยเขาถอนหายใจและส่ายหัว มือขวางอศอกเป็นกำปั้น ทันทีที่เขาพูด “หมัดเพลิง” แสงไฟถูกระดมยิงออกไปในอากาศ
ทันใดนั้นเปลวไฟก็บินไปที่เฉินตุ๋นเป่ยอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่านี่จะเป็นเพียงทักษะพลังวิญญาณระดับต่ำแต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหลินเฟิงก็ไม่ยากที่จะปราบเฉินตตุ๋นเป่ยได้
“จะมากไปแล้ว!” ในเวลานี้ควันที่ระเบิดในอากาศทำให้เปลวไฟกระจัดกระจาย
ผู้คนมากมายต่างก็ออกมาจากหลังต้นไม้เหล่านั้นพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวใหญ่เช่นเดี่ยวกับเฉินตุ๋นเป่ย นอกจากร่างจะสูงใหญ่แล้ว พวกเขามีพลังและไว้หนวดเคราเหมือนง้าวเช่นเดียวกับกลุ่มของลู่จือเฉิน
ผู้นำหลี่กวนกังตะโกนใส่หลินเฟิงเสียงดัง:”พ่อหนุ่ม อย่าทำให้เรื่องมันใหญ่โตนักเลย ระวังผลกรรมที่จะตามมาด้วย”
หลินเฟิงสำรวจคนเหล่านี้อีกครั้งอย่างมั่นใจโดยทั่วไปแล้วพวกเขามีพลังระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นแรก มีเพียงหลินกวนกังเท่านั้นที่อยู่ในช่วงแรกของระดับที่สอง
ไม่น่าแปลกใจที่เฉินตุ๋นเป่ยจะใช้กลยุทธ์แบบนี้เมื่อยืนอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้แล้ว จะได้กองกำลังต่อสู้ที่น่าทึ่ง
ในขณะนี้เฉินตุ๋นเป่ยกำลังอยู่ในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและน้ำเสียงของเขาก็อิทโรย: “มันน่ากลัวจริง ๆ ที่จะต้องตาย ถ้าข้าไม่หูเบา พวกเราคงไม่รอดในวันนี้”
ชายร่างใหญ่คนนั้นกำลังลูบใบหน้าของเฉินตุ๋นเป่ยที่ใบหน้ามีขนยาวก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล: “พูดอะไรแบบนั้นพวกเราอยู่ที่นี่แล้ว นายจะไม่เป็นไร”
เฉินตุ๋นเป่ยโอบแขนของเขาชายร่างใหญ่และมอบจูบบนฝ่ามือของเขา:”ฉันรู้ว่าพวกเราเก่งที่สุด”
เมื่อมองไปที่คนทั้งสองหลินเฟิงรู้สึกช็อก
ไอ้ผู้ชายสองคนนี้
มันเป็นยังไงกันแน่!!!!